ไม่นาน ในวังก็มีราชโองการจากม่อจิ่งฉีออกมาประกาศว่า ให้แต่งตั้งบุตรชายคนโตที่เกิดจากหลิ่วกุ้ยเฟย นามม่อเสี้ยวอวิ๋นขึ้นเป็นองค์ชายรัชทายาท อีกทั้งยังได้แต่งตั้งหลีอ๋อง ม่อจิ่งหลีขึ้นเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ให้คอยช่วยเหลือราชกิจ
เมื่อมีราชโองการเช่นนี้ประกาศออกมา ขุนนางทั้งราชสำนักต่างพากันตกอกตกใจ พร้อมทั้งเกิดความงงงวย ไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์เช่นไรกันแน่ ขุนนางในราชสำนักคิดจะเลือกข้าง ต่างก็พากันงงงวยว่าตนควรเลือกข้างองค์ชายรัชทายาทดี หรือจะเลือกอยู่ข้างหลีอ๋องดี
ตำหนักหลีอ๋อง
พอม่อจิ่งหลีกลับถึงตำหนัก เยี่ยอิ๋งกับองค์หญิงซีสยาก็ก้าวเข้ามาต้อนรับทันที องค์หญิงซีสยายังคงงดงามหยาดเยิ้มประหนึ่งดอกไม้สด เมื่อเทียบกันแล้วเยี่ยอิ๋งดูจะขาวซีดและผ่ายผอมกว่ามากนัก สตรีสาวอายุเพิ่งล่วงเลยยี่สิบปีมาได้ไม่เท่าไร แต่มองดูแล้วประหนึ่งใกล้จะสามสิบปีแล้วกระนั้น มือนางยังจับจูงเด็กชายที่ดูแล้วอายุยังไม่น่าเกินห้าขวบออกมาด้วย แต่ผู้คนในตำหนักหลีอ๋องต่างรู้กันดีว่า ซื่อจื่อน้อยที่ทั้งท่านอ๋องและพระชายาต่างให้ความรักใคร่เอ็นดูนั้น ปีนี้อายุใกล้จะเต็มเจ็ดขวบแล้ว
“ท่านอ๋อง ยินดีกับท่านอ๋องที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการด้วยเพคะ ตั้งแต่นี้ไปท่านจะมีอำนาจล้นฟ้าอยู่ในมือแล้ว” องค์หญิงซีสยายิ้มอย่างงดงามอ่อนหวาน ดูเต็มไปด้วยความยินดีจากใจจริง แต่ก็ดูไม่ดูตั้งใจเอาอกเอาใจจนเกินไป ทำให้ม่อจิ่งหลีที่เดิมยังมีสีหน้าบึ้งตึง อดระบายยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
นัยน์ตาเยี่ยอิ๋งมีประกายริษยาและโกรธแค้นวาบผ่าน ก่อนจูงบุตรชายเข้ามาเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ข้ากับซื่อจื่อน้อยก็ขอแสดงความยินดีที่ท่านอ๋องได้รับแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ…” พูดจบยังได้ตบหลังซื่อจื่อน้อยเบาๆ เป็นการบอกให้เขาพูดตาม
เด็กชายตัวเล็กๆ ที่หน้าขาวซีด ร่างกายก็ดูอ่อนแอประหนึ่งหากต้องลมก็คงถูกพัดให้ปลิดปลิวไป เขาเบียดตัวเข้ากับเยี่ยอิ๋งแน่น ประหนึ่งเกรงกลัวม่อจิ่งหลีผู้เป็นบิดาเป็นยิ่งนัก
เยี่ยหลีอิ๋งลอบกัดฟันกรอด นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ นางกับม่อจิ่งหลีล้วนมิใช่คนใจเสาะขี้กลัว เหตุใดบุตรชายที่คลอดออกมากลับใจเสาะประหนึ่งลูกหนู ที่เกรงกลัวแม้แต่บิดาของตนเองเช่นนี้
เด็กน้อยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น เอ่ยเรียกท่านพ่อด้วยเสียงที่แผ่วเบาประหนึ่งเสียงแมลงวันบิน แล้วจากนั้นก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก
ม่อจิ่งหลีมองเด็กที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวตรงหน้า ก็ให้รู้สึกถึงความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจปานจะปะทุออกมาได้กระนั้น เจ้าเด็กที่อ่อนแอใจเสาะจนแทบจะต้องลมไม่ได้เช่นนี้ จะเป็นบุตรชายม่อจิ่งหลีอย่างเขาไปได้อย่างไร!
