สีหน้าหลิงเถี่ยหานกับเจิ้นหนานอ๋องเปลี่ยนไปทันที ทั้งสองเข้ามาขวางหน้าสวีชิงเฉินไว้ พร้อมพุ่งฝ่ามือออกไป
องครักษ์ลับที่อยู่ด้านหลังสวีชิงเฉินดึงสวีชิงเฉินให้ถอยห่างไปเป็นสิบก้าวก่อนแล้ว ฝ่ามือทั้งสี่ของทั้งสามปะทะกัน จนทำให้เกิดลมหอบใหญ่ขึ้นทันที บรรดาคนที่อยู่รอบๆ ต่างพากกันถอยหลังด้วยเพราะรับพลังนั้นไม่ไหว
หลิงเถี่ยหานกับเจิ้นหนานอ๋องถอยหลังกันไปคนละสองก้าว เมื่อเห็นมู่หรงสยงกระโดดหมุนตัวลงยืนกับพื้น หลิงเถี่ยหานก็ยิ้นเย็น “ผู้อาวุโสมู่หรงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วใต้หล้าตั้งแต่หลายสิบปีก่อน การลงมือกับคนที่ไม่มีวรยุทธนั้น ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งอย่างนั้นหรือ ชื่อเสียงยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าคงมิใช่ชื่อเสียงปลอมๆ หรอกกระมัง”
“บังอาจ!” มู่หรงสยงตะคอกด้วยความโกรธจัด พุ่งฝ่ามือเข้าใส่หลิงเถี่ยหานอย่างไม่ลังเลโดยทันที
หลิงเถี่ยหานหารู้ไม่ว่า คำพูดของเขาเมื่อครู่ ไปจี้จุดเจ็บของมู่หรงสยงเข้าพอดี ยามนั้นถึงเขาจะชนะและได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แต่เอาเข้าจริงเขากลับไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลยหากต้องประมือกับหลินฟู่ฉินที่เป็นปู่ของเหรินฉีหนิงผู้นั้น เพียงแต่หลินฟู่ฉินไม่ได้มาประมือหรือมาแย่งชิงตำแหน่งนี้กับเขาก็เท่านั้น ยามนี้เมื่อได้ยินที่หลิงเถี่ยหานเอ่ย จึงประหนึ่งเขาเอ่ยเยาะหยันด้วยเพราะรู้ความจริงเมื่อในอดีต
อันที่จริง นั่นเป็นสิ่งที่มู่หรงสยงคิดมากไปเอง ต่อให้เป็นหลิงเถี่ยหานที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือแห่งใต้หล้า แต่ก็ยังรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า ในยุทธภพนี้ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีคนที่แข็งแกร่งไปกว่าพวกเขาอยู่
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้ามิใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ ถึงแม้หลายวันก่อนหน้านี้ ที่หลิงเถี่ยหานต่อสู้ตัดสินกับม่อซิวเหยา จะทำให้วรยุทธเขามีความก้าวหน้าขึ้น แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับมู่หรงสยง ก็ยังไม่มีโอกาสจะชนะ
เมื่อเทียบกับหลิงเถี่ยหานที่ถูกมู่หรงสยงจ้องเขม็งอยู่แล้วนั้น เจิ้นหนานอ๋องที่เคลื่อนตัวอยู่ข้างๆ ก็ดูจะสบายกว่ามากนัก ถึงขั้นมีเวลาสังเกตวิทยายุทธและกระบวนท่าของหลิงเถี่ยหานกับมู่หรงสยงเลยทีเดียว
เหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรคที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านหนึ่ง เมื่อเห็นหลิงเถี่ยหานตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ก็อดร้อนใจขึ้นมาไม่ได้
เหลิ่งหลิวเย่ว์หยิบดาบขึ้นมา คิดจะพุ่งออกไป แต่สวีชิงเฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับก้าวออกมาขวางไว้ “เจ้าสำนักเหลิ่ง ท่านออกไปตอนนี้ก็ช่วยกันใดไม่ได้”
