“เจิ้นหนานอ๋องมั่นใจว่าจะรับมือมู่หรงสยงได้หรือ” สวีชิงเฉินเอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ แต่เมื่อเจิ้นหนานอ๋องได้ฟังกลับรู้สึกถึงความหมายที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง
ยอดฝีมือแห่งยุทธภพถึงแม้จะดูเผินๆ จะมิได้มีผลอันใดกับภาพรวมนัก แต่เมื่อมาเจอกับมู่หรงสยงที่เป็นยอดฝีมือระดับไม่ธรรมดาแล้ว กลับทำให้ผู้คนมิอาจไม่รู้สึกเกรงกลัวได้ ไม่ว่าจะอยู่ในจุดสูงสุดเพียงใด หากเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมด ให้ไม่ปลาตายก็แหขาด ตั้งมั่นไม่ว่าอย่างไรก็จะเอาชีวิตให้ได้แล้ว ในโลกหล้านี้ก็มีน้อยคนนักที่จะสามารถหยุดเขาได้ ยิ่งคนที่มีตำแหน่งฐานะสูงส่งเท่าไร ก็ยิ่งรักชีวิตมากขึ้นเท่านั้น เจิ้นหนานอ๋องย่อมไม่อยากปล่อยคนที่ทำให้เขารู้สึกเกรงกลัวเอาไว้ง่ายๆ เช่นนี้
เขาต้องการรวบรวมการปกครองใต้หล้าไว้เป็นหนึ่ง คิดอยากทำลายเชื้อสายของม่อหลิวฟางให้หมดสิ้น แต่กหากมาตายเสียในมือของคนในยุทธภพ เช่นนั้นก็คงไม่เหลืออันใดอีกแล้ว
“คุณชายชิงเฉินโน้มน้าวให้หลิงเถี่ยหานลงมือได้แล้ว…ใช่สิ หลิงเถี่ยหานกับคุณชายชิงเฉินและติ้งอ๋องต่างมีมิตรไมตรีต่อกันที่ไม่ธรรมดานี่นะ” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยเสียงขรึม
สวีชิงเฉินยิ้มบางๆ “เรื่องมิตรไมตรีก็ส่วนเรื่องมิตรไมตรี เรื่องการค้าก็ส่วนการค้า ข้าน้อยจะไม่ปิดบังเจิ้นหนานอ๋อง ครานี้ที่ข้าน้อยมาที่นี่ ก็เพียงเพราะติดตามคณะจากหนานจ้าวมาเท่านั้น ข้าน้อยนำคนจากซีเป่ยมาเพียงไม่กี่คน เพียงแต่ในเมื่อข้าน้อยสามารถเจรจาให้เจ้าสำนักหลิงยอมลงมือได้ เช่นนั้นข้าน้อยก็ย่อมพูดให้เจ้าสำนักหลิงเคลื่อนกำลังคนมาตามที่ข้าบอกได้เช่นกัน ครานี้…เกรงว่าคงต้องรบกวนเจ้าสำนักหลิงให้ช่วยลงแรงมากที่สุด การให้ท่านยอมสละผลประโยชน์เพียงแค่หนึ่งส่วนนั้น ไม่ถือว่ามากเกินไปเลยจริงๆ”
เจิ้นหนานอ๋องมิอาจพูดอันใดได้ ผลประโยชน์หนึ่งส่วนที่เอื้อนเอ่ยออกจากปากสวีชิงเฉินแต่เพียงเบาๆ นั้น สำหรับเชาแล้วนั่นหมายถึงเงินจำนวนเป็นแสนถึงเป็นล้านตำลึงเลยทีเดียว
เมื่อมองคุณชายในชุดขาวที่นั่งอมยิ้ม ประหนึ่งดวงจันทร์สว่างยามลมพัดอ่อนตรงหน้าแล้ว ก็เป็นอีกครั้งที่เจิ้นหนานอ๋องรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกที่อก จะกลืนก็กลืนไม่ลง จะคายก็คายไม่ออก
“ข้าไม่เข้าใจ เหตุใดคุณชายชิงเฉินถึงต้องการเล่นงานตระกูลมู่หรง จะว่าไป…การมีอยู่ของตระกูลมู่หรงก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีต่อซีเป่ยเสียเลยกระมัง” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยถาม ขอเพียงตระกูลมู่หรงยังอยู่ การค้าของซีหลิงไม่มีทางตามต้าฉู่ทัน หากเทียบกับต้าฉู่ที่มีตระกูลเป็นร้อยตระกูลแข่งขันกันแล้ว ตระกูลมู่หรงก็ผูกขาดการค้าของซีหลิงไว้แต่ผู้เดียวมานานเกินไปแล้วจริงๆ
