ด้านนอกกระโจมที่เยี่ยหลีใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว เยี่ยหลีกำลังระบายยิ้มดูอบอุ่นประหนึ่งลมในฤดูใบไม้ผลิ มองกลุ่มเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “ทุกท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
ทหารนายที่อยู่ด้านหน้าสุดเอ่ยว่า “พวกเราต้องการออกไปทำศึก ท่านเป็นผู้ใดกันถึงมากักตัวพวกเราไว้ที่ด้านหลัง ไม่ยอมให้พวกเราออกไปสู้ในสนามรบ”
เยี่ยหลีจับพัดพับในมือเล่นไปเรื่อยเปื่อย เอ่ยเสียงเรียบเรื่อยขึ้นว่า “ก็อาศัยที่ข้าเป็นกุนซือ อาศัยที่แม่ทัพจางมอบพวกเจ้าให้ข้าคอยปรับพฤติกรรม อาศัยที่ข้าไม่อนุญาต พวกเจ้าก็ไปไม่ได้อย่างไรเล่า”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยที่ใช้ตอบคำถามพวกเขานี้ สำหรับเด็กหนุ่มกลุ่มนี้แล้วถึงเป็นการยั่วอารมณ์อย่างยิ่ง สีหน้าทุกคนที่มองมายังเยี่ยหลีดูโกรธแค้นประหนึ่งต้องการจะเข้ามาอัดนางแรงๆ เสียให้ได้สักยกหนึ่ง
ฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังเยี่ยหลี กวาดสายตาเรียบๆ มองเด็กหนุ่มกลุ่มนั้น นัยน์ตาเป็นประกายเย็นเยียบ
เยี่ยหลีมองเด็กหนุ่มกลุ่มนั้นแล้วเอ่ยต่อว่า “พวกเจ้าอยากออกสนามรบหรือ พวกเจ้าออกไปรบแล้วจะมีประโยชน์อันใด สองวันนี้แม้นไม่มีพวกเจ้า แต่ผู้บังคับบัญชาภายใต้แม่ทัพจางก็ยังคงสู้รบกันต่อไปได้ อีกทั้ง…ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยเกิดเหตุที่จำเป็นต้องให้แม่ทัพจางเข้าไปช่วยเหลือด้วยตนเองอีกด้วย สมองไม่สั่งการก็แล้วไปเถิด แต่ต่อให้พวกเจ้าอยากเป็นนายทหารดุดันที่คิดจะใช้กำลังห้ำหั่นศัตรู ก็ไม่เห็นว่าพวกเจ้าจะสู้รบได้ดีกว่าพลทหารทั่วไปสักเท่าไรเลยกระมัง หากไปเป็นตัวถ่วงในสนามรบ สู้รออยู่ที่แนวหลังเสียยังจะดีกว่า”
เด็กหนุ่มทั้งหลายโกรธกันจนหน้าแดง ทหารหนุ่มอารมณ์ร้อนนายหนึ่งก้าวออกมาชี้หน้าเยี่ยหลี เอ่ยตะคอกทั้งที่หน้าแดงว่า “เจ้าก็แค่บัณฑิตที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ มีสิทธิอันใดมาวิพากษ์วิจารณ์พวกข้า!”
เยี่ยหลีมองพวกเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ค่อยๆ เอ่ยปากว่า “นั่นเพราะ…”
เกิดเสียงดังฟึ่บขึ้นทีหนึ่ง ก่อนพัดในมือจะถูกสะบัดเปิดออก วาดเข้าไปที่ลำของของเด็กหนุ่มประหนึ่งคมมีดที่คมกริบ
ทหารหนุ่มผู้นั้นตกใจ รีบเอนตัวลงหลบ แต่ลำตัวด้านล่างกลับถูกเตะอย่างจังเข้าที่จุดชีพจร ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ตัวเขาก็อ่อนยวบลงกับพื้น จนฝุ่นลอยตลบขึ้นมาทันที
เยี่ยหลีพัดพัดในมือให้สองที ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “พวกเจ้าสู้บัณฑิตที่ไม่มีแรงแม้แต่จะจับไก่ยังไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ทุกคนต่างพากันพูดไม่ออก ครานี้พวกเขาถูกยั่วโมโหเข้าให้แล้วจริงๆ หลายปีมานี้ กองทัพตระกูลม่อให้ความสำคัญกับการฝึกปรือผู้บัญชาการทหารอายุน้อยเป็นอย่างมาก ดังนั้นพลทหารหนุ่มเหล่านี้จึงมีอายุกันเพียงยี่สิบกว่าๆ เท่านั้น แต่โดยมากกลับมีตำแหน่งเป็นถึงฟู่เว่ย หรือเสี้ยวเว่ยกันแล้ว