แล้วเขาก็อดคิดถึงรอยยิ้มเย้ยหยันอย่างได้ใจของม่อจิ่งฉีที่นอนแบบอยู่บนเตียงก่อนเขาจะออกจากวังมา ยิ่งคิดแววตาที่จ้องมองบุตรชายตรงหน้าก็ยิ่งดูโกรธเกรี้ยวประหนึ่งจะมีไฟออกมา
“ท่านอ๋อง…” เยี่ยอิ๋งมองม่อจิ่งหลีด้วยความงุนงง นางย่อมมองออกว่า ม่อจิ่งหลีมิได้ยินดีกับการที่ตนได้แต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ แต่อันที่จริง ยามนี้เขากำลังโกรธจัด นางประคองบุตรชายที่หลบอยู่หลังตนด้วยความเกรงกลัว ก่อนเยี่ยอิ๋งจะเอ่ยเรียกด้วยความระมัดระวัง
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเย็นๆ ทีหนึ่ง ก่อนเตะเด็กชายคนนั้นกระเด็นออกไป
หลังจากเขาให้คนไปสืบความโดยละเอียด ถึงได้รู้ว่า หมอตำแยที่ทำคลอดให้เยี่ยอิ๋ง ล้วนเป็นคนที่ม่อจิ่งฉีจัดหามาทั้งหมด จนเมื่อเยี่ยอิ๋งคลอดบุตรชายออกมา บ่าวไพร่ในเรือนทั้งหมดก็ถูกสับเปลี่ยนจนไม่รู้ว่าหายกันไปที่ใดบ้าง
ม่อจิ่งหลีรู้อยู่แล้วว่าม่อจิ่งฉีไม่มีทางโกหก เจ้าเด็กที่เจ็บออดๆ แอดๆ ตรงหน้านี้ไม่ใช่บุตรชายของเขามาตั้งแต่ต้น และเขาก็หน้าตาไม่เหมือนตนกับเยี่ยอิ๋งอีกด้วย ถึงแม้จะไม่ถึงกับอัปลักษณ์ แต่ก็ดูออกว่า เมื่อโตขึ้นแล้วเขาจะเป็นเพียงเด็กชายหน้าตาบ้านๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ท่านอ๋อง?!” เยี่ยอิ๋งตะโกนร้องออกมา บ่าวไพร่กับสาวใช้ที่อยู่ ณ ที่นั้น และแม้กระทั่งองค์หญิงซีสยาต่างพากันตกใจจนนิ่งอึ้งไป
เยี่ยอิ๋งรีบพุ่งเข้าไปหาเด็กชายคนนั้น เด็กน้อยที่ล้มลงกับพื้น อาเจียนเป็นเลือดออกมาสองที แม้แต่จะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก และดูจะหายใจออกมากกว่าหายใจเข้า
เยี่ยอิ๋งตื่นตกใจจนแทบไม่กล้าเข้าไปแตะตัวเด็กน้อยผู้นั้น ทำได้เพียงตะโกนด้วยความตกใจว่า “ลูก…ไปเร็ว! รีบไปตามหมอหลวง?!”