สวีชิงเฉินยกชาขึ้นจิบน้อยๆ เอ่ยถอนใจเบาๆ ว่า “เอาจริงๆ ข้าน้อยก็เคยคิดที่จะร่วมมือกับตระกูลมู่หรง น่าเสียดาย…ที่คนบางคนไม่รู้จักวาระและโอกาสเอาเสียเลย ทุกวันนี้หากตระกูลมู่หรงกลายเป็นภัยร้ายที่หลบซ่อนอยู่ของซีหลิงได้ ต่อไปก็ไม่แน่ว่าจะไม่กลายเป็นภัยร้อยที่หลบซ่อนอยู่ของตำหนักติ้งอ๋อง”
“เจิ้นหนานอ๋องนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ แล้วถึงเอ่ยด้วยความเลื่อมใสว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ทำตามที่คุณชายชิงเฉินกล่าวก็แล้วกัน มีอันใดที่จำเป็นให้ข้าทำ คุณชายชิงเฉินส่งคนไปบอกเถิงเฟิงไว้ก็แล้วกัน”
เถิงเฟิงเข้าใจทันทีว่าเสด็จพ่อมอบหมายเรื่องนี้ให้ตนจัดการ จึงพยักหน้า หันไปประสานมือให้สวีชิงเฉิน “รบกวนคุณชายชิงเฉินช่วยชี้แนะด้วย”
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ซื่อจื่อกล่าวเกินไปแล้ว”
พ่อลูกเจิ้นหนานอ๋องไปได้ไม่เท่าไร หลิงเถี่ยหานก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน ส่งยิ้มน้อยๆ ให้สวีชิงเฉินพลางเอ่ยว่า “ยากนักที่คุณชายชิงเฉินจะคิดถึงข้าน้อย ไม่เสียแรงที่ยามนั้นข้าน้อยได้ผูกมิตรกับท่าน หากข้ามีสหายเช่นท่านมากขึ้นอีกสักสามสี่คน ข้าคงไม่ต้องเป็นห่วงพวกเจ้าทึ่มที่สำนักแล้ว”
สวีชิงเฉินเหลือบตาขึ้นยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าสำนักหลิงเห็นด้วยแล้วหรือ”
หลิงเถี่ยหานพยักหน้า “เห็นด้วยแน่นอน เรื่องดีๆ เช่นนี้ เหตุใดจะไม่เห็นด้วยเล่า หากทำการค้าครานี้ สำนักเยี่ยนอ๋องไม่ต้องเปิดบัญชีไปอีกสามปีห้าปีเลยยังได้ เพียงแต่…ครานี้ท่านใจกว้างมากทีเดียว ข้ายังคิดว่าต่อให้ท่านไม่ตีหัวเหลยเจิ้นถิง แต่อย่างน้อยก็ต้องขอแบ่งเขาสักครึ่งหนึ่งเสียอีก”
สวีชิงเฉินเอ่ยว่า “ถึงอย่างไรซีหลิงก็เป็นพื้นที่ในการปกครองของเจิ้นหนานอ๋อง หากบีบเขามากเกินไป ก็มีแต่จะทำให้ไก่ตื่นจนทำไข่แตก จับหมาป่าด้วยมือเปล่า ได้ประโยชน์มาสามส่วนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว หากมากไปกว่านี้ จะทำให้ผู้อื่นนึกเกลียดเอาได้ง่ายๆ”
หลิงเถี่ยหานขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ครานี้ถือว่าท่านได้ช่วยเหลือเหลยเจิ้นถิง เขาคิดอยากจัดการกับตระกูลมู่หรงมานานแล้ว ท่านไม่กลัวหรือว่า หากเขาตั้งหลักได้จะไม่กลับมาแว้งกัดท่าน ซีหลิงเป็นแคว้นที่ไม่ได้มีท้องพระคลังร่ำรวยมากนัก เมื่อใดก็ตามที่เขาตั้งหลักได้ เกรงว่าต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องมีกองกำลังที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็คงต้านเขาไม่อยู่กระมัง”
ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องมีกองกำลังที่ห้าวหาญและเชี่ยวชาญด้านการรบเพียงใด แต่อย่างไรก็ยังมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ที่เล็กจนเกินไป ทั้งยังอยู่ตรงกลางระหว่างสามแคว้น ต้าฉู่ที่อุดมสมบูรณ์มั่งคั่งที่สุด พวกเขามิอาจยกทัพไปตีได้ เป่ยหรงที่อยู่ทางตอนเหนือ หากยกทัพไปตีกลับมา ก็มิได้มีประโยชน์อันใดนัก อีกทั้งคนต่างชนเผ่าที่ดุดันและหยาบกระด้างเหล่านั้น ก็มิใช่คนที่บัณฑิตของต้าฉู่จะสามารถเทียบเคียงได้ ทั้งยังมีซีหลิงคอยจับจ้องตาเป็นมันอยู่อีก ถึงแม้หลายปีนี้การปกครองในซีหลิงจะเป็นไปได้ไม่เลว แต่ในสายตาคนจำนวนมาแล้ว อนาคตของซีเป่ยก็ยังน่าเป็นห่วงนัก
