เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามฟ้าสาง เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่ตื่นตัวทั้งหลาย ก็ถูกจางฉี่หลันที่ใบหน้าบึ้งตึงลากกลับมาจริงๆ
เยี่ยหลีกับเว่ยลิ่นที่ตามมาเปลี่ยนเวรกับฉินเฟิง รอจนถึงกระทั่งยามสี่ เสียงรบราฆ่าฟันที่ทางด้านหน้าถึงได้หยุดลง หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ถึงได้เห็นคนกลุ่มหนึ่งกลับมาถึงค่าย เดิมทีบรรดาพลทหารอายุน้อยที่ยังมีจิตใจแน่วแน่ ต่างถูกลากตัวกลับมา หน้าตาหงอยหงอประหนึ่งเป็นผักสดที่ถูกน้ำค้างกระทบจนบอบช้ำกระนั้น
กลับมาถึงค่ายใหญ่ก็เห็นเยี่ยหลีที่กำลังอมยิ้มมองรถม้าคันหนึ่งและกำลังมองตรงมาทางพวกเขา สีหน้าพลทหารแต่ละคนกลับยิ่งดูบิดเบี้ยวขึ้นไปอีก พวกเขาทุกคนต่างคิดกันไปว่า ท่านแม่ทัพไม่รู้ไปหากุนซือหนุ่มที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาจากที่ใด เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอันใดเลย เป็นแต่เพียงพูดจาไร้สาระไม่กี่ประโยค แต่กลับทำให้ท่านแม่ทัพพากันให้ความสำคัญ คนหนุ่มเหล่านี้ย่อมไม่นับถือเขา ในใจนึกแต่เพียงว่า ตนเก่งกาจกว่าเจ้าหนุ่มหน้าขาวนี่ไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ยามนี้พวกเขากลับต้องมาขายหน้าต่อหน้านางเช่นนี้ สีหน้าจึงย่อมดีไปไม่ได้สักเท่าไร
“ท่านฉู่ยังไม่พักผ่อนหรือ” จางฉี่หลันเมื่อเห็นเยี่ยหลีย่อมต้องก้าวเข้ามาทักทาย
เยี่ยหลียิ้ม “ท่านแม่ทัพเองก็มิได้พักผ่อนมิใช่หรือ ลำบากท่านแม่ทัพแล้ว ไม่มีเรื่องอันใดกระมัง”
จางฉี่หลันระบายลมหายใจออกมาทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “โชคดีที่ไม่มีเรื่องอันใด” เขาหันไปถลึงตาดุใส่ทุกคน พลางเอ่ยเสียงเข้มว่า “ยังไม่กลับไปพักผ่อนอีก?! จะรอให้โดนลงโทษหรือไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พลทหารทั้งหลายก็ต่างพากันกระจายตัวกลับไปประหนึ่งนกแตกรังทันที
เมื่อเห็นว่าทุกคนนมองจางฉี่หลันประหนึ่งกำลังมองยมทูตกระนั้น เยี่ยหลีก็อดหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้ “ท่านแม่ทัพมิได้คิดจะลงโทษพวกเขาเสียหน่อย เหตุใดถึงต้องแกล้งข่มขู่พวกเขาด้วย”
จางฉี่หลันระบายลมหายใจออกมาอย่างจนใจ “ครานี้ที่พากันออกมาล้วนเป็นเด็กหนุ่มอายุยังน้อย เรื่องยังไม่เคยออกรบในสนามจริงยังไม่ต้องพูดถึง แต่นี่ยังเลือดร้อนเอาแต่จะบุกไปข้างหน้าลูกเดียว หากเกิดเข้าไปอยู่ในสนามรบจริงๆ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้นเลย”
