การที่จู่ๆ หลิ่วกุ้ยเฟยก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้เยี่ยหลีเสียอารมณ์ไม่น้อย เยี่ยหลีจึงไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวเล่นอีก นางย่อมรู้ดีว่า ที่หลิ่วกุ้ยเฟยเดินทางมากราบไว้บรรพบุรุษอย่างยิ่งใหญ่นั้น จุดประสงค์ย่อมมิได้อยู่ที่สุราในมือ ยามนี้เยี่ยหลีนึกมั่นใจแล้วว่า คนที่ตนนึกรังเกียจมากที่สุดในชีวิตจะต้องเป็นหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน แม้แต่ม่อจิ่งฉี ม่อจิ่งหลี เหลยเจิ้นถิง หรือแม้กระทั่งซูจุ้ยเตี๋ย ก็ยังไม่น่ารังเกียจเท่าสตรีนางนี้
อย่างมากซูจุ้ยเตี๋ยก็เป็นเพียงคนที่หลงรักตนเอง คิดถึงแต่ตนเองโดยไม่สนหน้าตา แต่หลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาคืออันใด ซูจุ้ยเตี๋ยคิดว่าม่อซิวเหยายังรักใคร่ตนอยู่ จึงคอยตามตอแยม่อซิวเหยาด้วยเพราะมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม ส่วนหลิ่วกุ้ยเฟยผู้นี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าม่อซิวเหยาไม่มีใจให้นาง แต่นางก็ยังคงดื้อดึง เชื่อมั่นว่ามีเพียงนางผู้เดียวที่คู่ควรกับม่อซิวเหยา ต้องเป็นนางกับม่อซิวเหยา ถึงจะเป็นคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานลงมา นี่คงเป็นเรื่องจิตใจอันดื้นรั้นที่มีต่อความรักสินะ
“อาหลี ข้าไม่ผิดนะ…” เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของภรรยา ท่านติ้งอ๋องจึงทำได้เพียงเอ่ยโอดครวญด้วยความระมัดระวัง ก่อนหน้านี้เขารู้สึกเพียงว่า อาหลีไม่หึงหวงตน จึงรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก รู้สึกว่าอาหลีรักตนไม่มากพอ แต่ยามที่สีหน้าอาหลีดูไม่ดีเข้าจริงๆ เขาก็อดรนทนไม่ได้ คิดอยากเอ่ยขอโทษและงอนง้อให้นางอารมณ์ดี และนึกอยากให้อาหลีไม่หึงหวงเขาอีกตลอดชีวิต ก็หึงหวงมากเกินไปมันไม่ดีต่อสุขภาพนี่นะ
เยี่ยหลีหันกลับมามองค้อนเขา “หือ?”
ม่อซิวเหยารีบเอ่ยว่า “ผู้หญิงคนนั้นมาหาข้าเอง ข้าบอกนางไปชัดเจนตั้งนานแล้วว่าภรรยาของข้ามีอาหลีเพียงคนเดียว ผู้ใดจะรู้ว่านางฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง?”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “นี่มิใช่เพราะติ้งอ๋องของพวกเราเสน่ห์แรงหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยความยินดีว่า “อาหลีก็คิดว่าข้าเสน่ห์แรงเหมือนกันหรือ”
เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยอย่างจริงจังว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ซูจุ้ยเตี๋ย องค์หญิงหลิงอวิ๋น หลิ่วกุ้ยเฟย ถึงแม้จำนวนจะไม่ถือว่ามาก แต่อย่างไรก็เป็นสาวงามอันดับต้นๆ ของทั้งซีหลิงและต้าฉู่ เรื่องคุณภาพนั้นก็มากเกินพอทีเดียว บรรดาหนุ่มรูปงามที่ว่า หากเทียบเรื่องเสน่ห์กับติ้งอ๋องแล้วก็เป็นแค่เศษธุลีเท่านั้น จริงหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเศร้าสลดขึ้นมาทันที อาหลียังโกรธตนอยู่ “อาหลี สามีเข้าใจแล้ว ต่อไปหากมีผู้ใดกล้ามองหน้าสามีอีก ข้าจะควักลูกตานางออกมา!”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เอ่ยด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดถึงไม่ทำให้ท่านเสียโฉมเล่า นี่ต่างหากที่เป็นต้นเหตุกระมัง”
