เมื่อเดินขึ้นไปบนชั้นสองของโรงน้ำชา ทางด้านบนกลับไม่มีแขกอยู่เลยแม้สักคน โรงน้ำชาแห่งนี้มิใช่โรงน้ำชาที่หรูหราอันใดมากนัก การประดับตกแต่งจึงย่อมไม่ถูกจริตหลิ่วกุ้ยเฟยที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังมานาน ดังนั้นที่นางเลือกสถานที่แห่งนี้ ก็เพียงเพื่อไว้คอยพวกม่อซิวเหยาสองคนเท่านั้น และหลิ่วกุ้ยเฟยย่อมมิอาจอยู่ร่วมกับชาวบ้านร้านตลาดจำนวนมากเช่นนั้นได้ ดังนั้นโรงน้ำชาแห่งนี้จึงแทบจะว่างเปล่า
ด้านบนโรงน้ำชาที่ว่างเปล่า บรรยากาศมีเพียงความเงียบสงบ แค่เพียงก้าวถึงปากบันได ก็เห็นหลิ่วกุ้ยเฟยที่กำลังยืนหันหน้าออกหน้าต่าง เห็นเพียงแผ่นหลังสีขาวด้านหลังของนางเท่านั้น บรรดานางกำนังและขันทีที่คอยรับใช้อยู่รอบๆ ยืมก้มหน้าอยู่อย่างสำรวม ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงเลยแม้สักน้อย
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว ม่อซิวเหยาที่อุ้มม่อตัวน้อยอยู่ เดินไปยังโต๊ะที่ว่างอยู่ ก่อนวางเจ้าซาลาเปาน้อยลงบนโต๊ะ
ม่อตัวน้อยทำปากเบ้ เขามิใช่เด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องนั่งบนโต๊ะเสียหน่อย เขายื่นมือออกไปจะให้เยี่ยหลีอุ้ม
เยี่ยหลียิ้มบางๆ ก่อนยื่นมือไปอุ้มเขาลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ
ม่อตัวน้อยถึงได้ขยับก้นไปมาบนเก้าอี้ตัวใหญ่อย่างอารมณ์ดี กะพริบตาปริบๆ เอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “ท่านแม่ ท่านป้าท่านนั้นมิได้เชิญพวกเรามาดื่มชาหรอกหรือ เหตุใดนางถึงไม่สนใจพวกเราเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านป้า? มุมปากเยี่ยหลีถึงกับกระตุก อย่าคิดว่าม่อตัวน้อยไม่รู้จักพูด ที่พอเขาแค่เอ่ยปากก็ล่วงเกินผู้อื่นเสียแล้ว สำหรับเด็กที่เริ่มหัดพูดก็เรียกฉินเจิงว่าพี่สาว เรียกท่านป้าสะใภ้ใหญ่ว่าท่านน้าแล้ว การต้องการอ้อนให้คนอารมณ์ดีหรือไม่นั่น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาเท่านั้นแล้ว
บางคราเยี่ยหลียังนึกเป็นกังวล ว่าบุตรชายคนนี้เมื่อโตไปแล้ว จะกลายเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ชอบบริหารเสน่ห์หรือไม่ ดังนั้นจึงนึกเห็นด้วยกับความคิดของม่อซิวเหยาอย่างน้อยครั้งนักจะเป็นเช่นนี้ นั่นคือ ควรจะพยายามกันม่อตัวน้อยออกจากหานหมิงซีให้ได้มากที่สุด ดังนั้น ครานี้จะต้องเป็นหลิ่วกุ้ยเฟยที่ไปทำอันใดให้ม่อตัวน้อยไม่พอใจอย่างแน่นอน
หลิ่วกุ้ยเฟยหันกลับมามอง เมื่อเห็นเด็กน้อยในชุดสีดำที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาก็อึ้งไปเล็กน้อย
หลิ่วกุ้ยเฟยชื่นชมตนเองว่างดงาม ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะไม่ถึงกับเข้าตา แต่ก็ต้องยอมรับว่าม่อจิ่งฉีพอเรียกได้ว่ามีหน้าตาดีพอใช้ แต่บุตรที่พวกเขาทั้งสองคลอดออกมา บุตรชายสองคน บุตรสาวหนึ่งคน เมื่อรวมกันแล้ว ยังไม่งดงามหล่อเหลาเท่าเด็กชายในชุดดำตรงหน้านี้ด้วยซ้ำ
หลิ่วกุ้ยเฟยจ้องเด็กชายในชุดดำที่นั่งมองตนตาแป๋วอยู่ตาไม่กะพริบ แม้แต่ความโกรธเคืองในใจเมื่อครู่ยังมลายหายไปมากทีเดียว แต่ในใจก็ยังบังเกิดความไม่ยอมแพ้ คิดว่าบุตรของนางกับติ้งอ๋อง…จะต้องงดงามหล่อเหลากว่าเด็กผู้นี้แน่นอน
เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ด้านข้าง ได้แต่เงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ แค่เพียงหลิ่วกุ้ยเฟยมองมาด้วยสายตาเหม่อลอย ก็รับรู้ได้ทันทีว่านางคงกำลังจินตนาการอันใดไปเองอีกแล้ว ไม่แน่ว่าในหัวนางอาจมีเรื่องที่ไม่สมจริงอยู่ในนั้นด้วย
“ท่านป้า? ท่านป้าคนสวย?” ม่อตัวน้อยคิดว่าตนเป็นคนที่รู้จักว่าสิ่งใดสวยงามมากๆ คนหนึ่ง ดังนั้นถึงแม้เขาจะไม่ชอบใจท่านป้าตรงหน้านัก แต่ก็ต้องยอมรับว่านางเป็นท่านป้าที่งดงามมากทีเดียว เพียงแต่น่าเสียดาย…ดูเหมือนสมองของท่านป้าผู้นี้จะมีปัญหาเล็กน้อย เมื่อครู่ยังจ้องมองตนด้วยสีหน้าโกรธจัดอยู่เลย เขายังคิดว่านางจะเกรี้ยวกราดออกมาแล้วเสียอีก ผู้ใดจะคิดว่านางจะมองเขาด้วยสีหน้าเหม่อลอยเช่นนี้ ข้ารู้ว่าข้าหน้าตาดี เพียงแต่ท่านป้าอายุมากเกินไปแล้ว อย่ามามองข้าแล้วน้ำลายไหลเช่นนี้เลย ม่อตัวน้อยคิดอย่างหลงตัวเอง
“ท่านป้า ท่านจะเชิญพวกเราดื่มชาหรือไม่หรือ” ม่อตัวน้อยเอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
เมื่อถูกเด็กคนหนึ่งมาเรียกตนว่าท่านป้าๆ ติดต่อกันหลายคราเช่นนี้ ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยหัวช้าเพียงใด ก็ยังรู้ว่าเด็กผู้นั้นตั้งใจ ต่อให้เด็กน้อยไม่รู้ประสา ก็จะต้องมีคนคอยสั่งสอนอย่างแน่นอน
หลิ่วกุ้ยเฟยก้าวเข้าไปหาเขา ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ซื่อจื่อน้อย ข้ามิใช่ท่านป้า”
ม่อตัวน้อยขมวดคิ้วมองพิจารณานางอยู่ครู่ใหญ่ ถึงได้เอ่ยงึมงำขึ้นว่า “เสด็จพ่อของข้าบอกว่า คนที่อายุมากกว่าท่านแม่ข้าสิบปี ให้เรียกว่าท่านป้า”
ท่านแม้ของเขา ถึงแม้จะอายุกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านแม่หน้าตาเหมือนเด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปี ท่านป้าตรงหน้ามองดูแล้วแก่เท่าเสด็จพ่อของเขาที่อายุกว่าสามสิบปีแล้วชัดๆ “บำรุงไม่ดีไม่เป็นไร ไว้ข้าจะแนะนำเครื่องประทินผิวของท่านแม่ให้ท่านใช้” ม่อตัวน้อยเอ่ยด้วยความสงสาร
สตรีที่งดงามเช่นนี้แต่กลับไม่รู้จักบำรุงจนกลายเป็นท่านป้าไปเสียได้ ช่างน่าสงสารเหลือเกิน ดังนั้น ม่อตัวน้อยจึงนึกมั่นใจว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นท่านป้าไปแล้วจริงๆ
“แค่กๆ” เยี่ยหลีที่ก้มหน้าจิบชาอยู่ถึงกับสำลักออกมาด้วยไม่ทันระวัง
ส่วนม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น มองสีหน้าจริงจังของบุตรชายด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เหตุใดเขาถึงจำได้ไม่เลยว่าเคยสอนให้เรียกคนที่อายุมากกว่าอาหลีสิบปีว่าท่านป้ากันนะ
“ซื่อจื่อน้อยช่างฉลาดเฉลียวนัก!” หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันเอ่ยเสียงเย็น “คุณหนูเยี่ยสั่งสอนได้ดียิ่งนัก”
สีหน้าเยี่ยหลียังคงเป็นปกติ อมยิ้มเอ่ยว่า “กุ้ยเฟยชมเกินไปแล้ว”
ผู้ใดชมเจ้ากัน?! ในใจหลิ่วกุ้ยเฟยลอบนึกโกรธเกลียดเป็นที่สุด ยิ่งเมื่อเห็นรอยยิ้มประหนึ่งบุปผาแรกแย้มของเยี่ยหลี ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ นางคิดมาตลอดว่าความงามของเยี่ยหลีนั้นห่างไกลจากนางนัก แต่เมื่อยามนี้ได้ลองพิจารณาใกล้ๆ โดยละเอียดแล้ว ถึงได้พบว่าเยี่ยหลีไม่ได้หน้าตาธรรมดาๆ อย่างที่ในความคิดนาง เครื่องหน้าประณีตงดงาม รอยยิ้มอ่อนหวาน แค่เพียงได้เห็นก็รู้สึกประหนึ่งกำลังอาบน้ำท่ามกลางลมในฤดูใบไม้ผลิ ภายใต้ใบหน้าที่ดูงดงามและอบอุ่นนั้น ฉายแววงามสง่าและสูงส่งให้ได้เห็นอีกด้วย
