บนทางเดินที่คดเคี้ยวไปมา เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยายืนเคียงกันอยู่
ม่อซิวเหยาอุ้มม่อตัวน้อยที่เริ่มกระพริบตาด้วยความง่วงงุน หันไปเอ่ยหัวเราะเบาๆ กับเยี่ยหลีว่า “อาหลีแปลกใจหรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องเอายาให้เขา”
เยี่ยหลีพยักหน้า ยาในขวดเล็กๆ นั่นเป็นยาที่ในยามนั้นนางกับม่อซิวเหยาชิงมาจากตัวของเหลยเถิงเฟิง ซึ่งเป็นยาตัวเดียวกับที่ม่อจิ่งหลีซื้อมาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง ถึงแม้จะช่วยชีวิตม่อจิ่งฉีไม่ได้ แต่หากม่อจิ่งฉีใช้มันแล้ว ก็น่าจะมีอายุยืนขึ้นได้อีกหลายวัน เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาล้วนเป็นคนที่พอรู้เรื่องการแพทย์อยู่บ้าง ย่อมมองออกว่า สภาพม่อจิ่งฉีในยามนี้เสมือนตะเกียงที่ใกล้จะหมดน้ำมัน มีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันพรุ่งนี้แล้ว
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ม่อจิ่งฉีผู้นี้มีนิสัยประหลาด หย๋าจื้อจะต้องล้างแค้นให้จงได้ สองวันนี้เขาถูกไทเฮากับม่อจิ่งหลี และตระกูลหลิ่วกดดันอย่างหนัก ยามนี้ให้โอกาสเขาตอบโต้สักครั้ง เขาจะต้องทำให้พวกเราประทับใจอย่างแน่นอน”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “หวังว่าจะมิใช่ตกใจแทน”
กับคนประเภทม่อจิ่งฉีนั้น เยี่ยหลียังรู้สึกกลัวอยู่สองส่วน ตายไปเสียจะดีที่สุด
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เจ้ากับข้ารอดูก็แล้วกัน”
เช้าวันต่อมา ก็มีข่าวดีส่งมาจากในวังจริงๆ ฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกคณะขุนนางไปออกว่าราชการตอนเช้า
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ขุนนางใหญ่และชนชั้นสูงทั้งหลายในวังหลวงต่างพากันตกใจ ต้องรู้ก่อนว่า ข่าวที่พวกเขาได้รับมานั้นคือฮ่องเต้ไม่อาจกลับมาดีได้อีกแล้วอย่างแน่นอน เขานอนแบบอยู่บนเตียง หลายวันนี้มีหลีอ๋องคอยทำหน้าที่จัดการเรื่องในราชสำนัก เมื่อจู่ๆ มีข่าวออกมาว่าฮ่องเต้มีรับสั่งเรียกขุนนางเข้าไปว่าราชการ ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจกันไม่น้อย คนที่ขวัญอ่อนหน่อยก็ถึงขั้นขาอ่อนไปเลยทีเดียว ในใจลอบนึกคาดเดาว่า ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้เล่นละครหลอกพวกตนหรือไม่ เพื่อลอบสังเกตการณ์ความจงรักภักดีของพวกตน หากเป็นเช่นนั้น ความตายก็คงมารออยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ม่อจิ่งหลีก็ทั้งโกรธทั้งตกใจ ปฏิกิริยาแรกย่อมไม่เชื่อ ก่อนที่เขาจะใช้ยากับม่อจิ่งฉี เขาได้หาคนมาทดลองแล้ว ยาพิษนี้โดยทั่วไป ถือว่าไม่สามารถถอนออกได้ อีกทั้งเมื่อวานที่เสด็จแม่ไปเยี่ยม ท่าทางเขาก็เหมือนคนใกล้ตายเต็มที เช้ามาวันนี้กลับสามารถลุกขึ้นมาว่าราชการได้ เป็นไปได้อย่างไร!