ที่แท้การลอบโจมตีหลายคราในค่ำคืนนี้ สองคราแรกสามารถทำให้อีกฝ่ายวุ่นวายจนจัดการอันใดไม่ถูกอยู่พักใหญ่ เจ้าเด็กหนุ่มพวกนี้จึงได้ใจจนลืมตัว ผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปโจมตีจนถึงช่วงฟ้าสางถึงได้หยุดลง เมื่อทำเช่นนี้ ฝ่ายศัตรูจึงมิได้พักผ่อนเลยตลอดคืน ส่วนพวกตนกลับได้ผลัดเปลี่ยนกันไปพักผ่อน
ความคิดของพวกเขาไม่เลวเลยทีเดียว แต่กลับลืมสำรวจสภาพภูมิประเทศโดยรอบและสถานการณ์ของศัตรู การลอบโจมตีคราที่สาม ต่อสู้กันไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกหลี่ว์จิ้นเสียนส่งกำลังทหารสองกองเข้ามาลอบโจมตีจากปีกทั้งสองข้าง หากมิใช่เพราะจางฉี่หลันนำทหารไปถึงได้ทันกาล และนำทหารติดไปด้วยสี่ห้าพันนาย พวกทหารหนุ่มสี่ห้าคนนั้นคงถูกตัดหัวอยู่ที่นั่นแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมา ในสนามรบล้วนโหดร้ายและไร้เมตตา หากมิได้เกิดในตระกูลใหญ่ ทหารหลายล้านนายก็มีจำนวนเพียงไม่มากที่ได้ขึ้นเป็นเสี้ยวเว่ย เสี้ยวเว่ยหลายพันนาย อย่างมากมีไม่ถึงหนึ่งร้อยนายที่ได้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพ และรองแม่ทัพที่มีจำนวนอยู่ไม่ถึงร้อยนาย อย่างมากก็มีเพียงสองถึงสามนายที่จะได้เป็นแม่ทัพ ซึ่งมิใช่เพราะคนเหล่านี้ไม่มีความสามารถที่จะขึ้นเป็นแม่ทัพ แต่ด้วยเพราะระหว่างทางที่จะได้ขึ้นเป็นแม่ทัพนั้น พวกเขาถูกสนามรบกลืนกินไปอย่างน่าเวทนาเสียแล้ว
“ต่อไปคงต้องรบกวนท่านฉู่ให้สั่งสอนเจ้าพวกเด็กเหล่านี้เสียแล้ว” จางฉี่หลันเอ่ยจากใจจริง
ความสามารถของพระชายานั้น เขาย่อมรู้ดี ยังไม่ต้องพูดถึงหน่วยกิเลนที่หายไปมาได้ประหนึ่งภูตผี ทั้งยังไม่มีศึกใดที่ไม่ชนะ ซึ่งล้วนได้รับการฝึกฝนมาจากพระชายา พวกฉินเฟิง จั๋วจิ้งที่เป็นคนข้างกายพระชายา หากปล่อยตัวเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร คงไม่มีผู้ใดที่มิได้เป็นยอดฝีมือรุ่นหลัง เพียงแค่เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า ฝีมือในการชี้แนะคนของพระชายานั้น ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งนัก
เยี่ยหลีอมยิ้ม “แม่ทัพจางเป็นแม่ทัพที่ดี” ในยุคสมัยนี้ ผู้บัญชาการทหารที่คิดถึงลูกน้องเช่นนี้ ถือว่าพบไม่มากนักจริงๆ
จางฉี่หลันหัวเราะเสียงก้อง เอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “เด็กหนุ่มพวกนี้ ถึงแม้จะผลีผลามไปสักหน่อย แต่ก็ล้วนเป็นอนาคตของกองทัพตระกูลม่อ คนชราอย่างพวกเรา ต้องมีสักวันหนึ่งที่ออกรบไม่ไหว ต่อไปยังต้องอาศัยพึ่งพิงพวกเขา”
