ในระหว่างที่กำลังก้มหน้าใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงกระทบกันของอาวุธจากการต่อสู้ดังลอยมาจากที่ไกลๆ ไม่นานก็มีทหารจากด้านนอกเข้ามารายงานว่า “ท่านแม่ทัพ ฝ่ายศัตรูมาลอบโจมตีอีกแล้วขอรับ”
“ตีกลับไป! เตือนทหารที่แนวหน้าด้วยว่า อย่าได้ประมาท” หลี่ว์จิ้นเสียนตบจดหมายลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินออกไปจากกระโจม
ณ จุดหนึ่งที่อยู่ห่างจากรุ่นเทียนหยาไปไม่ไกล เยี่ยหลีมองลงไปยังจุดที่มีเปลวไฟลุกโหมอยู่ และหันมองรุ่นเทียนหยาทางด้านหลังที่ยังคงเงียบสงบ แล้วใบหน้านางก็ค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มนอ้ยๆ เอ่ยเสียงขรึมว่า “ลงมือเถิด”
“ขอรับ”
ไม่นาน รุ่นเทียนหยาก็มีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้น พื้นที่ที่เดิมสงบเรียบร้อย ก็ค่อยๆ เกิดเสียงโหวกเหวกโวยวายขึ้น
“ท่านแม่ทัพ ท่านดูนั่นสิขอรับ!” หลี่ว์จิ้นเสียนที่เพิ่งเดินออกมาจากกระโจมใหญ่หันกลับไปมองทันที รุ่นเทียนหยาที่เกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นทำให้ใจเขาหนักอึ้งขึ้นทันที ในใจนึกเพียงว่า เขารู้แล้วว่าชายาติ้งอ๋องไปอยู่เสียที่ใด
“ท่านแม่ทัพ นั่นคือรุ่นเทียนหยา…มีคนลอบโจมตี?!”
“บ้าเอ้ย พวกมันอ้อมไปถึงที่นั่นได้อย่างไร!”
การสู้รบทางด้านหน้าก็ยังอุตลุด หลี่ว์จิ้นเสียนขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงขรึมว่า “หุบปาก! รองแม่ทัพรักษาที่นี่ไว้ให้ได้ ข้าจะนำทหารกลับไปช่วยทางด้านโน้น”
ด้วยเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีทหารอยู่จำนวนเท่าใด หลี่ว์จิ้นเสียนจึงไม่อยากเสี่ยง จึงจำต้องนำกำลังทหารไปช่วยเหลือด้วยตนเอง
กำลังทหารในมือเขาทั้งหมดสามหมื่นกว่านาย เขาเหลือไว้ที่รุ่นเทียนหยาเพียงหกเจ็ดพันนายเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่เสียรุ่นเทียนหยาไป พวกเขารักษาที่นี่ได้ก็ไร้ความหมาย
ทุกคนต่างไม่กล้าคัดค้าน รีบรับคำสั่งแล้วต่างแยกย้ายไปสั่งเคลื่อนพลทหารของตนทันที
ด้านล่างเนินเขา จางฉี่หลันเองก็มองเห็นเปลวเพลิงแล้วเช่นกัน แน่นอนว่านั่นมิใช่เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นในรุ่นเทียนหยา แต่เป็นสัญญาณที่เยี่ยหลีต้องการส่งถึงเขา
ในที่สุดใบหน้าที่เคร่งขรึมและดุดัน ก็ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น ตะโกนเสียงก้องว่า “ตีกลองบุก!”
