ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 234-1 คู่หมั้นขององค์หญิงอันซี

เดิมทีเยี่ยหลียังคิดว่า หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่ภัตตาคารไปแล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยจะต้องเกลียดพวกนางเข้ากระดูกดำ จนอยู่ห่างได้เท่าไรก็จะห่างเท่านั้น ดังนั้น เมื่อเช้าวันต่อมา คณะของพวกนางออกจากโรงเตี๊ยมเตรียมเดินทางออกจากเมือง แล้วบังเอิญพบเข้ากับคณะเดินทางของเสนาบดีหลิ่วพอดีนั้น ความหงุดหงิดในใจของเยี่ยหลีจึงเพิ่มมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่เห็นหลิ่วกุ้ยเฟยเข้ามาพูดคุยกับพวกนางด้วยสีหน้าเรียบเฉยประหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้น เยี่ยหลีก็ถึงกับพูดไม่ออก

องค์หญิงฉางเล่อที่ยืนอยู่ข้างกายหลิ่วกุ้ยเฟยลอบยักไหล่ พลางทำหน้าทะเล้นพร้อมส่งยิ้มให้เยี่ยหลี

หางตาเยี่ยหลีกระตุกเล็กน้อย กวาดตามองหลิ่วกุ้ยเฟยโดยไม่มีผู้ใดทันได้เห็น

องค์หญิงฉางเล่อส่ายหน้าน้อยๆ กรอกตาบนขึ้นฟ้า

เยี่ยหลีก็ทำได้เพียงกรอกตาขึ้นฟ้าตามนางอย่างจนใจเช่นกัน

“ติ้งอ๋อง เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่” หลิ่วกุ้ยเฟยเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าม่อซิวเหยา แล้วเอ่ยถามขึ้นเบาๆ ถึงแม้นางจะเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ยังฟังออกว่าในน้ำเสียงมีความเป็นห่วงเป็นใยอย่างแท้จริงแอบแฝงอยู่

 องค์หญิงฉางเล่อหยุดฝีเท้าตนเองลง ยืนทิ้งระยะจากหลิ่วกุ้ยเฟยอยู่ประมาณหนึ่งเพื่อคอยสังเกตการณ์ เสด็จพ่อของนางเป็นคนขี้ระแวงเช่นที่เสด็จแม่ว่าไว้จริงๆ หรือ เช่นนั้นเหตุใดเสด็จพ่อถึงไม่เคยนึกสงสัยว่าสนมรักของพระองค์จะสวมเขาให้ ทั้งยังปล่อยนางให้ออกมาเกาะแกะสามีผู้อื่นเช่นนี้

“คลื่นไส้” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเย็น เส้นผมสีเงินเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ดูมีรัศมีกลมๆ เปล่งแสงออกมา หมุนตัวทิ้งหลิ่วกุ้ยเฟยที่มองเขาอยู่ด้วยความจริงใจ ไปยืนข้างกายเยี่ยหลี

หลิ่วกุ้ยเฟิงมองร่างของบุรุษผมขาวที่ทิ้งนางไปอย่างไม่ใยดีด้วยความหม่นหมอง นัยน์ตาฉายแววหลงใหลและเจ็บปวด

เยี่ยหลีเบี่ยงตัวหันหน้าไปมองหลิ่วกุ้ยเฟย แล้วเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “เสนาบดีหลิ่ว กุ้ยเฟย ขอได้โปรดอภัยด้วย ยามปกติท่านอ๋องของพวกเรามิได้อารมณ์ร้ายเช่นนี้ เพียงแต่เมื่อวานตอนกินมื้อกลางวันถูกทำให้คลื่นไส้เข้า เมื่อเย็นกับเช้าวันนี้จึงกินอะไรไม่ลงถึงได้เป็นเช่นนี้”

ม่อซิวเหยาอุ้มเยี่ยหลีขึ้นมาจับให้นางนั่งบนหลังม้า จากนั้นถึงได้หมุนตัวขึ้นม้าไปนั่งอยู่ด้านหลังเยี่ยหลี กระตุกบังเหียนทีหนึ่ง แล้วก็ออกเดินทางจากเมืองไปก่อนทันที