บ่าวไพร่ถึงได้ได้สติกันขึ้นมา พวกเขาหันมองม่อจิ่งหลีด้วยความสับสน ท่านอ๋องเป็นคนเตะซื่อจื่อน้อย จะเชิญหมอหลวงหรือไม่ย่อมต้องให้ท่านอ๋องเป็นผู้ออกคำสั่ง อีกทั้งบ่าวไพร่ทั้งหลายถึงแม้จะไม่รู้เรื่องการแพทย์ แต่ก็พอดูออกว่า ซื่อจื่อน้อยร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อถูกท่านอ๋องเตะเข้าไปเต็มแรงเช่นนั้น ย่อมทนรับไม่ไหว
“ไม่ต้องไป!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็น
เยี่ยอิ๋งเงยหน้าขึ้นมองม่อจิ่งหลีด้วยความตกใจ น้ำตาหยดลงบนใบหน้าอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี “ท่าน…ท่านอ๋อง…”
ยามนี้ม่อจิ่งหลีรำคาญเยี่ยหลีเต็มทนแล้ว สตรีนางนี้ทำอันใดไม่เป็นสักอย่าง มีแต่จะทำให้เสียเรื่อง ครานั้นเขาคงเสียสติไปแล้วจริงๆ ถึงได้คิดจะแต่งงานกับนาง และด้วยเหตุนี้ยังทำให้เขาเสีย… เขาก้าวเข้าไปคว้าตัวเยี่ยอิ๋งจะจับโยนเข้าเรือนที่พักของนาง
เยี่ยอิ๋งดิ้นขัดขืนไม่หยุด มองบุตรชายที่หายใจรวยรินอยู่กับพื้น พลางร้องไห้ไม่ได้หยุด
“อย่า…ท่านอ๋อง ลูก…” แผ่นหลังของท่านอ๋องหายไปจากกำแพงด้านหลัง
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างหันสบตากัน
องค์หญิงซีสยามองเด็กชายที่ล้มอยู่กับพื้น มุมปากยกยิ้มเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจ ก่อนโบกมือกล่าวว่า “ไว้รอให้ท่านอ๋องจัดการธุระเรียบร้อยแล้วค่อยจัดการก็แล้วกัน”
เยี่ยอิ๋งที่ถูกม่อจิ่งหลีลากตัวไป ดิ้นขลุกขลักไปตลอดทาง แต่สตรีที่บอบบางเช่นนางจะไปสู้แรงอันใดเขาได้
เยี่ยอิ๋งถูกม่อจิ่งหลีลากไปตลอดทาง เมื่อกลับถึงห้องก็ผลักนางเข้าไปโดยแรง เยี่ยอิ๋งที่ยังยืนไม่มั่น ตัวกระแทกเข้ากับโต๊ะหนังสือภายในห้อง เยี่ยอิ๋งเงยหน้าขึ้น เอ่ยถามด้วยน้ำตากลบตาว่า “ท่านอ๋องเหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ นั่นเป็นลูกของพวกเรานะเพคะ เหตุใดท่านถึงใจร้าย…”
“หุบปาก!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงเย็น จ้องเยี่ยอิ๋งด้วยสายตาเย็นเยียบ “เจ้าคนชั้นต่ำ ทำอันใดก็ไม่ได้เรื่อง! แม้แต่ลูกโดนคนเปลี่ยนตัวไปแล้วก็ยังไม่รู้อีก ถึงให้ข้าเลี้ยงดูเจ้าเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาตั้งเจ็ดปี!”
อะไรนะ เยี่ยอิ๋งนิ่งอึ้งไป ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของม่อจิ่งหลีแม้แต่น้อย
ม่อจิ่งหลีจ้องหน้านางพลางเอ่ยเสียงเย็นว่า “ยังไม่เข้าใจอีกหรือ เจ้าเด็กขี้โรคนั่นไม่ใช่ลูกชายของข้า เจ้าเด็กนั่นพอเกิดมาก็ถูกคนสลับตัวไปแล้ว!”