ก่อนฟ้าสาง เสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้นท่ามกลางความมืดมิด เสียงตะโกนให้บุกดังสนั่นไปถึงฟ้า ทหารกลุ่มใหญ่ประหนึ่งคลื่นแม่น้ำก็พุ่งขึ้นไปด้านบนเนินเขาทันที
หลี่ว์จิ้นเสียนที่กำลังควบม้ากลับไปก็ได้ยินเสียงรบราฆ่าฟันที่เกิดขึ้นด้านหลังเช่นกัน มุมปากปรากฏรอยยิ้มอย่างทำอันใดไม่ได้ขึ้นน้อยๆ ท่านอ๋องเตือนเขาช้าเกินไปเสียแล้ว จะระวังก็สายไปเสียแล้ว…
ยามนี้ที่รุ่นเทียนหยาเองก็กำลังวุ่นวายอย่างหนัก บรรดาทหารที่ยังอยู่ในฝันกันอยู่ ต่างพากันตาลีตาเหลือกลุกขึ้นมาตั้งรับศัตรูทันที และแน่นอนว่าทหารเหล่านั้นมิใช่ทหารที่อดกลั้นกันมานาน และกำลังรอที่จะสู้รบกับพวกเขาอยู่
แต่กระนั้นคนเหล่านี้ก็มิได้ตั้งใจที่จะมาสู้รบเอาเป็นเอาตายกับพวกเขาอยู่แล้ว พวกมันจุดไฟได้ก็รีบหนีหายไป หากบังเอิญเจอทหารอีกฝ่ายก็สู้ หากสู้ไม่ไหวก็หนี จนทำให้ทหารที่เพิ่งตื่นจากการหลับฝัน โกรธเกรี้ยวด้วยความหัวเสีย แต่ก็ทำอันใดไม่ได้ ด้วยไม่รู้สถานการณ์ของอีกฝ่าย ทำได้เพียงต่อสู้ไปท่ามกลางความวุ่นวายอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่านั้น
บนมุมสูงจุดหนึ่งที่อยู่ห่างจากจุดที่ต่อสู้กันอยู่ไปไม่ไกล มีคนกลุ่มหนึ่งที่อาศัยแสงจากเปลวไฟ ทำให้เห็นสถานการณ์ทุกอย่างโดยละเอียด
เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยหลี อมยิ้มมองภาพทหารที่ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าหนุ่มพวกนี้ไม่เลวเลยนี่ หากอยู่ในสนามรบจริงๆ แล้วดุดันได้เช่นนี้ก็ดีสิ”
ทหารที่เข้าร่วมในการรบเสมือนจริงครานี้ มิได้มีเพียงทหารชั้นประทวนเท่านั้นที่เป็นคนหนุ่ม แม้แต่ทหารทั่วๆ ไปเองโดยมากก็เป็นทหารใหม่ที่เพิ่งเข้ากองทัพตระกูลม่อมาได้เพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ทหารที่อยู่ในกองทัพตระกูลม่อมาแต่เดิม ถึงแม้จะเรียกไม่ได้ว่าคร่ำหวอดมาให้สนามรบแล้วเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่โดยมากก็เป็นคนที่เคยสัมผัสกับสนามรบมาแล้วหลายคราด้วยกัน การซ้อมรบเสมือนจริงในครานี้ สำหรับพวกเขานั้น ความสำคัญของการซ้อมรบในครานี้ห่างไกลกับทหารที่เข้ามาใหม่เหล่านั้นมากนัก
ภายใต้แสงไฟจากเปลวเพลิงเหล่า ทหารบางคนยังมือถือหอก ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย บางคนถึงกับลงไปตะลุมบอนกันอยู่กับพื้นให้วุ่นวายไปหมด บางคนถึงขั้นบีบคอ กัดหูกันเป็นต้น จนออกอาวุธใส่กันไม่ได้ ก็ไม่แปลกที่คุณชายเฟิ่งซานที่สงวนท่าทีมาตลอดแม้อยู่ในสนามรบ จะรู้สึกสนุกไปด้วยจนถึงกับหัวเราะออกมา
เยี่ยหลีมองเหตุการณ์ด้านล่างด้วยความสงบนิ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “อย่างน้อยก็ให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยสักหน่อย ต่อไปหากไปอยู่ในสนามรบจริงๆ จะได้ไม่ตื่นเต้นจนทำอันใดไม่ถูก ในสนามรบ ผู้ที่ตายเร็วที่สุด อย่างไรก็คือทหารใหม่นี่ล่ะ”
เฟิ่งจือเหยาหุบยิ้มลง พยักหน้าเอ่ยว่า “พระชายากล่าวได้ถูกต้อง…แม่ทัพหลี่ว์กลับมาแล้ว” ท่ามกลางยามค่ำคืน มีเสียงดังประหลาดเสียงหนึ่งดังลอยมา เฟิ่งจือเหยาสีหน้าเข้มขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงขรึม
เยี่ยหลีพยักหน้า เงยหน้าขึ้นมองฟ้า “ยามนี้ก็ไม่เช้าแล้ว ถอนกำลังเถิด”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “แต่ว่าทางฟากแม่ทัพจางนั่น…”