คนที่ถูกทิ้งอยู่ด้านหลัง สีหน้าต่างกันออกไป หลิ่วกุ้ยเฟยและเสนาบดีหลิ่วต่างมีสีหน้าย่ำแย่ด้วยกันทั้งคู่ หลิ่วกุ้ยเฟยคงไม่ต้องพูดถึง ส่วนเสนาบดีหลิ่ว ถึงแม้เมื่อวานจะมิได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็รู้ดีว่าเมื่อวานเกิดอันใดขึ้นที่ภัตตาคาร และก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า บุตรสาวของตนออกจะทำเกินไปสักหน่อย แต่การที่ม่อซิวเหยาทำกิริยาไม่เกรงใจต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ในใจเขาเองก็รู้สึกไม่พอใจเช่นกัน

เสนาบดีหลิ่วเหลือบมองหลิ่วกุ้ยเฟยทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “พระสนมกุ้ยเฟย พวกเราก็ควรออกเดินทางได้แล้ว ไปกันเถิด”

หลิ่วกุ้ยเฟยมองปากประตูเมืองที่ไม่เห็นเงาของเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาแล้วอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ในที่สุดก็หมุนตัวก้าวขึ้นรถม้าไป

พวกเฟิ่งจือเหยาที่ถูกทิ้งไว้เป็นกลุ่มสุดท้ายต่างหันมองหน้ากัน พักใหญ่ จั๋วจิ้งขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ ตระกูลหลิ่วดูจะแปลกๆ นะขอรับ”

สวีชิงเฉินกวาดตามองรถม้าที่ออกเดินทางไปแล้วเรียบๆ รอยยิ้มที่มุมปากประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่ให้ความรู้สึกประหนึ่งสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิบนยอดเขา “ดูแปลกๆ จริงๆ นั่นล่ะ ได้ยินมานานแล้วว่า ติ้งอ๋องสมัยนั้นขี่ม้าโจนทะยานข้ามสะพาน หญิงสาวต่างพากันกวักมือเรียก ไม่คิดว่ายามนี้ที่อยู่ในวัยรุ่งเรือง จะทำให้สตรีใหลหลงได้มากกว่าในยามนั้นเสียอีก?”

ประโยคนี้ถึงแม้จะฟัดูสุภาพและไพเราะประหนึ่งฟ้าใสมีลมอ่อนๆ แต่ผู้ที่ได้ยินกลับรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง

เฟิ่งจือเหยามองรถม้าคันนั้นที่ตกแต่งอย่างประณีตหรูหรา ต่อให้มีใจคิดอยากช่วยผู้เป็นนายและเป็นเพื่อนรักของตนแก้ตัวสักสามสี่ประโยคแต่ก็ยังทำไม่ได้ ทำให้เพียงสงบปากสงบคำเอาไว้ แม้แต่กุ้ยเฟยแห่งต้าฉู่ยังหลงใหลเขาถึงเพียงนี้ จะไม่เรียกว่าเย้ายวนหมู่ผึ้งหมู่ภมรหรอกหรือ

เมื่อเห็นทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบเป็นการยอมรับ สวีชิงเฉินถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วเสเปลี่ยนเรื่องว่า “เจ้าคิดว่าตรงใดที่แปลกไป”

จั๋วจิ้งคิดเล็กน้อย ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แปลกตั้งแต่ที่ฝ่าบาทส่งหลิ่วกุ้ยเฟยมาหนานจ้าวแล้ว อีกอย่าง…หลิ่วกุ้ยเฟยก็ดูออกจะใจกล้าเกินไปสักหน่อย กิริยาและการกระทำเหล่านี้ของหลิ่วกุ้ยเฟย หากได้ยินไปถึงหูฝ่าบาทเข้า เกรงว่าต่อให้ฝ่าบาทโปรดปรานนางเพียงใด ก็คงต้องเปลี่ยนท่าทีกับนางบ้างกระมัง”

สวีชิงเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง ที่นางใจกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ ด้วยเพราะต้องมั่นใจว่าเรื่องเหล่านี้จะได้ยินไปไม่ถึงหูฝ่าบาท เช่นนั้น…ครานี้คณะทูตที่ต้าฉู่ส่งมาก็คงไม่มีคนของฝ่าบาทอยู่”

“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” เฟิ่งจือเหยาเอ่ย ความหวาดระแวงของม่อจิ่งฉีเลวร้ายเพียงใด พวกเขาล้วนเคยเห็นมาแล้วกับตา เฟิ่งจือเหยานึกสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ในโลกนี้ยังมีคนที่ม่อจิ่งฉีไว้ใจอยู่จริงๆ หรือไม่ ต่อให้เขาเชื่อใจเสนาบดีหลิ่วเพียงใด โปรดปรานหลิ่วกุ้ยเฟยเพียงใด ก็ไม่มีทางไม่ส่งคนของตนมาไว้ข้างกายพวกเขา