“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!” เยี่ยอิ๋งเอ่ยเสียงขาดห้วง บุตรที่นางรักใคร่เอ็นดูมาหลายปี คอยดูแลประคบประหงมมาเป็นอย่างดี มิใช่บุตรแท้ๆ ของนาง? เช่นนั้นบุตรของนางไปอยู่เสียที่ใด “ท่านอ๋อง…ลูกของพวกเราอยู่ที่ใด” เยี่ยอิ๋งเอ่ยถามด้วยความร้อนใจ
ม่อจิ่งหลีเอ่ยด้วยความโกรธว่า “อยู่ในมือม่อจิ่งฉี! เมื่อได้ยินเช่นนั้น เยี่ยอิ๋งก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง หลายปีมานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างม่อจิ่งหลีกับม่อจิ่งฉีเป็นเช่นไร นางย่อมรู้ดีแก่ใจ เมื่อบุตรของพวกตนไปอยู่ในมือม่อจิ่งฉีเสียแล้ว จะมีวันได้กลับมาหรือ
นางจับเสื้อม่อจิ่งหลีด้วยความร้อนรน เยี่ยอิ๋งเอ่ยกลั้วสะอื้นว่า “ท่านอ๋อง ช่วยลูกพวกเราด้วย อิ๋งเอ๋อร์ขอร้อง ท่านช่วยลูกพวกเราด้วยเถิด ฮือๆ…ลูกที่น่าสงสารของข้า…”
ม่อจิ่งหลีผลักนางออกด้วยความรำคาญใจ ลูกเขาอย่างไรเขาก็ต้องช่วย เขาจะไม่ช่วยไม่ได้
เขามองเยี่ยอิ๋งที่ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ข้างโต๊ะหนังสือด้วยสายตาเย็นเยียบ ม่อจิ่งหลีรู้สึกเพียงว่า สตรีที่เคยอ่อนหวาน ในยามนี้กลับน่ารำคาญเสียจนเกินทน “ตั้งแต่วันนี้เป็นตนไป เจ้าอยู่แต่ไหนเรือนหลังนี่ ไม่ต้องออกมา ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าอีก!”
เยี่ยอิ๋งนิ่งอึ้งไป นางเพิ่งได้ข่าวว่าบุตรชายของตนอยู่ในมือของม่อจิ่งฉี แล้วก็มาถูกม่อจิ่งหลีสั่งกักบริเวณอีก นางจะทนรับไหวได้อย่างไร
“ทำไม…ทำไม?” เยี่ยอิ๋งมองม่อจิ่งหลีด้วยสายตาเหม่อลอย หลายปีมานี้นางสูญเสียความรักใคร่จากเขาไปแล้ว หากมิใช่เพราะมีบุตรชายอยู่ข้างกาย ก็ไม่รู้จะถูกลืมไปอยู่เสียที่มุมใดนานแล้ว ความอ่อนหวานและรักใคร่เมื่อในอดีต เป็นประหนึ่งความฝันห้วงหนึ่งเท่านั้น แต่ในยามนี้ แม้แต่สิ่งที่นางเหลืออยู่เพียงเท่านี้ก็จะมลายหายไปด้วย?
ม่อจิ่งหลีเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากมิใช่เพราะเจ้ามันโง่เขลา ข้าจะไม่รู้ว่าบุตรชายตนเองไปอยู่เสียที่ใดมาหลายปีเช่นนี้หรือ เจ้ารู้หรือไม่ ด้วยความโง่เขลาของเจ้าทำให้ข้าสูญเสียอันใดไปบ้าง ยามนั้นเสด็จแม่พูดได้ถูกต้อง เจ้ามันก็แค่สตรีที่ทั้งโง่เขลาและไร้ประโยชน์ หากยามนั้นข้ามิได้แต่งงานกับเจ้า…”
เมื่อคิดถึงสตรีที่สุภาพเรียบร้อยที่ได้พบหน้าที่เมืองอันเมื่อปีก่อน ในใจม่อจิ่งหลีก็บังเกิดความเสียใจขึ้นมาทันที ผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว นางยังคงอ่อนหวานประหนึ่งดอกหลัน ทั้งสุภาพและสง่างาม หากเป็นนาง…หากเป็นนางคงไม่มีทางเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น
สุดท้ายเขาหันกลับมามองเยี่ยอิ๋งทีหนึ่ง ก่อนม่อจิ่งหลีจะสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย ทิ้งไว้เพียงเยี่ยอิ๋งที่นิ่งอึ้ง ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดอยู่อย่างไร้ซุ่มเสียง หลังจากนั้นพักใหญ่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงร้องไห้โฮดังลอยออกมา