เยี่ยหลีเอ่ยว่า “อย่างน้อยหลี่ว์จิ้นเสียนก็น่าจะแบ่งกำลังทหารกลับมาสักครึ่งหนึ่ง หากทางฟากแม่ทัพจางยังไม่สามารถบุกขึ้นมาได้ พวกเราก็ทำอันใดไม่ได้ หากรอให้คนของแม่ทัพหลี่ว์มาถึง พวกเราก็คงหนีไปไม่ได้แล้ว ขึ้นเขา”
เฟิ่งจือเหยาจนใจ รู้ดีว่าสิ่งที่เยี่ยหลีเอ่ยเป็นความจริง จึงทำได้เพียงส่งสัญญาณคำสั่งลงไปให้ถอนกำลัง
บรรดาทหารทั้งหลายที่กำลังสู้รบกันอย่างดุดัน ถูกบังคับให้ถอนกำลังกลับมา แต่ละคนพากันขยับตัวอย่างฮึดฮัดประหนึ่งม้าตัวเล็กๆ
ยามที่หลี่ว์จิ้นเสียนกลับมาถึงค่ายใหญ่ที่รุ่นเทียนหยานั้น ฟ้าก็สว่างขึ้นเต็มที่แล้ว ค่ายใหญ่ที่เคยเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนหนึ่งถูกไฟเผาวอด ทั้งยังอยู่ในสภาพประหนึ่งถูกโจรปล้นจนเสียหายอย่างหนัก ยิ่งเมื่อหันไปเห็นนายทหารที่เสียชีวิตจากการสู้รบนั่งเป็นวงอยู่กลางค่าย สีหน้าของหลี่ว์จิ้นเสียนที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนจึงยิ่งดูย่ำแย่ลงไปอีก
“ผู้บัญชาการทหารของพวกเจ้าคือใคร มีจำนวนคนมากน้อยเพียงใด” หลี่ว์จิ้นเสียนจ้องทหารทัพตะวันตกที่นั่งอยู่ตรงกลางตรงหน้าเขา และกำลังพูดคุยกับคนอื่นๆ อยู่ ก่อนหลี่ว์จิ้นเสียนจะเอ่ยถามเสียงขรึมขึ้น
นายทหารผู้นั้นอึ้งไป ก่อนรีบตอบอย่างรวดเร็วว่า “เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยเป็นทหารที่ตายแล้วขอรับ!” คนตายนั้นพูดไม่ได้หรอกนะ
หลี่ว์จิ้นเสียนอดกระตุกมุมปากขึ้นไม่ได้ ส่งเสียงหึทีหนึ่ง ก่อนสะบัดแขนเดินไปทันที
ทหารผู้นั้นขมวดคิ้วด้วยความเป็นกังวล สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย เขามิได้พูดอันใดที่ทำให้แม่ทัพหลี่ว์โกรธเข้ากระมัง
บนเนินเขาห่างไปยี่สิบลี้ การต่อสู้อย่างดุเดือดยังคงดำเนินต่อไป แต่ทหารที่รักษาการณ์อยู่ เมื่อกำลังทหารหายไปครึ่งหนึ่ง ก็เริ่มมีแววว่าจะพ่ายแพ้ให้ได้เห็น แต่สถานการณ์บนรุ่นเทียนหยากลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง ทัพตะวันออกล้อมโจมตีเข้ามาโจมตีเป็นระยะๆ ต่อให้ถูกทัพตะวันตกตีกลับไปเท่าไร ก็กลับมาตามตอแยไม่ได้หยุด เมื่อกลับไปพักผ่อนจนพอแล้ว ก็รีบกลับมาโจมตีต่อ หากอยู่บนพื้นราบ การท้าทายเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็นการรนหาที่ตาย แต่บนรุ่นเทียนหยาที่พื้นที่เต็มไปด้วยหินและเนินเขาที่สูงชัน ตลอดทางเต็มไปด้วยแนวหินที่อันตราย ในบางคราทหารหนึ่งหมื่นนายกับสามพันนาย เอาเข้าจริงก็มิได้มีอันใดแตกต่างกันนัก
กว่าหลี่ว์จิ้นเสียนจะรู้โดยละเอียดว่าอีกฝ่ายมีทหารอยู่จำนวนเท่าไร หักลบจำนวนทหารที่ตายลงมากินมาดื่มเปล่าๆ ปลี้ๆ อยู่ที่ค่ายใหญ่ของเขาออกไป ที่มีจำนวนยังไม่ถึงสี่พันคนนั้น เขาจะรู้สึกเสียใจก็ไม่ทันเสียแล้ว ด้วยเพราะทหารสี่พันนายนั้น ได้ยึดเส้นทางที่ทหารจะใช้ขึ้นมาช่วยเหลือจากด้านนอกเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว ทหารนับหมื่นนาย จึงทำได้เพียงมองคนฝั่งของตนที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบลี้ ถูกอีกฝ่ายค่อยๆ ทำลายลงไปเฉยๆ เท่านั้น
หลี่ว์จิ้นเสียนที่กำลังหงุดหงิดอย่างหนัก จึงคิดจะทำลายกลุ่มทหารที่อยู่บนรุ่นเทียนหยาให้สิ้นซากไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ดังนั้นบนรุ่นเทียนหยาจึงเกิดความวุ่นวายจากการต่อสู้แย่งชิงขึ้น