ม่อซิวเหยาเอ่ยปฏิเสธอย่างแข็งขัน “หากสามีเสียโฉมไปอีก ภรรยามองแล้วก็จะไม่เจริญหูเจริญตาน่ะสิ”
ม่อตัวน้อยยื่นศีรษะน้อยๆ ออกมจากอ้อมแขนเสด็จพ่อ กะพริบตาปริบๆ เอ่ยว่า “เสด็จพ่อท่านวางใจทำลายโฉมตนเองเถิด ต่อไปลูกจะต้องโตขึ้นเป็นบุรุษรูปงามสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน ท่านแม่มองข้าก็พอแล้ว”
ม่อซิวเหยากดศีรษะบุตรชายตัวดีเข้ากลับเข้าอ้อมแขนอย่างไม่เห็นขันด้วย “ใช้คำมั่วซั่ว กลับไปคัดคำว่าสะเทือนฟ้าสะเทือนดินห้าร้อยจบ”
ม่อตัวน้อยบิดก้นน้อยๆ ไปมา ในอ้อมแขนของเขา เอ่ยเสียงเศร้าสร้อยว่า “ท่านแม่ เสด็จพ่อรังแก…แอ…”
เมื่อกลับไปถึงในเมือง ก่อนหน้านี้หลีอ๋องมาเข้าเยี่ยมถึงที่โรงเตี๊ยม หลังจากนั้นพระสนมกุ้ยเฟยจากในวังก็รีบร้อนออกจากเมืองไป ยามนี้คนทั่วทั้งเมืองหลวงต่างรู้ว่า ท่านอ๋องกับพระชายา พาซื่อจื่อน้อยกลับเข้าเมืองมาแล้ว
เพียงเดินเข้าประตูไป ก็ดึงดูดสายตาทุกคู่ให้หันมอง แต่ด้วยเพราะมีเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักติ้งอ๋องกับราชวงศ์คอยขวางกั้นไว้ ชาวบ้านทั้งหลายจึงไม่กล้าเดินเข้ามาเอ่ยอันใดด้วย แต่จากสีหน้าของพวกเขา ก็มองเห็นได้ถึงสายตาแห่งความซาบซึ้งใจ ถึงแม้บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในราชสำนักทั้งหลายจะมัวแต่สนใจแต่กับเรื่องแย่งชิงอำนาจ แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนไม่น้อย ที่ยังจำได้ว่าห่างออกไปหลายร้อยลี้ มีการทำศึกกันเกิดขึ้นอยู่
ม่อตัวน้อยยืดตัวขึ้นจากทั้งๆ ที่ม่อซิวเหยาอุ้มอยู่ มองถนนใหญ่โดยรอบด้วยความสนใจใคร่รู้ การมีผู้คนมาล้อมมุงดูนั้น ยามอยู่เมืองหลีก็มีอยู่ไม่น้อย ดังนั้นสหายม่อตัวน้อยจึงไม่รู้สึกตื่นกลัวเลยแม้สักนิด แต่กลับดูเหมือนยิ่งมีคนมอง ก็ยิ่งชอบใจเสียด้วย ศีรษะน้อยๆ ที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของม่อซิวเหยา หันไปส่งยิ้มอย่างสดใดให้กับทุกคนที่เดินผ่านไปมา โปรยเสน่ห์น่ารักน่าเอ็นดูให้กับคนที่เดินผ่านไปมาจำนวนนับไม่ถ้วน
“ซื่อจื่อน้อยน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก”
“ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรของติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋อง น่าเอ็นดูราวกับหิมะแหนะ”
“อายุยังน้อยแต่ใจกล้าน่าดูเลย ไม่เสียแรงที่เป็นทายาทของตำหนักติ้งอ๋อง ตำหนักติ้งอ๋องมีคนสืบทอดแล้ว”
คำชื่นชมเหล่านี้ ย่อมได้ยินไปถึงหูม่อตัวน้อย ดังนั้นสหายม่อตัวน้อยจึงยิ่งดูคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
เยี่ยหลีเดินเคียงอยู่กับม่อซิวเหยา เมื่อเห็นท่าทางกระปรี้กระเปร่าของบุตรชายแล้ว ก็หันไปเลิกคิ้วเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “คนรอบตัวมักบอกว่า ตอนเด็กๆ ท่านอ๋องชอบโอ้อวดตนยิ่งนัก แต่ข้าไม่นึกเชื่อ ยามนี้ข้ากลับเชื่อเสียแล้ว” เยี่ยหลีอมยิ้มพลางชี้ไปทางม่อตัวน้อย “นี่เพิ่งกี่ขวบกัน ยังชอบอวดตัวเช่นนี้ ผ่านไปอีกสักสองสามปีจะขนาดไหน?”