การปะทะกันของสุดยอดฝีมือเช่นนี้ หากมิใช่สุดยอดฝีมือระดับเดียวกันเข้าไป ก็เป็นได้เพียงดินปืนที่ไร้กระบอกปืนเท่านั้น
เมื่อสวีชิงเฉินเหลือบไปเห็นเจิ้นหนานอ๋องที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่ สวีชิงเฉินก็เอ่ยด้วยเสียงอันดังก้องว่า “ท่านอ๋อง ท่านคนเดียวสู้ผู้อาวุโสมู่หรงได้หรือ”
เจิ้นหนานอ๋องอึ้งไปด้วยความตกใจ ก่อนจะกระแทกเท้าเข้าไปร่วมกับการต่อสู้ระหว่างหลิงเถี่ยหานและมู่หรงสยงทันที
ถูกต้อง เขามีความแค้นกับหลิงเถี่ยหาน หากสามารถให้มู่หรงสยงสังหารหลิงเถี่ยหานก่อน แล้วสังหารสวีชิงเฉินตาม ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุด แต่น่าเสียดาย หากหลิงเถี่ยหานตายลงเสีย เขาก็จะกลายเป็นคู่ต่อสู้คนต่อไปของมู่หรงสยง หากเป็นเช่นนั้น สู้จัดการคนที่มีอำนาจในการข่มขู่มากที่สุดให้เรียบร้อยก่อนเสียจะดีกว่า ความแค้นระหว่างเขากับหลิงเถี่ยหานมิใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดเพียงหนึ่งหรือสองปี แต่ทุกคนก็ยังอยู่ดีมีสุขกันมิใช่หรือ
เมื่อเจิ้นหนานอ๋องเข้าไปร่วมด้วย หลิงเถี่ยหานก็เบาแรงลง เมื่อทั้งสองร่วมมือกันต่อสู้กับมู่หรงสยง การต่อสู้ก็ดูจะสูสีขึ้นมาทันที
เหรินฉีหนิงที่อยู่อีกด้านมีสีหน้าบึ้งตึง กวาดตามองทุกคนในลานประลองทีหนึ่ง ก่อนจะกระโดดเข้าไปร่วมในการประลองด้วย
ครานี้ไม่ต้องให้สวีชิงเฉินเอ่ยเตือน เหลิ่งหลิวเย่ว์กับเหลยเถิงเฟิงก็พุ่งตัวออกไปพร้อมกัน เพื่อสกัดเหรินฉีหนิงไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ยอดฝีมือที่สามารถออกแรงได้ก็ล้วนเข้าไปต่อสู้กันหมด คนของตระกูลมู่หรงและเหรินฉีหนิงต่างก็พุ่งตัวออกมาเมื่อได้รับสัญญาณจากประมุขตระกูลมู่หรง
คนของสำนักเยี่ยนอ๋องและองครักษ์เสื้อแพรของเจิ้นหนานอ๋องที่อยู่ด้านหลังสวีชิงเฉินก็พากันดาหน้าออกไปอย่างไม่น้อยหน้า
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น บ้านตระกูลมู่หรงก็เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและหยาดเลือดที่กระสานซ่านเซ็นทันที
“เหตุใดท่านถึงต้องทำเช่นนี้กับข้า” มู่หรงหมิงเหยียนมองความวุ่นวายตรงหน้า แล้วจึงค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาถามสวีชิงเฉินเสียงเข้ม
วิทยายุทธของนางไม่ถือว่าแก่กล้า แต่ก็ไม่ถือว่าอ่อนด้อย ตลอดทางที่เดินฝ่าการต่อสู้มานั้น คนทั้งสองฝ่ายมิได้ลงมือทำอันใดนาง แต่นางก็เดินฝ่ามาถึงตรงหน้าสวีชิงเฉินได้
สวีชิงเฉินหรุบตาลง เอ่ยกับนางด้วยความสงบนิ่ง “คุณหนูมู่หรง ข้าน้อยเคยบอกแล้วว่าท่านกับข้าไม่เหมาะสมกัน คุณหนูมู่หรงไม่ควรดื้อรั้นจนพาให้ผู้อื่นลำบาก”
มู่หรงหมิงเหยียนเอ่ยด้วยน้ำตากลบตาว่า “ดังนั้น…ดังนั้นข้าบังคับให้ท่านแต่งงานกับข้า ท่านถึงจะทำลายตระกูลข้า? ชิงเฉิน…คุณชายชิงเฉิน ผู้คนต่างว่ากันว่า คุณชายชิงเฉินสุภาพเรียบร้อยประหนึ่งเทพเซียน แต่ที่แท้ท่านกลับใจคอโหดเหี้ยม!”