แต่กระนั้นพวกเขาโดยมากต่างก็ไม่เคยออกสู่สนามรบจริงๆ กันสักครั้ง ซึ่งนี่เป็นจุดที่เยี่ยหลีนึกเป็นกังวลมากที่สุด แต่ไหนแต่ไรมา ในสนามรบเป็นเครื่องบดเนื้อขนาดใหญ่หาใดเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาๆ หรือผู้มีความสามารถมากล้น เมื่อได้เข้าไปขลุกอยู่ในวงนั้นแล้ว สุดท้ายผู้ที่มีผลงานมากที่สุดมักมิใช่คนที่ฉลาดหรือเก่งกาจที่สุด แต่ก็คนที่สามารถรอดชีวิตกลับมาได้
ตั้งแต่ในประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน มีผู้มีความสามารถมากล้นตั้งเท่าไรที่ถูกคลื่นลูกใหญ่กวาดล้างจนต้องจมหายไปอย่างไร้ชื่อเสียง ถึงแม้ครานี้เยี่ยหลีจะมิได้คาดหวังให้พวกเขาเข้าใจว่าสนามรบที่แท้จริงเป็นเช่นไร ด้วยเพราะสุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านั้นจะต้องเข้าสู่สนามรบโดยแท้จริงเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจได้ แต่อย่างน้อย ก็ต้องกดความหยิ่งผยองของคนที่อวดดีเหล่านั้นลงให้จงได้
ประหนึ่งไม่เห็นสีหน้าตะลึงงันของทุกคน เยี่ยหลียิ้มตาหยีเอ่ยกับทุกคนว่า “อย่าหาว่าข้ารังแกพวกเจ้าเลยนะ สองคนนี้เป็นคนที่เรียนรู้มาจากข้า หากเอาชนะพวกเขาได้ อย่าว่าพวกเจ้าอยากไปต่อกรกับแม่ทัพหลี่ว์เลย ต่อให้ยามนี้พวกเจ้าคิดอยากไปกำจัดเจิ้นหนานอ๋องที่ซีหลิง ข้าก็จะไม่ขวางพวกเจ้า”
ทุกคนต่างหันมองหน้ากัน ส่งสายตาแลกเปลี่ยนกัน
เยี่ยหลีประหนึ่งกลัวว่าไฟจะยังไหม้ไม่ระอุดี จึงเอ่ยต่อเพื่อเป็นการราดน้ำมันเข้ากองไฟว่า “หากไม่มีความมั่นใจที่จะสู้แบบตัวต่อตัว จะรุมเข้ามาพร้อมกันเลยก็ยังได้”
ฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นเองก็เข้าใจถึงความตั้งใจของเยี่ยหลี
เว่ยลิ่นพ่นลมหายใจออกทางจมูกก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “อย่าเสียเวลาอยู่เลย รุมเข้ามาพร้อมกันเลยก็แล้วกัน”
น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความดูแคลนเช่นนี้ ในที่สุดก็ได้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายในสมองของทุกคนขาดผึงลง ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนส่งเสียงขึ้นมาก่อน ทหารหนุ่มห้าหกคนนั้นก็พุ่งเข้าใส่ฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นพร้อมๆ กันทันที แน่นอนว่า หนึ่งในสองคนนั้นที่เมื่อครู่เพิ่งสร้างความโกรธเกรี้ยวให้กับพวกเขาอย่างเว่ยลิ่น เป็นเป้าหมายหลักในการต่อสู้ของพวกเขาในครานี้
เยี่ยหลีถอยออกไปด้านหนึ่ง เอนหลังพิงฝามองฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นที่ต่อสู้สบายๆ อยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารหนุ่มเหล่านั้นอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อน หากจะว่านี่เป็นการรุมสกรัม สู้เรียกว่าทั้งสองกำลังแหย่เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นให้เล่นวิ่งไล่จับประหนึ่งลูกแมวเสียยังจะเหมาะกว่า