ม่อตัวน้อยทำมายื่น เอ่ยแก้ตัวว่า “ท่านแม่ ที่ลูกทำนี่เพราะเห็นแก่หน้าเสด็จพ่อหรอกนะพ่ะย่ะค่ะ เขามิได้พูดกันหรอกหรือว่า พ่อเสือไม่ออกลูกเป็นหมา เสด็จพ่อออกจะน่าเกรงขามถึงเพียงนี้ หากลูกเป็นเหมือนเหลิ่งเอ๋อน้อย จะไม่ทำให้เสด็จพ่อเสียหน้าหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยกับเขาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “เจ้าเห็นความสำคัญของหน้าตาข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
ม่อตัวน้อยหัวเราะแหะๆ
เยี่ยหลียกมือขึ้นเขกหน้าผากเขาเบาๆ “จวินหานน้อยว่าง่ายกว่าเจ้าเป็นไหนๆ ระวังเถิดหากท่านอาเหลิ่งมาได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้เข้า จะมาเล่นงานเจ้า”
ม่อตัวน้อยซุกตัวเข้ากับอ้อมแขนเสด็จพ่อ ลูบป้อยๆ ตรงหน้าผากที่โดนเขก ก่อนบ่นงุบงิบว่า “ข้าไม่ได้พูดอันใดผิดเสียหน่อย ท่านอาเหลิ่งไม่กล้าเล่นงานข้าหรอก”
หากเขาเป็นเด็กน้อยนุ่มนิ่มบื้อๆ แบบเหลิ่งเอ๋อน้อย คงได้ถูกเสด็จพ่อรังแกตาย เหลิ่งเอ๋อน้อยควรจะนึกดีใจที่เขาเกิดเป็นบุตรของท่านอาเหลิ่งเอ้อร์ ไม่ใช่บุตรของตำหนักติ้งอ๋อง เขาเอามือลูบหน้าผากพลางเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ม่อตัวน้อยรู้สึกเพียงว่าตนช่างเกิดมาได้อย่างยิ่งใหญ่นัก
เยี่ยหลีมองบุตรชายที่เงยหน้าขึ้นมองฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียดประหนึ่งผู้ใหญ่ตัวน้อย เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “นี่กำลังคิดอันใดอยู่อีกหรือ”
บุตรชายของนางผู้นี้ มักชอบคิดอันใดประหลาดๆ อยู่เสมอ จนบางครั้งทำให้บิดามารดาของเขาไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี
ม่อซิวเหยาลอบหยิกก้นม่อตัวน้อยทีหนึ่งทั้งๆ ที่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หิวแล้วกระมัง ดูตาโตๆ ที่นิ่งลอยนั่นสิ กลางวันคงกินน้อยไปหน่อยกระมัง…”
ม่อตัวน้อยถลึงตาโตด้วยความโกรธ ท่านสิตาลอย! ท่านสิตาทึ่ม ท่านต่างหากที่เป็นตาทึ่ม!
ม่อซิวเหยายิ้มน้อย คิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้ากำลังด่าข้าในใจน่ะ
สามคนพ่อแม่ลูก บุรุษผมขาวรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา อุ้มเด็กชายในชุดสีดำที่น่าเอ็นดูประหนึ่งรูปสลัก เดินเคียงมาด้วยสตรีรูปงามที่ห่มคลุมด้วยเสื้อคลุมสีอ่อน ค่อยๆ เดินเรื่อยๆ ไปตามถนน เดินไปพลางพูดคุยกันไปพลาง บนใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ภาพบรรยากาศอันแสนอบอุ่น ทำให้ผู้คนจำนวนมากถึงกับต้องนิ่งมอง แม้แต่คนที่คุ้นเคยสองสามคนเห็นเข้า อยากจะเข้ามาทักทาย ยังเกรงใจไม่กล้าเข้าไปขัดจังหวะ ผู้คนต่างมองดูทั้งสองเดินเคียงคู่กันไปเงียบๆ ถนนที่เดิมยังคึกคัก ประหนึ่งเงียบสงัดลงทันที
บนโรงน้ำชาริมถนนแห่งหนึ่ง ตรงหน้าต่างที่ถูกผลักเปิดออก หลิ่วกุ้ยเฟยในชุดขาวคลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกยื่นนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น นางทอดสายตาลงมองคู่บุรุษกับสตรีที่กำลังค่อยๆ เดินเข้ามาจากที่ไกลๆ มือกำหมัดแน่นอยู่ ถูกเล็บจิกจนมีรอยเลือดไหลออกมา “ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเสียจริง แล้วยังมีติ้งอ๋องซื่อจื่ออีก เมื่อโตขึ้น รัศมีของเขาจะต้องโดดเด่นกว่าติ้งอ๋องถึงสามส่วนอย่างแน่นอน” ด้านหลังหลิ่วกุ้ยเฟย ถานจี้จือเอ่ยกลั้วยิ้มเรียบๆ
หลิ่วกุ้ยเฟยสบัดตัวกลับมา กวาดตามองถานจี้จือด้วยสายตาเย็นเยียบ
ถานจี้จือหาได้สนใจไม่ เพียงยักไหล่และมิได้พูดอันใดอีก
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอันใดอีก หลิ่วกุ้ยเฟยถึงหันกลับไปมองบุรุษผมขาวผู้นั้นอีกครั้ง เมื่อคิดถึงว่าเหตุใดเส้นผมที่ยาวสลวยถึงได้กลายเป็นสีขาว ในใจหลิ่วกุ้ยเฟยก็มีความโกรธเกลียดพุ่งขึ้นมาทันที คราแรก…คราแรกหากรู้ว่าเยี่ยหลีจะได้ใจม่อซิวเหยาไป อย่างไรนางก็ไม่มีทางปล่อยเยี่ยหลีไว้ข้างกายเขาอย่างแน่นอน นางเสียดายที่นางผิดแล้วก็ผิดอีก คราแรกเพื่อให้ม่อซิวเหยาเกิดความรู้สึกดีๆ กับนาง นางยังเคยช่วยเยี่ยหลีไว้ด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยก็รู้สึกว่า ตนได้ทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุดในโลกหล้านี้เข้าให้เสียแล้ว
“เพราะเหตุใด…” เพราะเหตุใดเขาถึงไม่ยอมรับนาง นางมีอันใดที่เทียบเยี่ยหลีไม่ได้!