เดิมทีรูปลักษณ์ทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกัน แต่เมื่ออยู่บนร่างของสตรีตรงหน้านี้แล้ว กลับผสมกลมกลืนกันจนกลายเป็นความมั่นใจและยิ่งใหญ่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน จนทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึบว่า นางมิได้เป็นเพียงบุตรีที่เกิดในตระกูลใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นวีรสตรีที่สามารถวางแผนการรบได้อีกด้วย ด้วยบารมีเช่นนี้ของนาง ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องประดับนอกกายหรือสีหน้าท่าทางที่สร้างไว้เพื่อคอยปกปิด ถึงแม้นางจะมีรอยยิ้มที่อบอุ่นประหนึ่งเป็นเพียงสตรีธรรมดาๆ ทั่วไปนางหนึ่ง แต่กลับทำให้ผู้คนมิอาจมองข้ามนางไปได้ง่ายๆ
แน่นอนว่า นี่มิใช่เรื่องที่หลิ่วกุ้ยเฟยนึกเป็นห่วงที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยต้องกัดฟันด้วยความโกรธเกลียดนั้นคือ อายุของเยี่ยหลี หากเทียบกับสตรีสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีที่อยู่ในวัยแต่งงาน เยี่ยหลีถือว่าอายุมากแล้ว แต่หากเทียบกับหลิ่วกุ้ยเฟยที่อายุสามสิบปี เยี่ยหลีที่ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดยี่สิบสองปี แต่มองดูแล้วกลับอ่อนเยาว์ประหนึ่งเด็กสาวที่เพิ่งอายุสิบแปดปี ใบหน้าของนางช่างดูอ่อนเยาว์เสียจนน่าโมโห ไม่ว่าหลิ่วกุ้ยเฟยจะไม่อยากยอมรับเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อเทียบกับเยี่ยหลีแล้ว นางแก่แล้วจริงๆ
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หลิ่วกุ้ยเฟยจึงหันมองไปทางม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ด้วยความร้อนรน แต่กลับเห็นว่าม่อซิวเหยาเพียงถือถ้วยชาไว้ในมือ ไม่ได้ยกขึ้นดื่มและไม่ได้มองมาที่ตน แต่กลับทอดสายตามองไปทางสตรีในชุดสีอ่อนที่นั่งอยู่ห่างไปหนึ่งที่แทน
เมื่อเห็นรอยลักยิ้มจางๆ ตรงริมฝีปากของเยี่ยหลี ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้เส้นผมสีขาว ก็มีรอยยิ้มจากความสุขใจเผยให้ได้เห็น ตรงกลางระหว่างหญิงชายคู่งามยังมีเด็กน้อยที่ประหนึ่งผสมผสานจุดเด่นของทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันนั่งอยู่อีกคน ภาพเช่นนั้นช่างงดงามจนน่าหลงใหล แต่กลับทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกเย็บวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ซิว…ติ้งอ๋อง” นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาดูไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปาก หลิ่วกุ้ยเฟยจึงต้องเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยปากขึ้นก่อน
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น เพียงมองนางนิ่งพร้อมส่งสายตาคำถามมาให้นาง
หลิ่วกุ้ยเฟยจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ข้ามีธุระอยากพูดคุยกับติ้งอ๋องเป็นการส่วนตัว คุณหนูเยี่ยกับซื่อจื่อหลบออกไปก่อนได้หรือไม่”
เยี่ยหลีกำลังจะเอ่ยปาก แต่ม่อตัวน้อยกลับชิงเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ไม่ได้!”