ฝีมือของเด็กหนุ่มกลุ่มนี้ หากเทียบกับทหารกองทัพตระกูลม่อที่รุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับฉินเฟิงและเว่ยลิ่นที่มาจากหน่วยกิเลน ซ้ำยังเป็นคนที่มีฝีมือโดดเด่นด้วยแล้ว นั่นยิ่งเรียกว่าไม่น่าดูเอาเสียเลยด้วยซ้ำ
ทหารหนุ่มที่เมื่อครู่ถูกเยี่ยหลีเตะลงไปกองอยู่กับพื้น ยามนี้ยังมิได้ลุกขึ้นมา และมิได้เข้าร่วมในการต่อสู้ครานี้ และก็ด้วยเพราะเขาอยู่ในจุดที่ห่างออกมา จึงได้เห็นความห่างชั้นระหว่างตนเองกับฉินเฟิงและเว่ยลิ่นอย่างชัดเจน เขาเหลือบมองเยี่ยหลี และในที่สุดก็ได้ลดความถือดีในใจของตนลง
เยี่ยหลีเตะเขาเล่นพลางเอ่ยถามด้วยความสนใจว่า “เหตุใดถึงไม่ไปลองดูเล่า”
ทหารหนุ่มนั่งนิ่งอยู่กับพื้นไม่ยอมลุกขึ้น ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าหาใช่คนโง่ พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้ ยังต้องเข้าไปให้ขายหน้าต่อหน้าผู้อื่นอีกหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้าเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พวกเจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาจริงๆ เพียงแต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ พวกเขากับพวกเจ้ามิได้อยู่ในเส้นทางเดียวกัน หากพวกเจ้ามีวรยุทธที่เก่งกาจ นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด หากไม่ไหวจริงๆ ก็ใช่ว่าจำเป็นจะต้องต่อสู้กับพวกเขา แม่ทัพจางเองก็อาจจะมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเช่นกัน”
ทหารหนุ่มเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงต้องให้พวกเขาลงมือด้วยเล่า”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ด้วยเพราะแม่ทัพจางเมื่อเทียบกับพวกเจ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพจางมีสมองที่ฉลาดกว่าพวกเจ้ามากนัก ส่วนพวกเจ้าที่ไม่มีอันใดเลย แต่กลับคิดแต่ว่าตนเองมีพร้อมทุกอย่าง ข้าจึงคิดว่าสมองของพวกเจ้า จำเป็นต้องฝึกฝนไปพร้อมกับร่างกาย”
ทหารหนุ่มตาเบิกโพลง ถลึงตาจ้องเยี่ยหลีด้วยสายตาดุดัน “พวกเราไม่ได้โง่เง่าเสียหน่อย!”
พวกเขาเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นของกองทัพตระกูลม่อรุ่นใหม่ คนที่ได้พบพวกเขามีผู้ใดบ้างที่ไม่เอ่ยชื่นชมพวกเขาว่ามีอนาคตที่สดใส
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พวกเจ้ามิใช่คนโง่เง่าจริงๆ คำว่าโง่เง่าจะใช้อธิบายคนในระดับพวกเจ้าได้อย่างไร เจ้าเคยเห็นคนโง่เง่าผู้ใดที่ไปรนหาที่ตายหรือ”
ทหารหนุ่มโกรธจนหน้าแดงขึ้นอีกครั้ง นี่นางกำลังบอกว่า กับพวกเขาใช้คำว่าโง่เง่าก็ยังน้อยไปสินะ
เยี่ยหลีมองคนตรงหน้าอย่างเห็นขัน แล้วก็อดระบายยิ้มออกมาไม่ได้ เด็กหนุ่มที่อายุเพิ่งยี่สิบกว่าปี อารมณ์จึงยังขึ้นๆ ลงๆ รวดเร็ว ในยุดสมัยที่คนเป็นผู้ใหญ่กันเร็วเช่นนี้ ถือว่าพบเห็นได้น้อยจริงๆ
เมื่อเห็นสีหน้าเยี่ยหลีที่กำลังยิ้มประหนึ่งเยาะเย้ยเขาเช่นนี้ บุรุษหนุ่มก็หงุดหงิดจนกลายเป็นโกรธเกรี้ยว “ท่านยิ้มอันใดกัน!”
