“ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นเถิด ใครก็ได้ ถ่ายทอดราชโองการ”
ขุนนางที่อยู่กันเต็มท้องพระโรงต่างหันมาสบตากัน แค่เพียงออกว่าราชการยังไม่ทันพูดอันใด ก็จะประกาศราชโองการเสียแล้ว นี่เท่ากับว่าฝ่าบาทมิได้ต้องการที่จะหารือเรื่องอันใดกับพวกเขา แค่เพียงให้พวกเขามารับฟังบทสรุปเท่านั้น
หลังจากอึ้งกันไปเล็กน้อย ก็มีคนตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว “พวกกระหม่อมน้อบรับราชโองการ”
เมื่อมีคนเอ่ยรับแล้ว คนอื่นๆ ต่อให้มีความเห็นเป็นอื่นก็มิอาจพูดอันใดได้อีก ขุนนางทั่วทั้งท้องพระโรงจึงพากันคุกเข่าลงพร้อมเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงว่า “น้อมรับราชโองการ”
ขันทีใหญ่ข้างกายม่อจิ่งฉีที่จะออกมาประกาศราชโองการ มือสั่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว เดิมทีคิดจะเปล่งเสียงอ่านแต่กลับอึกๆ อักๆ ยังไม่ทันรอว่าเขาจะมีปฏิกิริยาเช่นไร ม่อจิ่งฉีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็ปรายสายตาเยียบเย็นไปหยุดที่เขาเสียแล้ว
ขันทีผู้นั้นใจสั่นเล็กน้อย ก่อนรีบเปล่งถ้อยคำ เสียงดังฟังชัดว่า “ด้วยโองการฟ้า ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า ข้าขึ้นครองราชย์ด้วยความสามารถและคุณธรรมเพียงน้อยนิดมาได้สิบแปดปีแล้ว ตั้งแต่ว่าราชการด้วยตนเองเป็นต้นมา น้อยครั้งที่จะให้ขุนนางมีโอกาสได้เสนอแนะ แต่ละวันได้ยินเพียงคำพูดประจบสอพลอหวานหูของเหล่าขุนนาง ประจบประแจงจนได้รับความโปรดปราน ใช้โอกาสหาอำนาจเข้าตัว ขุนนางละโมบได้ขึ้นเป็นใหญ่ ข้าเชื่อคำพูดเพ็ดทูล จนทำให้ตำหนักติ้งอ๋องต้องตกที่นั่งลำบาก ให้ร้ายขุนนางที่ภักดี…ตายไปคงไม่กล้าพูดอันใดต่อหน้าบรรพบุรุษ…”
ขันทีอ่านประกาศราชโองการอันยาวเหยียดต่อไปอย่างตะกุกตะกัก บรรดาขุนนางที่นิ่งฟังอยู่ด้านล่างเริ่มหน้าเปลี่ยนสี ราชโองการอันใดกัน นี่มันหนังสือกล่าวโทษตนเองชัดๆ แล้วยังมีอะไรนะ ใช้โอกาสหาอำนาจเข้าตัว ขุนนางละโมบได้ขึ้นเป็นใหญ่ หากใช้โอกาสหาอำนาจเข้าตัว ขุนนางละโมบได้ขึ้นเป็นใหญ่จริง เช่นนั้นพวกเขาที่อยู่กันเต็มท้องพระโรงนี่จะเป็นอันใดไปได้
ยิ่งเมื่อได้ยินว่าในเนื้อความตอนท้ายมีการเอ่ยถึงตำหนักติ้งอ๋อง ให้ร้ายขุนนางที่ภักดี ทุกคนก็ต่างพากันสูดหายใจ นี่ฝ่าบาทถึงขั้นยอมรับด้วยตนเองเลยหรือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องตำหนักติ้งอ๋องในครานั้น ทั้งยังได้ออกหนังสือกล่าวโทษตนเองออกมาอีก ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นที่รู้กันทั่วใต้หล้ามาทั้งแต่หลายปีก่อน ซึ่งชาวบ้านต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่การวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ แต่การที่ฮ่องเต้ออกมายอมรับด้วนตนเองเช่นนี้ ถือเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว
เป็นนานกว่าขันทีจะอ่านประกาศราชโองการจบ ทุกคนต่างพากันระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ก็รีบกลั้นใจเอาไว้โดยเร็ว ด้วยรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้คงจะไม่จบลงง่ายๆ
ม่อจิ่งฉีนั่งหลับตาพักผ่อนมาโดยตลอด จนเมื่อขันทีอ่านหนังสือกล่าวโทษตนเองจบและหันหน้าไปหาเขาว่าจะให้ทำอย่างไรต่อไป ถึงได้เงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ประกาศออกไปให้รู้โดยทั่วกันเถิด อีกอย่างถ่ายทอดราชโองการข้าออกไป ให้ฟื้นคืนบรรดาศักดิ์ชินอ๋องของติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาและบรรดาศักดิ์ของชายาติ้งอ๋อง เยี่ยหลี แต่งตั้งติ้งอ๋องซื่อจื่อ ม่ออวี้เฉิน ขึ้นเป็น ซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋อง บรรดาศักดิ์เซียงอ๋อง ยกเลิกการปิดตำหนักติ้งอ๋อง และคืนทรัพย์สมบัติทั้งหมดในเมืองหลวงกลับคืนให้ตำหนักติ้งอ๋อง”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยรับพระบัญชา” ขันทีที่อ่านประกาศราชโองการถือราชโองการด้วยมืออันสั่นเทา พร้อมรีบเอ่ยรับคำ
ม่อจิ่งฉีนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “ให้องค์ชายหกไปประกาศราชโองการ”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทูลลา”
เมื่อขันทีถือราชโองการเดินออกไปแล้ว ทุกคนที่อยู่ด้านล่างถึงได้รู้สึกตัวว่า ฮ่องเต้มิได้เพียงแสดงละครให้ขุนนางดูเท่านั้น แต่คิดจะประกาศหนังสือกล่าวโทษตนเองออกไปให้รับรู้โดยทั่วกันจริงๆ แม้แต่เรื่องที่เมื่อหลายปีก่อน ติ้งอ๋องประกาศตัดขาดกับต้าฉู่ ทั้งยังครอบครองพื้นที่ทางซีเป่ยด้วยตนเองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก็ไม่ถือสาหาความแล้ว เมื่อทำเช่นนี้ หากทุกคนยังไม่เข้าใจว่า ที่ฮ่องเต้ทรงทำเช่นนี้ด้วยเพราะคิดทำสิ่งใด เวลาที่ใช้มาในชีวิตนี้ก็คงเสียเปล่าแล้ว
“เสด็จพี่! เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” ม่อจิ่งหลีก้าวขึ้นหน้าออกมาพร้อมเอ่ยเสียงก้อง ในใจนึกเสียใจที่ตนคาดไม่ถึงว่าม่อจิ่งฉีจะกระทำการอันใดเช่นนี้ จึงมิได้หาทางป้องกันไว้ก่อน ยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าขุนนางสายบุ๋นและบู๊เต็มท้องพระโรง หากไม่ได้รับอนุญาตจากม่อจิ่งฉี ต่อให้เขามีอำนาจของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ไม่อาจให้คนไปตามราชโองการกลับมาได้
ม่อจิ่งฉีกดสายตาลงมองเขา เลิกคิ้วเล็กน้อย “หือ? เหตุใดถึงไม่ได้หรือ”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยว่า “หากหนังสือนี้เผยแพร่ออกไป จะเป็นการเสียเกียรติของเชื้อพระวงศ์ต้าฉู่อย่างหนัก เช่นนี้แล้ว จะให้คนทั้งใต้หล้ามองราชวงศ์ของเราอย่างไร จะให้มองฝ่าบาทเช่นไร ขอเสด็จพี่ได้โปรดใคร่ครวญด้วย”
นัยน์ตาม่อจิ่งฉีมีประกายแห่งความสาแก่ใจ “ไม่ต้องใคร่ครวญแล้ว ข้าได้ออกหนังสือกล่าวโทษตนเองมาแล้ว ความผิดนั้นย่อมเป็นของข้า ไม่เกี่ยวอันใดกับเชื้อพระวงศ์และรัชทายาทเลยแม้แต่น้อย อีกอย่าง…ข้าก็คงอยู่ได้อีกเพียงไม่กี่วัน เชื่อว่าจะทำให้ขุนนางและประชาชนในใต้หล้าทุกคน ได้เห็นถึงความรู้สึกผิดที่ข้ามีต่อการตัดสินใจของตนเอง”