มุมปากสวีชิงเฉินติดจะอมยิ้ม “ทำให้คุณหนูมู่หรงผิดหวังแล้ว สวีชิงเฉินหาใช่เทพเซียนไม่” ยิ่งไปกว่านั้น…ผู้ใดว่าเป็นเทพเซียนแล้วจะมีใจเมตตากัน ที่ผู้คนต่างพากันก้มหัวเคารพบูชา แต่ผู้ใดเลยที่เคยเห็นเทพเซียนลงมาประทานความเมตตาจริงๆ บ้าง
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไปตายเสียเถิด!” สีหน้ามู่หรงหมิงเหยียนเปลี่ยนไป พร้อมเอ่ยเสียงเข้ม แสงประกายจากกริชในมือพุ่งตรงเข้าหาหน้าอกของสวีชิงเฉิน
สวีชิงเฉินสีหน้านิ่งเฉย แม้แต่แววตาก็นิ่งสงบไร้แวววูบไหว มองตรงไปยังกริชที่หยุดห่างจากหน้าอกเขาไปเพียงไม่กี่ชุ่น ก่อนดวงตาของมู่หรงหมิงเหยียนจะปิดลงพร้อมล้มลงกับพื้น
องครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉิน เอ่ยรายงานด้วยความเคารพพร้อมสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ตายขอรับ”
สวีชิงเฉินก้มหน้าลงมองมู่หรงหมิงเหยียนที่เป็นลมล้มลงกับพื้นพลางพยักหน้า คนด้านข้างก็ก้าวเข้ามาเคลื่อนตัวนางออกไปด้านข้าง
วิยายุทธของเหลิ่งหลิวเย่ว์กับเหลยเถิงเฟิงล้วนไม่อ่อนด้อย แต่ก็ยังห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของเหรินฉีหนิงที่คว้าตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งของงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพไปได้
ไม่นานเหลยเถิงเฟิงก็ถูกถีบออกมาก่อน เมื่อขาดเหลยเถิงเฟิงไป เหลิ่งหลิวเย่ว์ย่อมยากที่จะต้านทาน เดิมทีสิ่งที่นางเชี่ยวชาญก็มิใช่เพลงดาบ แต่เป็นวิชาตัวเบาและอาวุธลับ เมื่อต่อสู้กันไปมาสักสามสี่รอบ ก็ถูกเหรินฉีหนิงบีบจนร่ายรำกระบวนท่าไม่ออก
บัณฑิตขี้โรคยืนมองทั้งสองปะทะกันด้วยความร้อนใจ นึกแค้นใจตนเองที่วรยุทธไม่แก่กล้าพอ ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ยามนี้เหลิ่งหลิวเย่ว์กับเหรินฉีหนิงอยู่ใกล้กันจนเกินไป เขาคิดอยากใช้พิษเข้าช่วยเหลิ่งหลิวเยว์ก็ทำไม่ได้
สำนักเยี่ยนอ๋องเชี่ยวชาญด้านการลอบสังหาร หากต้องปะทะกันซึ่งๆ หน้า อย่างไรก็เสียเปรียบกว่าเล็กน้อย
สวีชิงเฉินขมวดคิ้วมองการต่อสู้ตรงหน้า เขาโบกมือ ก็มีเงาดำสี่เงาตรงเข้าไปล้อมเหรินฉีหนิงไว้ เหลิ่งหลิวเย่ว์จึงใช้จังหวะนั้นถอยออกมาจากวงต่อสู้ แล้วการต่อสู้แบบสี่ต่อหนึ่ง ก็เริ่มขึ้นทันที
หากว่าเรื่องวรยุทธแล้ว พวกเขาล้วนไม่มีผู้ใดแก่กล้าไปกว่าเหรินฉีหนิง หรือแม้กระทั่งเหลิ่งหลิวเย่ว์ แต่เมื่อพวกเขาลงมือพร้อมๆ กัน ด้วยกระบวนท่าที่พร้อมจะตรงเข้าทำร้าย จึงดูเป็นการต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบประหนึ่งซ้อมต่อสู้ร่วมกันมาแล้วเป็นร้อยรอบพันรอบกระนั้น จนทำให้เหรินฉีหนิงมือไม้เป็นพัลวันขึ้นมาทันที
เหลิ่งหลิวเย่ว์กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ยกมือขึ้นเช็ดรอยเลือดที่มุมปากก่อนเอ่ยชื่นชมว่า “หน่วยกิเลนของตำหนักติ้งอ๋องช่างไม่เสียชื่อเลยจริงๆ”
ก่อนหน้านี้เหลิ่งหลิวเย่ว์เคยปะทะกับองครักษ์กับของตำหนักติ้งอ๋องมาก่อน ย่อมมองออกว่าทั้งสี่คนนี้แตกต่างจากองครักษ์ลับอย่างสิ้นเชิง เพียงตรึกตรองเล็กน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้คือผู้ใด
สวีชิงเฉินเองก็พอใจเป็นอย่างยิ่ง หลีเอ๋อร์พูดไว้ไม่มีผิด ในเมื่อสามารถจัดการกับมู่ฉิงชังที่เป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือแห่งใต้หล้าได้ ก็สามารถจัดการกับเหรินฉีหนิงได้ไม่ยากเช่นกัน
เมื่อทางฟากเหรินฉีหนิงไม่สามารถต่อสู้ให้เสร็จได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว สายตาทุกคนจึงเปลี่ยนไปมองทางมู่หรงสยง
เหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรค เมื่อหลายวันก่อนเคยเห็นการประลองยุทธระหว่างหลิงเถี่ยหานและม่อซิวเหยามาแล้ว เมื่อเห็นการต่อสู้ของทั้งสาม จึงไม่เห็นว่ามีอันใดโดดเด่นไปกว่าการประลองยุทธระหว่างหลิงเถี่ยหานและม่อซิวเหยา ที่ถึงแม้จะมองกระบวนท่าที่ชัดเจนไม่ออก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังดาบและจิตแห่งการต่อสู้อย่างชัดเจน แต่การต่อสู้ของทั้งสามตรงหน้า มิได้รวดเร็วเพียงนั้น อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถมองทุกอย่างได้อย่างชัดเจน กระบวนท่าก็มิได้พลิ้วไหวแต่อย่างไร แต่ฝ่ามือทุกฝ่ามือล้วนเข้าถึงตัว พลังดาบที่วาดผ่าน ถือเป็นการต่อสู้ที่หมายเอาชีวิตอย่างแท้จริง
เดิมหลิงเถี่ยหานกับเจิ้นหนานอ๋องมีเรื่องผิดใจกันอยู่แล้ว ดังนั้นการร่วมมือกันระหว่างทั้งสองจึงไม่ถือว่ารู้ใจกันมากนัก
มู่หรงสยงผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน จะมองจุดนี้ไม่ออกได้อย่างไร จึงคอยหาโอกาสที่มีช่องโหว่ ใช้ฝ่ามือผลักหลิงเถี่ยหานออกไป จากนั้นก็ทุ่มกำลังเข้าต่อกรกับเจิ้นหนานอ๋อง
เจิ้นหนานอ๋องเมื่อเหลืออยู่เพียงคนเดียว ผ่านไปเพียงร้อยสองร้อยกระบวนท่าก็พ่ายแพ้ลง
มู่หรงสยงใช้สายตาเย็นเยียบมองไปยังหลิงเถี่ยหานและเจิ้นหนานอ๋องที่นั่งอยู่คนหนึ่ง ยืนอยู่คนหนึ่ง เมื่อเห็นว่าต่างบาดเจ็บกันไปไม่น้อย จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างดูแคลนว่า “พวกอ่อนอาวุโสเกิดทีหลังสองคน คิดอยากงัดข้อกับข้า?!”