สวีชิงเฉินใช้ฝาถ้วยชาเขี่ยเศษชาด้านบนด้วยท่าทีสง่างาม เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “บางสิ่งบางอย่างคิดอยากทำลายนั้นง่ายเพียงปลายนิ้ว แต่หากคิดอยากสร้างขึ้นใหม่…นั่นคงยากเสียยิ่งกว่ายาก หากเหลยเจิ้นถิงคิดเพียงว่า ขอเพียงตระกูลมู่หรงล้มลงแล้วการค้าในซีหลิงจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ล่ะก็ เช่นนั้นเขาคงต้องผิดหวังแล้ว ถึงแม้จะได้ค่าใช้จ่ายทางการทหารมาก้อนโต แต่อย่างน้อย…ภายในสามปีหรือห้าปี ซีหลิงจะมีแต่จะยากจนลงกว่าแต่ก่อน”
การสั่นสะเทือนตระกูลมู่หรง ก็เท่ากับเป็นการสั่นสะเทือนการค้าทั่วทั้งซีหลิง หากไม่ใช้เวลาสามปีถึงห้าปี ต่อให้มีอัจฉริยะบุคคลเพียงใดก็ไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ อีกทั้ง ผู้มีอิทธิพลและชนชั้นสูงในยุคนี้ หากมิใช่อยู่ในช่วงที่ขัดสนเงินทองแล้ว โดยทั่วไปก็มักไม่เห็นพวกพ่อค้าอยู่ในสายตา ฝ่ายปกครองที่เข้าใจเรื่องการค้าอย่างถ่องแท้ก็ยิ่งหาได้น้อยนัก หากเจิ้นหนานอ๋องคิดว่า เมื่อไม่มีตระกูลมู่หรง ทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น ตนสามารถปกครองได้ง่าย ผู้คนสมัครสมานสามัคคีกันแล้ว เช่นนั้นก็บอกได้เพียงว่า เขาไม่เคยศึกษาเรื่องการค้าอย่างจริงจังมาก่อน
ดูท่า การฟังหลีเอ๋อร์พูดคุยไว้บ้างก็มีข้อดีอยู่มากทีเดียว อย่างน้อยบางครั้งความคิดเห็นที่นางพูดออกมาบางอย่าง ก็เป็นสิ่งที่คนฉลาดหลักแหลมอย่างคุณชายชิงเฉินไม่เคยคิดถึงข้อนั้นมาก่อน เมื่อคิดถึงสตรีที่ดูมีความมั่นใจและอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจที่เคยได้พูดคุยเล่นกันในห้องแล้ว บนใบหน้าของสวีชิงเฉินก็มีรอยยิ้มจางๆ เผยให้เห็น
หลิงเถี่ยหานนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถึงได้ระบายลมหายใจออกมา “ข้ายังคิดว่าท่านกำลังวางแผนเล่นงานตระกูลมู่หรงเสียอีก ยามนี้ดูแล้วกำลังเล่นงานเหลยเจิ้นถิงเสียมากกว่า” ก็ถูก ถึงแม้ตระกูลมู่หรงจะได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่ทรัพย์สมบัติของตำหนักติ้งอ๋องมีมากน้อยเพียงไร ก็ไม่เคยมีผู้ใดเคยคิดคำนวณโดยละเอียดมาก่อน ต่อให้สู้ตระกูลมู่หรงไม่ได้ แต่การที่ยังสามารถเลี้ยงดูกองทัพตระกูลม่อจำนวนหลายแสนนายมาได้ทั้งๆ ที่ถูกฮ่องเต้หลายรุ่นกดขี่ไว้ การมีเงินทองมากเช่นนี้ เกรงว่าอาจจะมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าภูเขาทองคำแม่น้ำเงินของตระกูลมู่หรงสักเท่าใด การมาเจอกับคู่ปรับเช่นนี้ เหลยเจิ้นถิงคงทำได้เพียงยอมรับว่าตนโชคไม่ดีเสียแล้ว