ต่อให้หลิ่วกุ้ยเฟยนึกโกรธเคืองเพียงใด ก็ไม่อาจระบายอารมณ์ใส่บุตรชายของเขาต่อหน้าม่อซิวเหยาได้ จึงทำได้เพียงข่มอารมณ์โกรธไว้ ฝืนส่งยิ้มแข็งๆ ออกมา “ซื่อจื่อน้อย ข้ามีธุระจำเป็นต้องพูดคุยกับเสด็จพ่อของเจ้า ให้ท่านแม่เจ้าพาออกไปเดินเที่ยวเล่นก่อนดีหรือไม่”
ม่อตัวน้อยทำปากยื่น เงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยาตาแป๋ว แล้วในดวงตาที่ดำขลับตัดกับสีขาวอย่างชัดเจนก็มีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที อีกเพียงนิดก็จะร่วงผล็อยลงมา
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วมองบุตรชาย เจ้าตัวแสบคิดจะทำอันใดอีก
ม่อตัวน้อยมองเสด็จพ่อของตนอย่างน่าสงสาร เอ่ยด้วยเสียงสะอื้นว่า “เสด็จพ่อ…ท่านไม่ต้องการตัวน้อยกับท่านแม่แล้วใช่หรือไม่ ตัวน้อยรักท่านแม่กับเสด็จพ่อที่สุด เสด็จพ่อไม่ต้องการตัวน้อยแล้ว ฮือๆ…”
ดังนั้น ม่อซิวเหยาจึงได้ยินคำบอกรักจากปากบุตรชายเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยอาศัยใบบุญของหลิ่วกุ้ยเฟย เจ้าเด็กคนนี้ตามปกติมีแต่อยากจะเตะเสด็จพ่ออย่างเขาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่าเขาเองก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน
“พ่อไม่มีทางทิ้งท่านแม้เจ้าหรอก” ม่อซิวเหยาเอ่ยสัญญา มีแต่จะทิ้งเจ้า
ม่อตัวน้อยเอ่ยทั้งน้ำตาคลอเบ้าว่า “แต่เมื่อครู่ท่านป้าท่านนี้บอกให้ท่านแม่พาตัวน้อยไป ฮือๆ…ท่านลุงเล็กบอกว่า สตรีที่อยากพูดคุยกับเสด็จพ่อเป็นการส่วนตัว ล้วนเป็นคนที่คิดจะมาเป็นแม่เลี้ยงของตัวน้อย ตัวน้อยไม่อยากได้แม่เลี้ยง…”
ม่อซิวเหยาหน้าบึ้งลงทันที ในใจลึกๆ รู้สึกว่า เดิมทีที่เขาคิดเพียงกันหานหมิงซีออกจากม่อตัวน้อยนั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์ เขาควรกันพี่น้องตระกูลสวีทั้งห้าคนนั้นออกจากม่อตัวน้อยไปด้วยกันเสียเลย ดูสิว่าเจ้าน้องห้าสวีสอนอันใดบุตรเขาบ้าง แล้วยังเรื่องความคิดอ่านที่เรียนรู้มากจากสวีชิงเฉินนั่นอีก ทั้งวันมีแต่จะคอยตามท่านลุงใหญ่ต้อยๆ คำก็ท่านลุงใหญ่ สองคำก็ท่านลุงใหญ่ หากมิใช่เพราะม่อตัวน้อยมักคอยตามติดอาหลีต้อยๆ เขายังนึกสงสัยว่าม่อตัวน้อยคงตามไปอยู่กับสวีชิงเฉินเสียให้รู้แล้วรู้รอดหรือไม่ แน่นอนว่า ยามนี้เขาจับม่อตัวน้อยโยนไปให้ตระกูลสวีเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว แต่การที่เขาจับบุตรชายตนเองโยนไปกับการที่บุตรชายของเขาไปหาอีกฝ่ายด้วยตนเองนั้นต่างกัน
“ท่านอาเล็กของเจ้าพูดถูก ดังนั้นพ่อจะไม่มีวันพูดคุยกับสตรีนางใดเป็นการส่วนตัวอย่างแน่นอน” ข้าต้องการเพียงพูดคุยกับอาหลีเป็นการส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้นเจ้าตัวแสบก็อย่าได้มาตามติดอาหลีอีกเลย หากเป็นเช่นนั้นพ่อก็จะได้รักเจ้าด้วยอย่างไร
“ตัวน้อยรู้อยู่แล้วว่าเสด็จพ่อมิใช่คนเลวที่จิตใจอ่อนไหวจนจะทิ้งภรรยาหรอก” ม่อตัวน้อยเอ่ยด้วยความเบาใจ
ครานี้ ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีต่างพากันกระตุกมุมปาก สามีภรรยาลอบหันไปสบตากัน เด็กชายอายุห้าขวบกลายมาเป็นเช่นนี้ เป็นการอบรมสั่งสอนของผู้ใดที่ผิดพลาดกันนะ