คนที่ได้รับข่าวเรื่องการออกว่าราชการตอนเช้ายังมีฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าที่รักษาตัวจนแข็งแรงอยู่ที่จวน ซึ่งเป็นกลุ่มขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอดีตฮ่องเต้ ขุนนางเก่าแก่กลุ่มนี้ หลังจากม่อจิ่งฉีขึ้นนั่งบัลลังก์ก็เกรงกลัวพวกเขาอย่างมา จึงรีบทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเขาเกษียณออกจากราชการ เหลือไว้เพียงไม่กี่คน ที่ถึงแม้จะไม่มาก แต่อิทธิพลที่มีต่อราชสำนักกลับไม่น้อย ซึ่งครานี้ก็ถูกม่อจิ่งฉีเรียกให้เข้าวังมาเช่นกัน
ที่หน้าประตูวัง กลุ่มขุนนางที่ได้พบหน้ากันต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ฮว่ากั๋วกงผู้เฒ่าที่ผมและหนวดเคราเป็นสีขาวไปหมด มีลูกชายกับหลานชายค่อยๆ ประคองกันเข้ามา ระหว่างทางมีขุนนางหลายคนเข้ามาเอ่ยทักทาย
“ฮว่ากั๋วกง” ม่อจิ่งหลีอยู่ในชุดท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ดูสูงสง่ายิ่งนัก
ฮว่ากั๋วกงหรี่ตาแก่ๆ ของตนลง เอ่ยกับม่อจิ่งหลีว่า “ท่านหลีอ๋องนี่เอง ไม่ได้พบเสียหลายปี ท่านหลีอ๋องดูมีสง่าราศีขึ้นมากทีเดียว คนแก่อย่างพวกข้าแก่ชรากันไปหมดแล้วจริงๆ”
หลายปีนี้ฮว่ากั๋วกงพักผ่อนรักษาสุขภาพอยู่แต่ในบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนหลายปี นับดูแล้วก็ไม่ได้พบหน้าม่อจิ่งหลีมาสี่ห้าปีเห็นจะได้
แม้ยามนี้จะมีตำแหน่งสูงและอำนาจที่ล้นมือ แต่ม่อจิ่งหลีกลับไม่คิดที่จะล่วงเกินฮว่ากั๋วกงง่ายๆ เขาประสานมือเอ่ยยิ้มๆ ว่า “กั๋วกงผู้เฒ่าพูดเป็นเล่นไป ความสามารถเพียงเล็กน้อยของข้า จะให้ท่านกั๋วกงเห็นอยู่ในสายตาได้อย่างไร”
ฮว่ากั๋วกงยิ้มจนตาหยี เอ่ยกับม่อจิ่งหลีว่า “ท่านหลีอ๋อง ช่างพูดช่างเจรจาขึ้นมากเลยนะ”
ม่อจิ่งหลีออกเดินไปยังท้องพระโรงสำหรับว่าราชการยามเช้าข้างๆ ฮว่ากั๋วกง พลางชวนพูดคุยเล่นว่า “เมื่อสองวันมานี้ติ้งอ๋องกลับมาเมืองหลวงแล้ว ไม่รู้ว่ากั๋วกงผู้เฒ่าได้พบเขาแล้วหรือยัง”
ฮว่ากั๋วกงส่ายหน้า “ข้าอายุมากแล้ว ข่าวก็ไม่ค่อยจะว่องไวสักเท่าไร ข่าวที่ติ้งอ๋องกลับมา ยังต้องขอบคุณท่านอ๋องมากที่ช่วยบอกกล่าว หากติ้งอ๋องยังจำได้ว่าข้ากับตำหนักติ้งอ๋องเคยมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เชื่อว่าอีกสักพักคงมาหาข้าเอง ยามนี้ติ้งอ๋องเพิ่งกลับมาเมืองหลวง เชื่อว่าคงมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก พวกเราคงไม่ไปรบกวน”
ม่อจิ่งหลียิ้มเรียบๆ “กั๋วกงผู้เฒ่ากล่าวได้ถูกต้องนัก วันนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งเรียกให้กั๋วกงผู้เฒ่าเข้าวัง…”