สวีชิงเฉินก้มหน้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็เป็นว่าม่อจิ่งฉีคิดว่ามีคนของตนแทรกตัวเข้ามาอยู่ในนี้แล้ว แต่อันที่จริง…คนเหล่านั้นมิใช่คนของเขา ตระกูลหลิ่ว…คิดทำอันใดกันแน่”

เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า เรื่องที่คุณชายชิงเฉินคิดไม่ตก เขาก็ยิ่งคิดไม่ตก จึงเดินไปดึงม้าตัวข้างๆ มากระโดดขึ้นไปพลางเอ่ยว่า “ไว้ค่อยคิดเถิด หากยังไม่รีบไปท่านอ๋องกับพระชายาคงข้ามด่านซุ่ยเสวี่ยไปแล้ว”

คณะเดินทางของม่อซิวเหยาไม่ได้ถูกสกัดกั้นใดๆ ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย เดินทางตามคณะของเสนาบดีหลิ่วออกจากด่านซุ่ยเสวี่ยไปได้อย่างราบรื่น เมื่อพ้นด่านซุ่ยเสวี่ยมาก็คือดินแดนของหนานเจียง คนหนานเจียงตามปกติเป็นคนดุร้ายและเชี่ยวชาญด้านการใช้สิ่งของที่มีพิษ ถึงแม้พวกเขาจะไม่กลัวแต่ก็ไม่อยากไปมีเรื่องกับพวกเขา ตลอดทางจึงไม่มีการหยุดพัก ให้ม้าวิ่งห้อตรงไปยังเมืองหลวงของหนานจ้าวทันที

คณะเดินทางของม่อซิวเหยา ทุกคนต่างใช้ม้าเร็วในการเดินทาง แต่คณะของหลิ่วกุ้ยเฟยกลับมีรถม้ามาด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางพ้นด่านซุ่ยเสวี่ยมาแล้ว จึงเดินทางทิ้งห่างพวกเขาไปไกลทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ ตลอดทางจึงสงบเงียบลงไปไม่น้อย เพียงเวลาไม่กี่วัน คณะของพวกเขาก็เดินทางถึงหน้าประตูเมืองหนานจ้าวอ๋อง

เมืองหนานจ้าวอ๋อง ยังคงโอ่อ่าและมีเสียงดังก้องเช่นเดียวกับเมื่อหลายปีก่อน แค่เพียงตรงปากประตู ก็เห็นผู้คนแต่งตัวตามประเพณีชนเผ่าต่างๆ หลั่งไหลเดินผ่านไปมาไม่ได้หยุด น่าจะด้วยเพราะงานอภิเษกสมรสใหญ่ขององค์หญิงอันซี ถึงแม้ในเขตหนานเจียงจะมีชนเผ่าที่อยู่ห่างไกลจำนวนมาก ที่มิได้อยู่ภายใต้การปกครองของหนานจ้าว เพียงแต่ด้วยงานใหญ่อย่างการอภิเษกสมรสขององค์หญิงอันซี หัวหน้าชนเผ่าทั้งหลายจึงต้องให้เกียรติมาร่วมงาน ดังนั้นเมืองหนานจ้าวอ๋องจึงคึกคักขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากทีเดียว เช่นเดียวกัน ทั้งภายในเมืองและนอกเมืองจึงมีการเพิ่มจำนวนองครักษ์ขึ้นอีกไม่น้อย

เมื่อม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีมาถึง องค์หญิงอันซีย่อมออกมาต้อนรับที่นอกเมืองด้วยตนเอง พอเยี่ยหลีกระโดดลงจากหลังม้า องค์หญิงอันซีก็เดินยิ้มนำคณะออกมาต้อนรับที่ด้านหน้าแล้ว “ชายาติ้งอ๋อง ไม่ได้พบกันเสียนาน ดูมีสง่าราศีมากขึ้นก่อนแต่ก่อนอีกแล้ว”

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “องค์หญิงกล่าวเกินไปแล้ว ยินดีกับงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงด้วยนะเพคะ”

รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงอันซีจางลงไปเล็กน้อย แต่ยังคงอมยิ้มรับคำยินดีของเยี่ยหลี ก่อนผินหน้ามองบุรุษหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง หันไปเอ่ยกับเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาว่า “ติ้งอ๋อง พระชายา นี่คู่หมั้นของข้า ผู่อา”

เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองบุรุษหนุ่มผู้นั้น เขาเป็นคนหนุ่มที่ดูอายุไล่เลี่ยกับองค์หญิงอันซี รูปร่างโปร่งสูงใหญ่ ดูจะสูงใกล้เคียงกับม่อซิวเหยา แต่สีผิวไม่เหมือนกับบุรุษชาวจงหยวน ผิวสีน้ำตาลเข้มยิ่งขับให้เขาดูเข้มแข็งและมีวรยุทธแก่กล้า บนใบหน้าแกร่งดูมีความแข็งขืนและขัดเขินที่เกือบมองไม่ออก สัญชาตญาณของเยี่ยหลีบอกว่า บุรุษผู้นี้เป็นคนซื่อๆ และไม่ซับซ้อน แต่ก็ดูมิใช่คนประเภทที่องค์หญิงอันซีจะชื่นชอบ

บุรุษหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ ให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี พร้อมเอ่ยบางอย่างที่เยี่ยหลีฟังไม่เข้าใจ ฟังดูแล้วมิใช่ภาษาที่คนหนานจ้าวใช้กันทั่วไป แต่เป็นม่อซิวเหยาที่พยักหน้าให้กับบุรุษหนุ่ม พร้อมเอ่ยตอบกลับไปอีกสองสามประโยค

บุรุษหนุ่มผู้นั้นดูจะประหลาดใจเป็นอย่างมากที่บุรุษในชุดขาวตรงหน้าสามารถพูดภาษาของตนได้ สายตาที่มองม่อซิวเหยาจึงดูเป็นมิตรขึ้นมาก

องค์หญิงอันซีส่งยิ้มให้เยี่ยหลี “ผู่อาเป็นบุตรชายคนเดียวของชนเผ่าที่อยู่ห่างไปทางใต้ ชนเผ่าของเขามีความสัมพันธ์อันดีกับชนเผ่าของเสด็จตาของข้า ตอนเด็กๆ ข้าเคยพบหน้าเขาอยู่หลายครั้ง เพียงแต่ภาษาและตัวอักษรของพวกเขาเองแตกต่างจากพื้นที่อื่นๆ มาแต่ไหนแต่ไร และเขาก็เพิ่งเรียนภาษาหนานจ้าวได้ไม่นาน คาดว่าเจ้าก็คงฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อครู่เขาบอกพวกเจ้าว่า ยินดีต้อนรับพวกเจ้าน่ะ”

ที่องค์หญิงอันซีพูดกับเยี่ยหลี คนอื่นๆ ย่อมได้ยินที่นางพูด

ผู่อาหันมององค์หญิงอันซี สีหน้าดูไม่เข้าใจนัก

องค์หญิงอันซีเอ่ยกระซิบเบาๆ ให้เขาฟังสองสามประโยค ผู่อาถึงได้เงยหน้าขึ้นยิ้มพร้อมพยักหน้าให้เยี่ยหลี ใช้ภาษาหนานจ้าวเอ่ยติดๆ ขัดๆ ว่า “ยินดีต้อนรับพวกท่าน”

เยี่ยหลีเมื่อได้ยินภาษาหนานจ้าวที่ติดๆ ขัดๆ และโทนเสียงที่ผิดเพี้ยนแล้ว ก็เห็นว่าเขาพูดติดขัดกว่าตนเสียอีก ฟังดูน่าขบขันยิ่งนัก ก็รู้ว่าคงเพิ่งเรียนได้ไม่นานจริงๆ  นางพยักหน้าตอบกลับด้วยภาษาหนานจ้าวว่า “ขอบคุณมาก ยินดีด้วย”

บุรุษหนุ่มดูจะเข้าใจสิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ย สีหน้าที่มองทุกคนจึงดูเป็นมิตรยิ่งขึ้น ก่อนหันไปพึมพำเอ่ยกับองค์หญิงอันซีอีกสองสามประโยค

องค์หญิงอันซีอมยิ้มมองเยี่ยหลี “เขาบอกว่าพวกเจ้าเป็นสหายของข้า พวกเจ้าทุกคนดีมาก”

เยี่ยหลีอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ ก็ให้รู้สึกว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ดูจะมิใช่คนที่ไม่คู่ควรกับองค์หญิงอันซีเช่นนั้น

พอพวกเขาเอ่ยต้อนรับกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คณะของสวีชิงเฉินที่ตามมาด้านหลังถึงได้เดินตามเข้ามา

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset