“ยามนี้เขามาทำอันใดกัน”
ม่อจิ่งหลียิ้มเย็นเอ่ยว่า “ยังจะทำอันใดได้อีก ย่อมมาตีชิงตามไฟ *น่ะสิ”
เยี่ยหลียกยิ้มเย็นมุมปาก “ตีชิงตามไฟ? คนอย่างเขาจะตีชิงผู้ใดได้”
ระหว่างที่พูดนั้น ม่อจิ่งฉีก็เดินนำคนเข้ามาแล้ว เมื่อเขาเห็นม่อจิ่งหลี สีหน้ายังพอมีรอยยิ้มอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นเยี่ยหลี สีหน้ากลับเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวบึ้งตึงขึ้นมาทันที “ชายาติ้งอ๋อง เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เยี่ยหลียิ้มเรียบๆ “เมืองอันอยู่ในอาณาเขตของซีหลิง คนซีหลิงไม่เคยพูดว่าไม่ยินดีต้อนรับข้า เหตุใดข้าถึงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”
นัยน์ตาม่อจิ่งฉีมีแววลองเชิง “ในเมื่อชายาติ้งอ๋องอยู่ที่นี่ ติ้งอ๋องก็ย่อมอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว?”
เยี่ยหลียิ้ม “ฝ่าบาทคิดอยากจิบชากับท่านอ๋องบ้านข้าอย่างนั้นหรือ”
ม่อจิ่งฉีมององครักษ์สิบกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยหลี นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ ก่อนหันไปเอ่ยถามม่อจิ่งหลีว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าตามมาร่วมชมเรื่องสนุก บังเอิญพบกับชายาติ้งอ๋องเข้า เสด็จพี่เองก็เสด็จมาด้วยเช่นกันมิใช่หรือ”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยว่า “เช่นนั้นหรือ” ฟังจากน้ำเสียง เห็นได้ชัดว่าม่อจิ่งฉีไม่เชื่อในคำอธิบายของม่อจิ่งหลี
ม่อจิ่งหลีรู้ว่า ม่อจิ่งฉีกำลังนึกสงสัยว่าเขาอาจคิดร่วมมือกับม่อซิวเหยา แต่ก็ไม่คิดแก้ไขความคิดนั้น เพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นเช่นนั้น”
“ข้าล่วงหน้าไปบ้านตระกูลมู่หรงก่อนล่ะ หลีอ๋องกับฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ยังมีเรื่องต้องพูดคุยกัน ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ
ม่อจิ่งหลีเอ่ยว่า “ข้าก็จะไปบ้านตระกูลมู่หรงเช่นเดียวกัน ไปพร้อมกันเลยก็แล้วกัน เสด็จพี่…”
ม่อจิ่งฉีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าเองก็อยากไปดูเช่นกัน” ระหว่างที่พูดนั้น สายตากลับวนเวียนอยู่ที่เยี่ยหลี
เยี่ยหลีหาได้สนใจไม่ เดินเรื่อยๆ เข้าไปข้างกายม่อจิ่งหลี เอ่ยพูดคุยกับม่อจิ่งหลีไปพลางออกเดินไปยังบ้านตระกูลมู่หรงไปพลางโดยมิได้สนใจสีหน้าของม่อจิ่งฉีเลยแม้แต่น้อย
ม่อจิ่งฉีเดินคนเดียวอยู่อีกด้านหนึ่ง สายตาที่กวาดมองทั้งสองดูนิ่งขรึมและดุเย็น จนทำให้คนที่พบเห็นอดตัวสั่นขึ้นไม่ได้
เยี่ยหลีกวาดตามองม่อจิ่งฉีที่เอาแต่จับจ้องตนเรียบๆ นางย่อมรู้ดีว่าม่อจิ่งฉีกำลังคิดอันใด เขาคงกำลังคิดจะอาศัยจังหวะช่วงที่ข้างกายนางไม่มีผู้ใด จับตัวนางไปใช้ข่มขู่ม่อซิวเหยาเท่านั้นเอง น่าเสียดาย…นางไม่มีทางให้โอกาสนั้นแก่เขา นางเหลือบมองม่อจิ่งหลีที่อยู่ห่างจากตนเพียงหนึ่งก้าว เมื่อใดก็ตามที่ม่อจิ่งฉีคิดอยากลงมือ ม่อจิ่งหลีกับองครักษ์ของนางก็จะกลายเป็นโล่กำบังที่ดีที่สุด
อีกอย่าง ด้วยนิสัยของม่อจิ่งฉี ในขณะที่ยังรู้ไม่แน่ชัดว่าม่อจิ่งหลียืนอยู่ฝ่ายใดนั้น เขาไม่มีทางกล้าลงมือ
เมื่อมาถึงบ้านตระกูลมู่หรง การต่อสู้ห้ำหั่นเข่นฆ่ากันขนาดใหญ่ได้สิ้นสุดลงแล้ว ลานกว้างหน้าบ้านตระกูลมู่หรง มีเพียงพวกม่อซิวเหยาสามสี่คนที่กำลังต่อสู้กันอยู่อย่างอุตลุด พลังดาบและพลังฝ่ามืออันทรงพลังพุ่งกระจายไปทั่วทิศ ต่อสู้กันจนต้นไม้ที่อยู่โดยรอบและแม้กระทั่งกระเบื้องหลังคาแตกละเอียดกระจายอยู่เกลื่อนไปหมด
“พี่ใหญ่” เยี่ยหลีเดินเข้าไปข้างกายสวีชิงเฉินพลางเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ
สวีชิงเฉินกวาดตามองม่อจิ่งหลีกับม่อจิ่งฉีที่เดินตามเยี่ยหลีมา แล้วจึงหันมองรอยเลือดที่กระเด็นถูกเสื้อผ้านางตอนที่นางไม่ทันระวังอีกครั้ง ก่อนถอนใจเบาๆ เขามองสำรวจเยี่ยหลีโดยละเอียดอีกรอบหนึ่ง แล้วถึงได้เอ่ยถามขึ้นสียงเบาว่า “หลีเอ๋อร์บาดเจ็บตรงใดหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง หลีเอ๋อร์มิได้บาดเจ็บอันใด พวกเขาสู้กันมานานเท่าใดแล้ว”
สวีชิงเฉินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หนึ่งชั่วยามได้แล้ว”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ซิวเหยาเคยพบมู่หรงสยงมาก่อน ในเมื่อเขาบอกว่าหากร่วมมือกับเจ้าสำนักหลิงแล้วจะสามารถต่อกรกับมู่หรงสยงได้ ก็คงไม่มีปัญหาอันใด เพียงแต่ต้องคอยขวางไม่ให้เจิ้นหนานอ๋องอาศัยจังหวะทำอันตรายหลังการต่อสู้เสร็จสิ้น”
สวีชิงเฉินยิ้มพร้อมพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น ดังนั้น…ปล่อยให้เจิ้นหนานอ๋องกับเหรินฉีหนิงสู้กันไปอีกสักพักก็แล้วกัน”
ก่อนหน้านี้ที่เจิ้นหนานอ๋องต่อสู้กับมู่หรงสยงก็บาดเจ็บอยู่แล้วไม่น้อย อีกทั้งยังบาดเจ็บหนักกว่าหลิงเถี่ยหานอยู่เล็กน้อยอีกด้วย เมื่อต้องมาต่อสู้กับเหรินฉีหนิงต่อ ชีพจรหลักย่อมได้รับความเสียหายมากอย่างแน่นอน หากคิดจะทำอันใดก็คงไม่มีกำลังพอ ดังนั้น สวีชิงเฉินที่สังเกตการณ์การต่อสู้อยู่เป็นนาน ก็มิได้คิดจะให้หน่วยกิเลนเข้าไปช่วยเหลือเจิ้นหนานอ๋องเลยแม้แต่น้อย
ทางฟากม่อซิวเหยายังดูไม่ออก แต่ทางฝั่งเหรินฉีหนิงกับเจิ้นหนานอ๋องนี้กลับใกล้รู้แพ้รู้ชนะเต็มทีแล้ว
ระหว่างที่สวีชิงเฉินกับเยี่ยหลีกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองก็ทุ่มพลังฝ่ามือเข้าใส่กันพอดี จากนั้นต่างฝ่ายต่างถอยกันไปคนละเจ็ดแปดเก้า ถึงจะสามารถหยุดยืนได้มั่นคง
เหรินฉีหนิงสีหน้าขาวซีด ขมวดคิ้วมุ่น และในที่สุดก็กระอักเลือดออกมา
ส่วนเจิ้นหนานอ๋องถึงแม้จะมิได้กระอักเลือด แต่มุมปากก็มีรอยเลือดไหลออกมาให้ได้เห็น อีกทั้งร่างกายยังโงนเงนจะล้มแหล่มิล้มแหล่ เหลยเถิงเฟิงรีบก้าวเข้าไปประคองเขาไว้
อายุของเหรินฉีหนิงห่างกับเจิ้นหนานอ๋องอยู่เกือบยี่สิบปี ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะบาดเจ็บอยู่ก่อนแล้ว แต่ที่ทั้งสองสามารถต่อสู้กันจนเกือบเสมอได้ ก็เพียงพอให้เหรินฉีหนิงรู้สึกภาคภูมิใจแล้ว
“เสด็จพ่อ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” เหลยเถิงเฟิงประคองเจิ้นหนานอ๋องพร้อมเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
เจิ้นหนานอ๋องโบกมือเป็นการบอกว่าตนไม่เป็นอันใด เขาเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเหรินฉีหนิงว่า “คุณชายเหรินช่างมีความสามารถยิ่งนัก”
เหรินฉีหนิงเองก็บาดเจ็บไม่น้อย ฝืนยิ้มเอ่ยว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว”
เมื่อผินหน้าไปเห็นเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉิน เขาก็ยิ้มขื่นๆ อย่างจนใจ “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ถึงได้ดูไม่ออกว่าเป็นติ้งอ๋องกับพระชายา ครานี้ถือว่ายุ่งวุ่นวายมากทีเดียว”
ถึงได้บอกว่า การวางตัวให้เปิดเผยเกินไปจนผู้คนพบเห็นกันทั่วนั้น มิใช่เรื่องดี แต่หากลึกลับเกินไปนักก็มิใช่เรื่องดีเช่นกัน หากไม่ต้องการให้ตนเป็นที่รับรู้เลย หลบซ่อนตัวไว้ลึกเกินไป ก็เท่ากับเสียโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับผู้อื่น หากเปลี่ยนเป็นเหลยเถิงเฟิง ม่อจิ่งหลีหรือว่าถานจี้จือคนใดคนหนึ่ง มาบังเอิญพบม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีที่บนถนน ต่อให้ยังมองไม่ออกว่าเป็นพวกเขาในทันที แต่หากสังเกตดูดีๆ ก็จะดูออกอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไร ศิลปะการแปลงกายก็ยังมิได้สวนทางสวรรค์ขนาดสามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งให้เป็นอีกคนไปได้
แต่น่าเสียดายที่เหรินฉีหนิงไม่เคยพบเห็นม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีมาก่อนเลย ต่อให้เคยเห็นรูปวาด แต่ภาพวาดเหมือนในยุคนี้ก็เป็นเพียงโดยสังเขปและร่างเพียงคร่าวๆ เท่านั้น หากมิได้อยู่ในเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับแบบเดียวกัน เกรงว่าต่อให้พบหน้ากันจังๆ ก็ไม่แน่ว่าจะดูออก หากเหรินฉีหนิงรู้แต่แรกว่าคนที่เขาพบเป็นม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี ย่อมไม่มีทางประเมินคู่ต่อสู้ไว้ต่ำเกินไป จนกระทำการโดยประมาทเลินเล่อเช่นนี้
เยี่ยหลีมิได้คิดเห็นอันใดต่อความหงุดหงิดใจของเหรินฉีหนิง นางระบายยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายเกรงใจแล้ว ข้ากับท่านอ๋องก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอบุคคลเช่นคุณชายเช่นกัน ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว…คุณชายหลิน”
เหรินฉีหนิงตาแข็งขึ้นทันที จ้องเขม็งไปที่เยี่ยหลี นัยน์ตามีแววยิ้มน้อยๆ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองการต่อสู้ของพวกม่อซิวเหยา
ยามนี้การต่อสู้ดำเนินมาถึงช่วงตัดสินสำคัญแล้ว บรรดาผู้คนที่ชมการต่อสู้อยู่ต่างพากันกลั้นหายใจ
ม่อซิวเหยากับหลิงเถี่ยหานที่ต่อสู้กันอยู่หันมาสบตากันทีหนึ่ง แล้วทั้งสองก็ยืดตัวขึ้นพุ่งดาบเข้าใส่มู่หรงสยงประกบหน้าหลังกันโดยมิได้นัดหมาย
มู่หรงสยงถูกทั้งสองโจมตีประกบเข้ามาพร้อมๆ กัน รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
เมื่อเป็นม่อซิวเหยาร่วมมือกับหลิงเถี่ยหาน จึงยากจะรับมือกว่าเจิ้นหนานอ๋องหลายเท่านัก ทั้งสองล้วนใช้ดาบ เพลงดาบของหลิงเถี่ยหานสุขุม โออ่าสง่างามประหนึ่งบันฑิต แต่เพลงดาบของม่อซิวเหยากลับดุดันและไร้รูปแบบ จนทำให้อีกฝ่ายยากที่จะป้องกัน
ถึงแม้จะเป็นมู่หรงสยง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้งสองล้วนเป็นอัจฉริยะบุคคลที่มากด้วยพรสวรรค์ หากพวกเขาอยู่ในยุคเดียวกับตน เกรงว่าคงมีผลงานการฝึกที่เหนือกว่าตนไปอีก และที่สำคัญกว่านั้นคือ ระหว่างที่ทั้งสองต่อสู้ร่วมกันนั้น ยามที่ฝ่ายหนึ่งทุ่มกำลังไปกับการโจมตี อีกฝ่ายหนึ่งก็อาศัยจังหวะนั้นปรับการหายใจของตน ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็ทำเช่นเดียวกัน
มู่หรงสยงรู้ดีว่าพวกเขาคิดอยากยื้อเวลาในการต่อสู้ไว้ เพื่อลดทอนพลังโจมตีของเขาไปเรื่อยๆ แต่เขากลับหาทางทำให้ตนเองหลุดจากสถานการณ์นั้นไม่ออก
ยามที่ดาบทั้งสองเล่มพุ่งเข้ามานั้ มู่หรงสยงเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาบ้างแล้ว แต่กลับไม่ยินดีที่จะปล่อยเด็กรุ่นน้องที่โอหังอวดดีสองคนนี้ไป จึงเบี่ยงตัวกางแขนใช้สองมือทุ่มพลังทั้งหมดออกไปทางทั้งสองคนพร้อมๆ กัน
ม่อซิวเหยากับหลิงเถี่ยหานกัดฟันไม่ยอมถอย แต่กลับรุดหน้าขึ้นไปอีก พุ่งดาบเข้าแทงไปทางมู่หรงสยงอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่าฝ่ามือทั้งสองของมู่หรงสยงก็ปะทะเข้ากับตัวพวกเขาเช่นเดียวกัน ทั้งสองถูกกระแทกจนกระเด็นออกไป แม้แต่ดาบในมือก็ลอยหลุดออกมาด้วย
“ซิวเหยา!”
“พี่ใหญ่!”
เยี่ยหลีกับเหลิ่งหลิวเย่ว์ร้องเสียงหลงออกมาพร้อมๆ กัน รีบกระโดดเข้าไปประคองม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานที่ล้มลงมา
เมื่อครู่พวกนางมองการต่อสู้อยู่ไกลๆ จึงมองไม่ถนัดนัก มายามนี้ถึงได้เห็นว่า ร่างกายม่อซิวเหยาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ แม้แต่เส้นผมสีเงินก็ดูเปียกชื้นอย่างเห็นได้ชัด หลิงเถี่ยหานที่ใบหน้าขาวซีดก็เช่นเดียวกัน ด้านหลังชุดสีน้ำเงินของเขาเปียกชุ่มจนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม มือข้างที่เคยถือดาบอยู่ก็กำลังสั่นน้อยๆ
เยี่ยหลีเอ่ยเรียกต่อๆ กันว่า “ซิวหยา ซิวเหยา…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
ม่อซิวเหยาหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ถึงได้หันไปยิ้มปลอบเยี่ยหลี “ไม่เป็นไร ดาบของข้าแทงถูกเขาก่อน”
หากมิได้แทงถูกมู่หรงสยงก่อน จนทำให้พลังที่ฝ่ามือทั้งสองของมู่หรงสยงลดน้อยลงไปพอสมควรแล้ว ทั้งสองคงไม่บาดเจ็บกันเพียงเท่านี้ อย่างน้อยยามนี้ม่อซิวเหยาก็ยังมีแรงหันไปเอ่ยกับหลิงเถี่ยหานอย่างท้าทายว่า “คราก่อนท่านชนะ ครานี้ข้าชนะ”
หลิงเถี่ยหานได้แต่ยิ้มอย่างจนใจ “ครานี้เจ้าชนะแล้ว”
ทุกคนต่างหันมองไปทางมู่หรงสยงที่ล้มลงกับพื้นเช่นกัน อาการบาดเจ็บของเขาย่ำแย่กว่าม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานมากนัก ดาบอ่อนของม่อซิวเหยาแทงทะลุเข้าบริเวณหน้าอกของเขา ส่วนดาบยาวของหลิงเถี่ยหานก็เฉือนเข้าที่ช่วงเอวของเขา ช่วงตัวด้านบนอาบไปด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงเข้ม
เยี่ยหลีมองเห็นอย่างชัดเจนว่าดาบของม่อซิวเหยาแทงทะลุเข้าบริเวณหัวใจพอดี ยามนี้ที่มู่หรงสยงยังหายใจอยู่ได้ ก็ถือว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็คงเอาชีวิตไม่รอด
เมื่อคิดว่า หากดาบเมื่อครู่ของม่อซิวเหยามิได้แทงทะลุหัวใจของมู่หรงสยง ต่อให้มู่หรงสยงถูกดาบของหลิงเถี่ยหาน แต่ก็เกรงว่าคงจะบาดเจ็บหนักกว่านี้ ถึงแม้มู่หรงสยงจะไม่มีแรงมาตามสังหารทั้งสองอีก แต่เกรงว่าหากเป็นเพียงคนใดคนหนึ่งก็คงมีกำลังพอเหลือเฟือย เมื่อคิดได้เช่นนี้ เยี่ยหลีก็อดเหงื่อตกด้วยความกลัวไม่ได้ เพียงแต่เยี่ยหลีกลับไม่รู้ว่า ม่อซิวเหยากับหลิงเถี่ยหานที่เสี่ยงใช้กระบวนท่านี้ก็เพราะความจำเป็นจริงๆ
ทั้งสองคิดกันไว้ว่าจะลดทอนกำลังภายในของมู่หรงสยงเสียก่อน ค่อยลงมือสังหาร แต่มู่หรงสยงมีกำลังภายในที่ล้ำลึกกว่าพวกเขาอยู่ถึงห้าสิบปี ซึ่งมิได้มีเอาไว้เล่นๆ จริงอยู่มู่หรงสยงถูกลดทอนกำลังภายในไปไม่น้อย แต่กำลังของพวกเขาทั้งสองกลับหายไปมากกว่าเสียอีก หากมิอาจจัดการได้ในการโจมตีเดียว สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ใดจะทำให้ผู้ใดตายอย่างทรมาน