“พวกท่านใช้สมองคิดอันใดกันมาเกินไปแล้ว ข้าขี้เกียจจะคิดเรื่องอันใดเช่นนี้ หากจะลงมือก็ส่งคนมาบอกข้าสักหน่อยก็แล้วกัน” หลิงเถี่ยหานเอ่ยเสียงต่ำ
ตลอดชีวิตของเขาสิ่งที่ต้องการไขว่คว้ามามีเพียงจุดสูงสุดด้านวรยทุธ์ เรื่องการเมืองราชสำนักเขาไม่เคยนึกใส่ใจ ต่อให้เป็นในสำนักเยี่ยนอ๋อง โดยมากเขาก็รู้สึกว่าเป็นเพียงหน้าที่ความรับผิดชอบเท่านั้น กับเรื่องอ้อมไปอ้อมมาที่สวีชิงเฉินพูด ที่แค่ฟังก็ปวดหัวแล้วเหล่านั้น เขาย่อมไม่นึกสนใจ
สวีชิงเฉินอมยิ้มรับคำ มองหลิงเถี่ยหานที่กลับออกไปทางหน้าต่างอย่างเก่า แล้วภายในห้องก็กลับคือสู่ความสงบอีกครั้ง
ตั้งแต่วันที่สวีชิงเฉินกลับออกมาจากบ้านตระกูลมู่หรง ก็มิได้ส่งข่าวอันใดตอบกลับตระกูลมู่หรงอีกเลย
การจัดอันดับในการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพครั้งใหม่ก็ออกมาแล้ว เพียงแต่ครานี้ผลกลับดูแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัด สี่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของเมื่อสองสมัยที่แล้ว ล้วนยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้มีเพียงสองคนที่มาปรากฏตัวในงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพครานี้ แต่ทั้งสองกลับมิได้ขึ้นไปแสดงฝีมือบนเวที ด้วยเพราะยอดฝีมือรุ่นใหม่ในครานี้ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมที่จะได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งได้ สุดท้ายแล้ว งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพที่เปิดงานอย่างใหญ่โต จึงปิดงานลงไปอย่างแกนๆ
ส่วนตระกูลมู่หรงที่เมื่อหลายวันก่อนยังอดทนรอคำตอบของสวีชิงเฉิน อีกทั้งเมื่อเห็นว่าหลังจากงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพผ่านพ้นไปแล้วสวีชิงเฉินก็ยังมิได้ไปจากเมืองอัน เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานเข้าบ้านเจ้าสาวเช่นนี้ จำเป็นต้องใช่เวลาในการใคร่ครวญให้ดี ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ แต่หลังจากเวลาค่อยๆ ผ่านไป ตระกูลมู่หรงก็เริ่มรับรู้ว่า สถานการณ์ดูจะไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าไร
บางพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปสักหน่อยยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่จุดที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลีเริ่มมีข่าวคราวแพร่ออกมาแล้ว การค้าในแต่ละพื้นที่ดูจะเริ่มเกิดปัญหาขึ้น ซึ่งผู้ที่เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้มิได้มีเพียงราชวงศ์ซีหลิงเท่านั้น แต่กลับมีร่องรอยของต้าฉู่ หรือจะเรียกว่าตำหนักติ้งอ๋องรวมอยู่ด้วย เมื่อประมุขตระกูลมู่หรงคิดถึงสีหน้ายิ้มน้อยๆ สบายๆ ของบุรุษในชุดขาวยามอยู่ในห้องโถงใหญ่ตระกูลมู่หรงแล้ว สีหน้าก็ยิ่งดูย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก
ซึ่งนั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยามที่ตระกูลมู่หรงพบว่า การค้าของตระกูลในต้าฉู่ หนานจ้าวและซีหลิงเกิดปัญหาขึ้นนั้น ร้านค้าของตนไม่ขาดทุนจนต้องปิดกิจการ ก็ถูกบีบให้ต้องปิดตัวลง หรือแม้กระทั่งถูกทำลายจนไม่มีเหลือ ประมุขตระกูลมู่หรงถึงได้รู้แจ้งแก่ใจว่า บุรุษที่สง่างามเหนือผู้คนทั้งปวงนั้น มีความสามารถมากมายเพียงใด
“สารเลว! เจ้าเด็กแซ่สวีนั่นเสียสติไปแล้วหรือไร!” ภายในห้องหนังสือตระกูลมู่หรง เมื่อมู่หรงสยงได้อ่านรายงานที่หลานชายของตนส่งมารายงาน ก็ถึงกับโกรธจัด
มู่หรงหมิงเหยียนที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านปู่ ยืนน้ำตากลบตาอยู่เสียนานแล้ว นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า เพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงานกับนางแล้ว เขาจะถึงขั้นลงมือเล่นงานตระกูลสวี
มู่หรงสยงเอ่ยอย่างโกรธจัดว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป! ข้าต้องการให้ตำหนักติ้งอ๋องในซีเป่ยหาซื้อเหมืองเหล็กไม่ได้อีกแม้แต่เศษเดียว!”
ประมุขตระกูลมู่หรงฝืนยิ้มแกนๆ เอ่ยว่า “เพิ่งมีข่าวส่งมาเมื่อครู่ ภายในพื้นที่ซีเป่ยเองก็มีเหมืองเหล็กอยู่ อีกทั้ง…ยามนี้ตำหนักติ้งอ๋องไม่เพียงทำการค้ากับแคว้นโดยรอบ แต่ยังมีแคว้นต่างๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไปทางตะวันตกอีกด้วย ทางฟากซีเป่ยเริ่มเล่นงานร้านค้าของพวกเราตั้งแต่งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพยังไม่เริ่มต้นเลยด้วยซ้ำขอรับ เกรงว่า…ที่เจ้าคนแซ่สวีนั่นมาในครานี้ คงมิได้มีจุดประสงค์ดีอย่างแน่นอน”
มู่หรงสยงโกรธจนพ่นลมหายใจออกมาโดยแรง “ตระกูลมู่หรงเสียหายไปเท่าไรกันแน่”
ประมุขตระกูลมู่หรงเอ่ยว่า “กิจการนอกอาณาเขตซีหลิงทั้งหมดไม่เหลือเลยขอรับ”
ฐานการค้าของตระกูลมู่หรงอยู่ในซีเป่ย ในพื้นที่อื่นถึงจะมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นส่งผลอันใดมากมายต่อการค้าของอีกฝ่าย หากคิดจะเล่นงานขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใดมากนัก เกรงว่าหากการค้าของตระกูลมู่หรงเหล่านั้นล้มลง บรรดาพ่อค้าของแต่ละแคว้นยังต้องยกจอกขึ้นฉลองกันเสียด้วยซ้ำ
“การค้าในเขตซีเป่ยก็เสียหายหนักเช่นกัน ซึ่งไม่เพียงโดนกดดันจากคนของเจิ้นหนานอ๋องและข้าราชการเท่านั้น แต่ยังมีพ่อค้าชาวบ้านทั่วไปจำนวนไม่น้อย ที่เริ่มหันมาโจมตีพวกเราขอรับ”
ตระกูลมู่หรงผูกขาดการค้ากว่าครึ่งในซีหลิง ย่อมต้องสร้างศัตรูไว้จำนวนนับไม่ถ้วน มู่หรงสยงหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อพวกมันคิดจะสู้กับพวกเรา ก็ให้พวกมันได้เห็นสักหน่อยก็แล้วกัน ว่าตระกูลมู่หรงมีทรัพย์สมบัติอยู่มากน้อยเพียงไร!”
ความร่ำรวยของตระกูลมู่หรงจะมาจากร้านค้าภายนอกเพียงอย่างเดียวได้อย่างไร แค่เพียงเงินทองที่เก็บสะสมมาหลายร้อยปี ก็เพียงพอที่จะทับคนที่คิดมาเป็นศัตรูให้ตายได้แล้ว