เยี่ยหลียิ้ม “ท่านแม่ทัพยังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองอยู่เลย การจะเอ่ยถึงเรื่องชรานั้น ยังเร็วไปอยู่มากทีเดียว สิ่งที่ท่านแม่ทัพเอ่ย ข้าน้อยจดจำไว้หมดแล้ว”
นี่ก็เท่ากับว่านางรับปาก จางฉี่หลันประสานมือเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รบกวนคุณชายแล้ว ยังเช้าอยู่ คุณชายกลับกระโจมไปพักผ่อนอีกสักหน่อยเถิด”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่เป็นห่วง”
วันต่อมา ยามที่ทัพตะวันออกพบว่า คนของทัพตะวันตกที่รักษาการณ์อยู่ในแนวหน้านั้น ยังคงมีกำลังวังชากันอยู่อย่างเต็มเปี่ยม เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งก็อดหัวร้อนขึ้นมาไม่ได้ ภายในกระโจมใหญ่จึงเกิดเสียงอึกทึกขึ้นประหนึ่งโจ๊กหม้อใหญ่ทันที
เยี่ยหลีอมยิ้มนั่งอยุ่มุมหนึ่งภายในกระโจมใหญ่ คอยฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มเหล่านี้วิพากษ์วิจารณ์กัน
กลับเป็นจางฉี่หลันที่ถูกเสียงโวยวายของพวกเขาทำให้รำคาญขึ้นมาเสียก่อน กรอกตาบนพลางเอ่ยว่า “เอะอะอันใดกัน ข้างหน้านี้ รุ่นเทียนหยาอยู่ห่างไปเพียงยี่สิบลี้ ทหารที่รักษาการณ์อยู่เมื่อคืน ถูกพวกเจ้าก่อกวนจนเหนื่อยล้า คิดว่าหลี่ว์จิ้นเสียนจะไปสับเปลี่ยนทหารที่คอยรักษาการณ์รุ่นเทียนหยาอยู่หรือ หากข้ามแนวกั้นด้านหน้านี้ไปไม่ได้ พวกเจ้าคิดจะบินเข้าไปในรุ่นเทียนหยาหรือไร”
ทุกคนต่างพากันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ลอบหันมองหน้ากัน “ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นมิเท่ากับว่าสิ่งที่พวกเราทำไปเมื่อคืนเสียแรงเปล่าหรอกหรือ” ต่อให้พวกเขาลอบโจมตีกันทุกวันเช่นนี้ ขอเพียงพวกเขามีกำลังทหารสองกลุ่มไว้ค่อยผลัดเปลี่ยน นอกจากจะใช้กำลังฝ่าแนวต้านนี้ไปให้ได้แล้ว วิธีการอื่นๆ ล้วนไม่เกิดประโยชน์ อีกอย่าง เมื่อคืนนี้เป็นคืนที่พวกเขาลอบโจมตีเป็นคราแรก แต่ก็เกือบต้องเสียหายอย่างหนัก
จางฉี่หลันยกมือขึ้นลูบเครา พลางเอ่ยว่า “จะว่าเสียแรงเปล่าก็มิใช่เสียทีเดียว เด็กหนุ่มอย่างพวกเจ้ากระทำอันใดล้วนกระทำด้วยความลืมตัว ไปก่อกวนเพียงคราสองคราก็พอแล้ว นี่ยังผลัดกันไปลอบโจมตีตามชั่วยามอีก นั่นมิเท่ากับเปิดโอกาสให้หลี่ว์จิ้นเสียนเล่นงานพวกเจ้าหรือ”
บรรดาทหารหนุ่มต่างโดนต่อว่าจนเริ่มรู้สึกละอาย ผู้บัญชาการทหารที่อายุมากขึ้นมาหน่อยที่นั่งอยู่ ต่างพากันยิ้มน้อยๆ
“ท่านแม่ทัพ เช่นนั้นต่อไปพวกเราจะทำเช่นไรดีขอรับ” ทหารหนุ่มนายหนึ่งก้าวออกมาเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