นางจับจ้องสตรีในชุดสีอ่อนที่อยู่ข้างกายบุรุษผมขาวที่อยู่ไกลออกไป รูปลักษณ์นางก็พอเรียกได้ว่าสะสวย แต่หลิ่วกุ้ยเฟยเห็นว่าตนยังงดงามกว่านางมากนัก หากว่ากันเรื่องพื้นเพตระกูล นางเป็นบุตรสาวของเสนาบดีหลิ่ว ถึงแม้เยี่ยหลีจะถือว่ามีตระกูลฝั่งมารดาเป็นตระกูลสวี แต่นั่นอย่างไรก็เป็นเพียงตระกูลฝั่งมารดา หากนับกันจริงๆ แล้ว ยามนี้เยี่ยหลีก็เป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ นางหนึ่งเท่านั้น
ถานจี้จืออมยิ้มมองสตรีตรงหน้า เรื่องของความรักนั้น หากทุ่มเทมากจนเกินไปอาจเปลี่ยนเป็นความชั่วร้ายได้ ยิ่งไปกว่านั้น หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจรักม่อซิวเหยามากเท่าที่ตัวนางคิดไว้อย่างนั้นหรือ เกรงว่าจะเป็นความไม่ยอมแพ้เสียมากกว่า
ลองคิดดูแล้ว สตรีผู้แสนงดงามและเย่อหยิ่ง ที่ถึงขั้นเอาชนะใจประมุขแห่งแคว้นมาได้นั้น จะทนเห็นบุรุษผู้หนึ่งไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อยได้อย่างไร
“ส่งคนไป เชิญติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องขึ้นมาพูดคุยกันที่นี่” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเย็น
ถานจี้จือขมวดคิ้ว “เช่นนั้นจะดีหรือ พระสนมหลิ่วกุ้ยเฟยเสด็จออกจากวังด้วยพลการ มิใช่ข่าวที่ดีเลยแม้แต่น้อย”
“ไป!”
ถานจี้จือยักไหล่ “ในเมื่อพระสนมยืนกรานเช่นนั้น”
ทางด้านล่าง เยี่ยหลีสัมผันได้ถึงสายตาแห่งความโกรธเกลียดที่จับจ้องมาตั้งแต่ไกลๆ แล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่า บนชั้นสองของตึกที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มีเงาของสตรีในชุดขาวยืนอยู่ตรงหน้าต่าง
หลิ่วกุ้ยเฟยไม่เสียแรงที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงต่อจากซูจุ้ยเตี๋ย ปีนี้นางอายุกว่าสามสิบปีแล้ว แต่ความงดงามยังคงหยาดเยิ้มประหนึ่งดอกหลีท่ามกลางหิมะ เพียงแค่ยืนเฉยๆ อยู่ตรงนั้นไม่นาน ก็สามารถดึงดูดสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาได้มากทีเดียว แต่ดูเหมือนนางจะหาได้สนใจไม่ แค่เพียงมองกลุ่มคนที่เดินมาจากไกลๆ ไว้นิ่งๆ เท่านั้น ดูงดงามประหนึ่งหยกขาวที่แกะสลักไว้อย่างปราณีต
“คารวะติ้งอ๋อง คารวะพระชายา พระสนมหลิ่วกุ้ยเฟยเชิญพ่ะย่ะค่ะ” บุรุษนายหนึ่ง ลักษณะท่าทางเหมือนองครักษ์ปรากฏกายขึ้นที่บนถนน พร้อมเอ่ยด้วยความนอบน้อม
แววตาม่อซิวเหยาเป็นประกายอันตราย หรุบตาลงเอ่ยเรียบๆ ว่า “อาหลีก็คงกระหายน้ำแล้ว พวกเราไปดื่มชากันเถิด”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ก็ดีเหมือนกัน”