มู่หรงสยงไอไม่หยุด ในปากเริ่มมีเลือดปรากฏให้เห็น นัยน์ตาที่จับจ้องม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ดี…ติ้งอ๋องตัวดี เจ้าสำนักเยี่ยนอ๋องตัวดี ไม่คิดว่า…ไม่คิดว่าข้าจะ…”
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งเมื่อในยามนั้น จะมาเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของเด็กผู้อ่อนอาวุโสกว่าสองคนนี้ มู่หรงสยงไม่ทันได้เอ่ยสิ่งที่ตนอยากเอ่ยจนจบ ก็สิ้นใจลงทั้งๆ ที่ตายังเบิกโพลงอยู่ เป็นการตายตาไม่หลับโดยแท้จริง
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันเงียบกริบ มู่หรงสยงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้มีวรยุทธสูงส่งที่สุดในยามนี้ การต้องมาสูญสิ้นยอดฝีมือแห่งยุคไป อย่างไรก็ทำให้รู้สึกเศร้าสลดอยู่หลายส่วน
เหรินฉีหนิงที่ยืนอยู่เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ ก็อดหน้าถอดสีลงไม่ได้ แล้วจู่ๆ เขาก็พุ่งตัวเข้าใส่ประมุขตระกูลมู่หรงที่ยืนหลบมุมอยู่ ใช้ดาบปาดคอประมุขตระกูลมู่หรงต่อหน้าต่อตาทุกคนอย่างไม่ลังเลทันที
ประมุขตระกูลมู่หรงยังไม่ทันตั้งตัวกับการเสียชีวิตของท่านอา ตนเองก็มาสิ้นชีวิตลงอีกคนหนึ่งเสียแล้ว
เมื่อสังหารประมุขตระกูลมู่หรงไปแล้ว สีหน้าของเหรินฉีหนิงถึงได้ดูดีขึ้นเล็กน้อย อมยิ้มเอ่ยกับม่อซิวเหยาและเจิ้นหนานอ๋องว่า “ติ้งอ๋อง เจิ้นหนานอ๋อง ทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง ท่านทั้งสองคิดจะได้มาไว้ในครอบครองอย่างไร”
เจิ้นหนานอ๋องขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คุณชายหมายความเช่นไร”
สวีชิงเฉินถอนใจอย่างดูจนใจเล็กน้อย “เชื่อว่าเงินทองที่ตระกูลมู่หรงสะสมมาไว้เป็นหลายสิบรุ่น คงอยู่ในมือคุณชายเหรินหมดแล้วกระมัง”
ร้านค้า เส้นทางการค้า ที่ดินของตระกูลมู่หรง เหรินฉีหนิงล้วนเคลื่อนย้ายไม่ได้ และถูกพวกเขาแบ่งสันปันส่วนกันไปพอสมควรแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือทรัพย์สินเงินทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่สะสมต่อๆ กันมาสิบกว่ารุ่น
เหรินฉีหนิงยิ้ม “คุณชายชิงเฉินช่างหลักแหลมสมชื่อนัก จะว่าไปก็ถือเป็นโชคดีของข้าน้อย หากมิใช่เพราะเรื่องนี้…วันนี้เกรงว่าข้าน้อยคงไม่มีชีวิตออกไปจากเมืองอันแล้ว”
เมื่อสังหารประมุขตระกูลมู่หรงแล้ว ที่อยู่ของทรัพย์สมบัติเหล่านี้ก็มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้ และนี่ก็ได้กลายเป็นยันที่คอยคุ้มครองชีวิตเขาไว้