จางฉี่หลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ผินหน้าไปเอ่ยถามเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ว่า “ท่านฉู่มีความเห็นเช่นไร”
เยี่ยหลีเคาะพัดในมือเล่นไปพลาง เอ่ยไปพลางว่า “อีกฝ่ายอยู่สูงกว่าพวกเรา หากคิดจะใช้กำลังฝ่าไป ไม่เพียงเสียเวลาแต่ยังเสียกำลังมากอีกด้วย เรื่องที่ลอบเข้าไปก่อกวนยามค่ำคืนก็ทำต่อไปเถิด เพียงแต่…อย่าให้หลี่ว์จิ้นเสียนจับได้อีก คราต่อไปไม่แน่ว่าแม่ทัพจางจะสามารถนำทหารเข้าไปช่วยพวกเจ้าออกมาได้ทันกาลอีก”
นายทหารหนุ่มต่างพากันมองเยี่ยหลีด้วยความไม่นับถือ “ในเมื่อท่านฉู่เป็นถึงกุนซือ เชื่อว่าคงมีกลยุทธ์พิเศษในการทำลายสัตรู แค่เพียงลอบโจมตีทุกคืน พวกเราก็ตีพวกเขาให้แตกไม่ได้ หากยืดเยื้อไปถึงสิบวันหรือครึ่งเดือน พวกเราไม่ต้องสู้ก็คงได้ยอมแพ้ตรงๆ ไปเลย”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นพวกเจ้ามีความคิดเห็นเช่นไร”
“ข้าน้อยขอให้มีคำสั่ง ให้ข้าน้อยเป็นทัพหน้าไปเปิดทางขอรับ!” พลทหารนายหนึ่งประสานมือเอ่ยกับจางฉี่หลัน
คนอื่นๆ ก็พากันขอให้จางฉี่หลันออกคำสั่งตาม เห็นได้ชัดว่าต้องการที่จะเปิดศึกใช้กำลังกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่แล้ว
เยี่ยหลีเอ่ยกับพวกเขาเรียบๆ ว่า “ข้าไม่คัดค้านที่จะใช้กำลังเข้าต่อสู้ ด้วยกำลังทหารโดยประมาณของอีกฝ่าย ฝ่ายเราใช้กำลังทหารเพียงครึ่งเดียวย่อมมีโอกาสที่จะยึดพื้นที่นั้นมาครองได้ เพียงแต่ข้าต้องเตือนสติทุกท่านไว้อย่าง ถึงแม้ยามนี้เป็นเพียงแค่การซ้อมเสมือนจริง แต่หากนี่เป็นศึกที่อยู่ในสนามรบจริงๆ แล้ว นั่นก็เท่ากับว่า พวกเราที่อยู่ ณ ที่นี้กับนายทหารที่ด่านรวมแล้วนับแสนนาย มีจำนวนครึ่งหนึ่งที่จะต้องสละชีพอยู่ที่เนินเขาเล็กๆ หน้าเขตรุ่นเทียนหยา”
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร” มีคนเอ่ยเสียงเบาขึ้น
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หากจำนวนทหารครึ่งหนึ่งต้องล้มตาย รวมถึงต้องสละชีวิตของทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ไปแล้วยังไม่ถือว่าเป็นอันใดแล้ว เช่นนั้น ทหารห้าหมื่นนายที่เหลือจะข้ามเขตที่ได้ชื่อว่าเป็นชายแดนสวรรค์อย่างรุ่นเทียนหยาไปได้อย่างไร เมื่อข้ามไปได้แล้วจะเหลือทหารอยู่มากน้อยเพียงใด อีกอย่าง ทุกท่านคิดว่า…ต่อให้พวกเราข้ามไปได้แล้ว สภาพทหารที่เหลือจะสามารถช่วยแม่ทัพหยวนให้รอดพ้นจากการถูกข้าศึกปิดล้อมได้หรือ ข้าน้อยขอเตือนสติทุกท่านอีกประโยค เท่าที่ข้ารู้จักติ้งอ๋อง ยามนี้ทหารที่เหลืออยู่ที่รุ่นเทียนหยา อย่างมากไม่มีทางเกินหนึ่งในสามของทัพตะวันตก ทหารส่วนที่เหลืออีกสองในสาม ล้วนเป็นทหารที่กำลังสดใหม่และยังมิได้ผ่านการสู้รบมาก่อน ทุกท่านที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนเป็นผู้กล้า ข้าขอถามว่า แม่ทัพหยวนที่รอทัพเสริมอยู่ กับนายทหารที่รักษาเมืองอยู่นั้น จะทำเช่นไร”