เส้นทางที่จะเดินทางไปด้านนอกมีพื้นที่อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมิอาจระดมกำลังทหารออกมาได้ทั้งหมด ดังนั้นกำลังทหารฝ่ายตะวันออกจึงยึดครองเส้นทางออกเอาไว้ได้ ทหารที่ออกไปช่วยยังไม่ทันได้ออกจากประตูด่าน ก็ถูกทหารฝ่ายตะวันออกต้านเอาไว้ทันที
ปากทางที่ทหารตะวันออกยึดครองไว้ได้นั้น ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทหารฝั่งตะวันตกก็บุกกลับขึ้นมาอีก ทหารทั้งสองฝ่ายต่างล้มตายกันไปจำนวนนับไม่ถ้วน ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ ยามสู้รบกันนั้น ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้ทุกวิธีการในการห้ำหั่นกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่ตัดสินทหารฝ่ายที่จะต้องตายได้แล้วจริงๆ ทุกคนก็กลับมาเป็นพี่น้องที่ปรองดองกันอีกครั้ง ต่างฝ่ายต่างนั่งพูดคุยกันด้วยดี นั่งนิ่งอยู่โดยรอบสังเกตการณ์สถานการณ์การสู้รบของเพื่อนทหารผู้อื่นที่สู้รบกันอยู่ต่อไป
การสู้รบกันในครานี้ดำเนินต่อไปจนถึงช่วงบ่ายของวันนั้น บนเส้นทางเล็กๆ สายนั้น ทหารทั้งสองฝ่ายต่อสู้แย่งชิงกันไปมาถึงสี่ห้ารอบ ต่างฝ่ายต่างเสียหายกันอย่างหนัก
ทหารฝ่ายเยี่ยหลีกับเฟิ่งจือเหยา ที่เดิมมีอยู่สี่พันนาย เหลือทหารอยู่เพียงไม่ถึงสองพันนาย ส่วนฝ่ายหลี่ว์จิ้นเสียนเองก็เสียหายทหารไปเกือบสามพันนายเช่นกัน แต่หากก่อนยามเช้าพรุ่งนี้ จางฉี่หลันยังไม่สามารถจัดการกับทหารที่ด่านหน้าได้แล้ว พวกเขาคงได้ล้มตายกันหมดอย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อได้เห็นสัญญาณที่จางฉี่หลันส่งมา เยี่ยหลีกับเฟิ่งจือเหยาจึงพากันระบายลมหายใจออกมาอย่างยืดยาวโดยไม่รู้ตัว ส่วนหลี่ว์จิ้นเสียนกลับหน้าดำคล้ำลงทันที ด่านที่ด้านหน้าถูกตีแตกเสียแล้ว จะรักษาเส้นทางตรงหน้าไปก็ไม่มีความหมายอันใดอีกต่อไป หลี่ว์จิ้นเสียนส่งเสียงหึทีหนึ่ง ก่อนเดินหน้าบึ้งตึงกลับเข้าค่อยทหารไป
เมื่อมองจากไกลๆ เห็นแผ่นหลังของหลี่ว์จิ้นเสียนเดินหายไป เฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่บนก้อนหินเรียบลื่นก่อนหนึ่งก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมาทันที
เยี่ยหลีที่นั่งอยู่มองค้อนเขาทีหนึ่ง “เรื่องอันใดที่ทำให้คุณชายเฟิ่งซานขบขันเช่นนี้หรือ”
เฟิ่งจือเหยายืดตัวขึ้นนั่งหลังตรง “จะมีเรื่องอันใดได้อีก พระชายามิได้เห็นสีหน้าของหลี่ว์จิ้นเสียนหรือ ฮ่าๆ…เจ้านั่นนึกภูมิใจมาตลอดว่าตนเป็นของกองทัพตระกูลม่อที่ใช้ทหารได้เก่งกาจอันดับหนึ่งรองจากท่านอ๋อง จึงทำตัวไม่เหมาะสมกับจางฉี่หลันอยู่บ้าง แต่กระนั้นยามนี้ แม่ทัพจางก็ยังอยู่ห่างไปอีกยี่สิบลี้ สู้รบกันมาทั้งวันแล้ว เขายังไม่รู้เลยว่าคู่ต่อสู้ของตนคือผู้ใด ท่านว่าสีหน้าเขาจะดีไปได้หรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้าด้วยความจนใจ “ครานี้ถือว่าโชคดี หากแม่ทัพจางช้ากว่านี้อีกเพียงเล็กน้อย คุณชายเฟิ่งซาน ยามนี้เกรงว่าพวกเราคงถูกแม่ทัพหลี่ว์จับไปเป็นเชลยเสียแล้ว”
เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นลูบจมูก บ่นพึมพำว่า “เหตุใดพระชายาถึงไม่ให้หน่วยกิเลนมาร่วมศึกหรือ”
เยี่ยหลีหันไปยิ้มให้เขา “นี่เป็นการรบเสมือนจริง หากการรบเสมือนจริงยังต้องเล่นนอกเกม สู้ไปเล่นละครเลยไม่ดีกว่าหรือ”
นอกเกม? สิ่งนั้นคืออันใดกัน