หลิงเถี่ยหานมองเขาด้วยสายตานิ่งเย็น พวกเขาบาดเจ็บกันไม่น้อยนั้นเป็นเรื่องจริง แต่มู่หรงสยงก็ใช่ว่าจะไม่บาดเจ็บอันใดเลย เพียงแต่เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วไม่ถือว่าหนักก็เท่านั้น
มู่หรงสยงมิได้เข้าไปยุ่งกับฟากเหรินฉีหนิง แต่กลับหันมองไปทางสวีชิงเฉิน ยิ้มพร้อมเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าเด็กแซ่สวี เจ้าเห็นอย่างนี้แล้วว่าอย่างไร คิดว่ามีเจ้าเด็กสองคนนี้จึงคิดอยากล้มตระกูลมู่หรง เจ้าจะคิดการใหญ่ไปสักหน่อยละมัง”
สวีชิงเฉินก็ไม่เร่งร้อน ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “วรยุทธที่แก่กล้าของผู้อาวุโสนั้น สูงส่งกว่าที่ข้าน้อยคาดไว้จริงๆ เพียงแต่…ผู้อาวุโสคิดว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตระกูลมู่หรงจะยังสามารถตั้งอยู่ได้อีกหรือ ตระกูลมู่หรงจะแข็งแกร่งกว่าองครักษ์เสื้อแพรของเจิ้นหนานอ๋องหรือกองพลนับล้านนายของซีหลิงหรือ”
มู่หรงสยงหน้าถอดสี เอ่ยว่า “ก่อนที่องครักษ์เสื้อแพรกับทัพใหญ่นับล้านนายจะมาถึง พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายเสียก่อน!”
หลิงเถี่ยหานยิ้ม “ไม่รู้คนที่ตายจะเป็นใคร ผู้อาวุโสมู่หรง ท่านอายุมากแล้วก็ควรรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี การออกมาวุ่นวายกับเรื่องของคนรุ่นหลังนั้น ถือว่ายุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆ”
มู่หรงสยงยิ้มเยาะให้หลิงเถี่ยหาน
เจิ้นหนานอ๋องที่ยืนอยู่ มองหลิงเถี่ยหานทีหนึ่ง หันมองสวีชิงเฉินทีหนึ่งอย่างใช้ความคิด
มู่หรงสยงเงยหน้าหัวเราะขึ้นฟ้า โบกมือแล้วชี้หน้าสวีชิงเฉิน “ข้าจะคอยดูว่าคุณชายชิงเฉินที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า จะรักษาชีวิตตนเองไว้ได้อย่างไร!”
มู่หรงสยงผลักหลิงเถี่ยหานและเจิ้นหนานอ๋องที่ขวางหน้าอยู่ออกไปได้อย่างสบายๆ พุ่งตรงเข้าใส่สวีชิงเฉิน การโจมตีครานี้ ไม่ว่าอย่างไรสวีชิงเฉินก็ไม่มีทางหลบหลีกไปได้ อย่าว่าแต่สวีชิงเฉินเลย แม้แต่องครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าสวีชิงเฉินรวมถึงพวกเหลิ่งหลิวเย่ว์ เมื่อต้องเจอกับพลังกดดันประหนึ่งพลิกแผ่นฟ้าเข้าไปเช่นนี้ ก็ยากแม้แต่จะขยับเขยื้อนเคลื่อนตัว
หลิงเถี่ยหานหน้าถอดสี “ชิงเฉิน!”
เงาสีขาวเงาหนึ่งกระโดดขึ้นจากด้านหลังอย่างสง่างาม ก่อนดาบเล่มหนึ่งจะวาดออกเป็นแนวขวาง พลังดาบอันคมกริบประหนึ่งมีพลังที่สามารถตัดทุกอย่างที่ลอยอยู่ในอากาศได้
พวกเหลิ่งหลิวเย่ว์รับรู้ได้ถึงบางอย่างที่จะเข้ามาสัมผัสตัว จึงรีบพากันกระโดดถอยไปด้านหลัง
พร้อมกันนั้นสวีชิงเฉินก็ถูกองครักษ์ลับพาตัวถอยไกลออกไปยิ่งขึ้นไปอีกทันที
เดิมทีจุดที่สวีชิงเฉินเคยยืนอยู่นั้น กลับแทนที่ด้วยร่างในชุดขาวที่ยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ผมทั้งศีรษะขาวประหนึ่งหิมะ ในมือถือดาบยาว ทุกสิ่งอย่างล้วนส่องประกายเย็นเยียบ
“ม่อซิวเหยา!”