เยี่ยหลีกระแอมเบาๆ ใช้พัดพับปิดปากไว้ “ไม่มีอันใด เพียงอยากยิ้มเท่านั้น”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยอยู่นั้น ฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นก็จัดการพวกเด็กหนุ่มที่ไม่รู้ฟ้าต่ำแผ่นดินสูงกลุ่มนั้นลงไปกองกับพื้นกันหมดแล้ว ไม่ว่าจะอ่อนข้อให้เพียงใด แต่ฝีมือของทั้งสองฝ่ายกลับต่างกันมากเกินไป ดังนั้นเดิมทีบรรดาเด็กหนุ่มที่ยังอยู่ในสภาพดีเต็มไปด้วยความฮึกเหิม แต่ละคนกลับระเนระนาดอยู่กับพื้นประหนึ่งสุนัขเร่ร่อนที่น่าเวทนา
เยี่ยหลีกดสายตาลงมองทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มๆ “เป็นอย่างไรบ้าง ยามนี้ยอมแล้วหรือยัง”
“ยอมแล้ว…” พลทหารเล็กๆ เหล่านั้น ถึงแม้จะยังดูฮึดฮัดอยู่บ้าง แต่สายตาที่มองทั้งสามกลับต่างกับก่อนหน้านี้อยู่มาก ในกองทัพแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงได้เป็นใหญ่ หลายปีมานี้ ถึงแม้เด็กหนุ่มจะภาคภูมิใจและมีความถือดี แต่ก็ยังนับถือผู้ที่แข็งแกร่งกว่า การต่อสู้เมื่อสักครู่ พวกเขาก็ได้เข้าใจถึงความต่างระหว่างพวกตนกับอีกฝ่ายแล้ว
“เพียงแต่ท่านฉู่ อย่างไรพวกเราก็มิอาจหลบอยู่ด้านหลังให้ผู้อื่นคอยปกป้องเช่นนี้ไปเรื่อยๆ กระมัง”
ถึงแม้จะรู้ดีว่าตนสู้เขาไม่ได้ แต่ยามนี้พวกเขาอยู่กันในสนามรบนี่ ไม่ว่ามีความคิดอันใด ก็ต้องเก็บไว้ว่ากันทีหลัง ยามนี้สิ่งที่ต้องแก้ไขกลับเป็นเรื่องการรบที่อยู่ตรงหน้า
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยถามพวกเขาว่า “พวกเจ้าอยากออกไปรบจริงๆ หรือ”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างก็รู้ว่ามีความหวัง สายตาทุกคู่ต่างหันมองมาทางเยี่ยหลี แววรอคอยและคาดหวังในดวงตาเหล่านั้น ทำให้เยี่ยหลีอดรู้สึกถึงแรงกดดันอยู่หลายส่วนไมได้
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เยี่ยหลีจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ กลับไปนี่ คัดเลือกทหารฝีมือดีจากหน่วยพวกเจ้าแต่ละคนมาหน่วยละสองร้อยนาย ไว้รอรับคำสั่ง”
“ท่านฉู่ พวกเราต้องทำอันใด”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ความลับ จำไว้ให้ดีล่ะ ทุกอย่างจะต้องไม่กระโตกกระตาก อย่าให้ผู้อื่นจับสังเกตได้เด็ดขาด รวมถึงแม่ทัพจางด้วย คนที่ถูกจับได้ จะต้องรั้งอยู่ที่นี่เพื่อสำนักผิด”
คนหนุ่มมักชื่นชอบเรื่องลึกลับและเรื่องที่เป็นแรงกระตุ้น เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้ ทุกคนจึงต่างพากันตื่นเต้นเข้าไปใหญ่
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยกับพวกเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อีกอย่าง ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงการซ้อมเสมือนจริง แต่อันตรายก็ยังคงมีอยู่ ภารกิจในครานี้เรียกได้ว่าอันตรายเสียยิ่งกว่าอันตราย ข้ามิอาจรับประกันว่าจะไม่มีทหารต้องล้มตาย พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่”
“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ!” ทุกคนเอ่ยประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน
สิ่งที่เยี่ยหลีพูดมานั้น สำหรับพวกเขาแล้วหาใช่เรื่องสำคัญอันใดไม่ ในสนามรบมีที่ใดบ้างที่ไม่มีการบาดเจ็บและล้มตาย
เยี่ยหลีพยักหน้า “ดี ไปเตรียมตัวเถิด ยามสองมารวมพล”
“ขอรับ!”
“พระชายา เจ้าทหารเล็กๆ พวกนี้ไม่รู้ประสีประสาจนเกินไป เหตุใดพระชายาถึงต้องไปสนใจพวกเขาด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยลิ่นเอ่ยด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
หลายวันมานี้ ที่ทหารเล็กๆ เหล่านี้เสียมารยาทกับพระชายา หากอยู่ในตำหนักอ๋อง ตายสักร้อยครั้งก็ยังไม่พอ
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่ง น่ารักอยู่ไม่น้อย”
ฉินเฟิงกับเว่ยลิ่นต่างลอบสบตากันเงียบๆ และตัดสินใจขึ้นพร้อมกันว่า จะไม่แพร่งพรายเรื่องที่พระชายาเอ่ยออกมาอย่างแน่นอน หากท่านอ๋องรู้ เจ้าเด็กหนุ่มกลุ่มนี้คงได้ตายเป็นร้อยครั้งก็ยังไม่พอเข้าจริงๆ