เยี่ยหลียังไม่ทันเอ่ยจบดี นายทหารหนุ่มที่เดิมมีสีหน้าขึงขัง ก็ต่างพากันหน้าหูแดงไปหมด ถึงแม้จะยังรู้สึกไม่นับถืออยู่บ้าง แต่ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าสิ่งที่กุนซือแซ่ฉู่พูดมานั้นถูกต้อง ที่พวกเขามีความมุทะลุจะมุ่งไปแต่ข้างหน้าเช่นนี้ อย่างน้อยเหตุผลกว่าครึ่ง ก็ด้วยเพราะพวกเขารู้ดีว่า นี่เป็นเพียงการซ้อมรบเสมือนจริงเท่านั้น มิใช่การรบที่แท้จริง หากอยู่ในสนามรบจริงๆ พวกเขาจะบุกไปข้างหน้าโดยไม่สนใจอันใดเช่นนี้หรือไม่ หรือจะว่า ต่อให้พวกเขายังคงมุทะลุมุ่งมั่นที่จะบุกไปข้างหน้าเช่นนี้ สุดท้ายแล้วผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร
จางฉี่หลันเคาะโต๊ะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เอาเถิด เรื่องยามกลางคืนข้าจะจัดการเอง ไม่มีคำสั่งของข้า ผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอันใดผลีผลาม ผู้ใดขัดคำสั่ง ประหาร!”
ที่นี่ถึงแม้จะมิใช่สนามรบจริงๆ แต่คำสั่งของเขายังคงเป็นคำสั่งทางการทหารที่แท้จริง ผู้ที่ขัดคำสั่งทหาร ไม่ว่าจะอยู่ในสนามรบหรือไม่ ล้วนมีโทษถึงตาย ไม่มีผ่อนปรน
เขาผินหน้าไปเอ่ยยิ้มๆ กับเยี่ยหลีว่า “ท่านฉู่ พวกเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความเหล่านี้ ขอมอบให้ท่านแล้ว”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพเชื่อใจข้าน้อย ถือเป็นเกียรติของข้าน้อยยิ่งนัก”
จางฉี่หลันพยักหน้าด้วยความพอใจ ลุกยืนขึ้นกวาดตามองกลุ่มเด็กหนุ่มที่ยังมีท่าทีขัดขืนทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงขรึมว่า “สิ่งที่ท่านฉู่เอ่ย ก็เท่ากับเป็นคำสั่งของข้า ผู้ใดขัดขืน ประหาร!”
จางฉี่หลันนำผู้ใต้บังคับบัญชาที่อายุมากขึ้นหน่อย ผลัดเปลี่ยนเข้าไปโจมตีทหารแนวหน้าของหลี่ว์จิ้นเสียน ส่วนกลุ่มพลทหารหนุ่มที่เลือดร้อนกลับถูกเยี่ยหลีกักตัวไว้ที่ทัพหลัง มิอาจขยับเขยื้อนไปที่ใดได้ ได้ยินเพียงเสียงทหารเข้าๆ ออกๆ ในค่ายใหญ่ แต่พวกเขากลับไม่มีส่วนร่วมในเรื่องเหล่านั้น เด็กหนุ่มทั้งหลายนับวันจึงยิ่งเป็นเดือดเป็นร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ช่วงบ่ายของวันที่สาม พวกเขาก็ทนต่อไปไม่ไหว เข้ามาหาเยี่ยหลีเพื่อขอหารือในเรื่องนี้