ฮว่ากั๋วกงเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เชื่อว่าสุขภาพของฝ่าบาทคงจะดีขึ้นแล้ว ด้วยเพราะดีพระทัย คงอยากให้คนแก่ๆ อย่างพวกข้าเข้าไปร่วมแสดงความยินดีด้วยกระมัง”
“เช่นนั้นหรือ” ม่อจิ่งหลีมิได้คัดค้าน หันมองกั๋วกงผู้เฒ่าอย่างขอลุแก่โทษว่า “กั๋วกงผู้เฒ่า ข้า…”
ฮว่ากั๋วกงก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลีอ๋อง เป็นคนหนุ่ม คงจะเดินไปกับคนแก่อย่างพวกข้าไม่ได้ หลีอ๋องเดินนำไปก่อนก็แล้วกัน”
ม่อจิ่งหลียิ้ม ประสานมือเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้น กั๋วกงผู้เฒ่าค่อยๆ เดิน ข้าขอตัวก่อน”
“ไม่ส่ง” ฮว่ากั๋วกงเอ่ยยิ้มๆ
เมื่อเห็นม่อจิ่งหลีสาวเท้ายาวๆ เดินจากไปแล้ว รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าฮว่ากั๋วกงก็ค่อยๆ จางลง
บุตรชายที่ประคองเขาอยู่เอ่ยด้วยความกังวลว่า “ท่านพ่อ ฝ่าบาทไม่ได้มีรับสั่งเรียกพวกเราให้เข้าเฝ้ามาหลายปีแล้ว ครานี้…เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา”
ฮว่ากั๋วกงได้แต่ทอดถอนใจด้วยความจนใจ “ประมุขอยากให้ขุนนางตาย ขุนนางไม่อาจไม่ตายได้ นับประสาอันใดกับการเรียกพวกเราไปเข้าเฝ้า มิได้มีแค่ตระกูลพวกเราเสียหน่อย เอาเถิด…เมื่อขึ้นไปถึงท้องพระโรงแล้วจำไว้ให้ดี พูดน้อยก็ผิดน้อย ไม่พูดก็ไม่ผิด หากมีเรื่องอันใด คนแก่อย่างข้ายังพอช่วยพวกเจ้าขวางไว้ได้”
“ท่านพ่อ เป็นเพราะลูกไร้ความสามารถ…” บุตรชายคนโตของตระกูลฮว่าอายุกว่าห้าสิบปีแล้ว เขาประคองฮว่ากั๋วกงเดินไปด้วยสีหน้ากระดากอาย หากมิใช่เพราะคนรุ่นหลังอย่างพวกเขาไร้ความสามารถ เหตุใดท่านพ่อที่อายุใกล้จะแปดสิบปีแล้ว ถึงยังต้องมาขึ้นท้องพระโรงด้วยตนเองเพื่อคอยปกป้องพวกเขาจากการเล่นงานที่อาจมาจากประมุขอีก
ฮว่ากั๋วกงโบกมือเอ่ยว่า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ปกป้องพวกเจ้าไปได้อีกกี่วัน หากยังทำได้ก็ทำไปก่อนก็แล้วกัน ข้าเดาว่า เรื่องในวันนี้คงเกี่ยวข้องกับตำหนักติ้งอ๋อง”
“เพราะเหตุใดหรือ” บุตรชายคนโตของตระกูลฮว่าตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า ทำได้เพียงกดเสียงลงถามเท่านั้น
ฮว่ากั๋วกงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ก็ได้ยินที่หลีอ๋องพูดแล้ว ติ้งอ๋องกลับมาได้สองวันแล้ว ติ้งอ๋องกลับมาได้ไม่เท่าไร ฝ่าบาทก็อาการดีขึ้น เจ้าไม่คิดว่ามันพอเหมาะพอเจาะไปหรือ”
“แต่ว่า…ด้วยนิสัยของติ้งอ๋องไม่มีทางช่วยฝ่าบาทแน่นะขอรับ” พวกเขาก็ถือว่าเห็นติ้งอ๋องโตมาตั้งแต่เล็กๆ ต่อให้ระหว่างทางด้วยเพราะเหตุผลหลายประกายทำให้ไม่ได้พบหน้ากันหลายปี แต่โดยพื้นนิสัยของเขาไม่มีทางเปลี่ยน ติ้งอ๋องในวัยเด็กก็มิใช่บัณฑิตขงจื้อที่มีจิตใจกว้างขวาง ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีทางเปลี่ยนนิสัยจนกลายเป็นใช้ความเมตตาตอบแทนความแค้นไปได้
ฮว่ากั๋วกงระบายลมหายใจออกมา เอ่ยว่า “ข้าเกรงว่า…ฝ่าบาทคงจะอยู่ได้อีกไม่นานจริงๆ เสียแล้ว”
“ท่านพ่อ ท่านจะบอกว่า ที่ฝ่าบาทเรียกพวกเราเข้าวังก็เพื่อ…” ฝากฝังบุตรชาย
ฮว่ากั๋วกงโบกมือพลางเอ่ยว่า “ไปกันเถิด ไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง”
วันนี้ในท้องพระโรงมีขุนนางยืนอยู่เต็มไปหมด มากกว่าการออกว่าราชการยามเช้าช่วงก่อนหน้านี้มากทีเดียว ขุนนางหนุ่มจำนวนมากพบว่า ขุนนางเก่าแก่หลายท่านที่ยืนอยู่ด้านหน้า พวกตนถึงขั้นไม่รู้จักทีเดียว แล้วยังมีท่านอ๋องที่เป็นเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิดอีก ในใจลอบคิดว่า เกรงว่าวันนี้จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
คนที่ขวัญอ่อนหน่อย ถึงขั้นหดตัวไปอยู่ด้านหลัง ไม่กล้าพูดกล้าจาอันใด ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้ากลับพากันพูดคุยกระซิบกระซาบแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
ซึ่งเพียงมองจากตำแหน่งที่ยืนก็สามารถบอกได้ว่า ขุนนางเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งอยู่ห้อมล้อมม่อจิ่งหลี อีกฝ่ายหนึ่งอยู่ห้อมล้อมเสนาบดีหลิ่ว สายตาที่มองไปยังอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความไม่ประสงค์ดี
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นกลุ่มคนที่สันโดษ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่จำนวนกลับน้อยนิดนัก ซึ่งล้วนเป็นขุนนางเก่าแก่ที่อายุกว่าหกสิบปีและชนชั้นสูงที่ไม่ได้มีอำนาจบารมีใดๆ ทั้งสิ้น
“ฝ่าบาทเสด็จ!” เสียงแหลมเล็กของขันทีดังก้องไปทั่วท้องพระโรง
ท้องพระโรงเงียบสงัดลงทันที ทุกคนต่างเหลือบขึ้นมองไปยังบัลลังก์มังกรที่ว่างอยู่กันอย่างอดไม่อยู่
ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ครู่ใหญ่ ถึงได้เห็นม่อจิ่งฉีอยู่ในชุดมังกร เดินเข้ามาโดยการประคองของขันที
ด้วยเพราะป่วยไปนาน ม่อจิ่งฉีจึงดูป่วยจนแทบเหลือแต่กระดูก ชุดมังกรตัวเดิม เมื่ออยู่บนตัวเขากลับดูเหมือนจะรับน้ำหนักไม่ไหว ดูแล้วช่างแปลกประหลาดเหมือนไม่ไปด้วยกัน ส่วนสีหน้าของเขายังคงซีดเหลือง แต่ริมฝีปากกลับดูซับสีเลือดจนคนต้องหันมอง ยิ่งดวงตาคู่นั้น ยิ่งดูเป็นประกายเฉียบขาดจนน่าตกใจ
“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท! ขอฝ่าบาทอายุยืนหมื่นหมื่นปี!”
ม่อจิ่งฉีกดสายตาลงมองบรรดาขุนนางที่อยู่ด้านล่าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่วูบไหวว่า “ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นเถิด ใครก็ได้ ถ่ายทอดราชโองการ”