“แต่ว่า…” ม่อจิ่งหลีไม่ยอมแพ้ ยังคิดอยากพูดอันใดอีก
ม่อจิ่งฉีโบกมือ กล่าวว่า “ไม่มีแต่แล้ว เรื่องก่อนหน้านี้เป็นความผิดของข้าเอง มาวันนี้ข้าหวังเพียงให้ติ้งอ๋องเห็นแก่ที่ข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน ช่วยคุ้มครองผู้สืบเชื้อสายของข้า ช่วยให้รากฐานต้าฉู่มั่นคงต่อไป”
เมื่อเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทุกคนจึงเข้าใจกันอย่างแจ่มแจ้ง ฝ่าบาทมิได้คิดจะยกบัลลังก์ให้กับหลีอ๋อง ถึงขั้นยอมดึงตำหนักติ้งอ๋องกลับมาในเวลาเช่นนี้ เกรงว่าโดยมากคงเพื่อต้องการเล่นงานหลีอ๋องเป็นแน่
ขุนนางใหญ่ที่เป็นพรรคพวกของหลีอ๋องย่อมรู้สึกผิดหวังกันอยู่บ้าง แต่เสนาบดีหลิ่วก็มิได้รู้สึกยินดีนัก เสนาบดีหลิ่วเป็นขุนนางรับใช้ราชสำนักมาหลายสิบปี เป็นขุนนางเก่าแก่ถึงสองรัชสมัย ความเฉียบคมในบางเรื่องจึงย่อมมีมากกว่าคนโดยมาก ที่เมื่อครู่ฝ่าบาทตรัสถึงคือผู้สืบสายเลือด แต่มิใช่รัชทายาท ฟังเผินๆ อาจดูเหมือนไม่ต่างอันใดกัน แต่หากได้ลองพิจารณาโดยละเอียดแล้ว ถือว่าต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว
รัชทายาทไม่จำเป็นต้องเป็นทายาทสืบสกุล แต่ทายาทสืบสกุลต่อให้มิได้เป็นรัชทายาท ก็สามารถขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้เช่นกัน
คิดไปถึงข่าวที่เมื่อวานหลิ่วกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วถูกปฏิเสธอยู่ที่หน้าประตู เสนาบดีหลิ่วก็อดหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ต่างกันออกไป คิดอยากพูดอันใดแต่ก็ยั้งไว้แล้ว มุมปากม่อจิ่งฉีก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “เอาล่ะ เราจะยังไม่หารือเรื่องนี้กันก่อน ข้าไม่ได้ออกว่าราชการมาหลายวันแล้ว รายงานเรื่องสถานการณ์การรบทางเป่ยจิ้งให้ข้าฟังทีก็แล้วกัน”
ถึงแม้ม่อจิ่งฉีจะล้มป่วยอยู่เป็นนาน แต่มาวันนี้เมื่อสามารถลุกขึ้นมาได้ ก็ยังพอมีบารมีหลงเหลืออยู่บ้าง ฝ่าบาทให้พวกเขารายงาน พวกเขามิอาจไม่รายงานได้ ดังนั้น เมื่อเริ่มเอ่ยขึ้นมา การออกว่าราชการยามเช้าในวันนี้จึงกินเวลาไปกว่าสองชั่วยาม กว่าขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่ยืนกันจนขาแข็ง จะได้ก้าวออกจากท้องพระโรง ราชโองการก็ได้ออกจากวังไปนานแล้ว
พอเสร็จจากว่าราชการ ม่อจิ่งหลีก็เดินสะบัดแขนเสื้อก้าวออกไปจากท้องพระโรงด้วยสีหน้าบึ้งตึง เสนาบดีหลิ่วที่เดินตามเขาออกมา สีหน้าก็มิได้ดูดีไปกว่ากัน ตัวเขาเป็นคนที่มีอายุอานามมากพอควรแล้ว เมื่อต้องยืนนานๆ ติดต่อกันเกือบสามชั่วยาม ขุนนางที่ม่อจิ่งฉีพระราชทานเก้าอี้ให้นั่งก็มีเพียงขุนนางเก่าแก่ที่ปลดเกษียณไปแล้วเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตัวเขาที่ยังเป็นขุนนางอยู่ ถึงแม้อายุอานามจะมากแล้ว แต่ก็ทำได้เพียงยืนต่อไปเช่นเดียวกันขุนนางคนอื่นๆ ดังนั้นยามเดินออกมาจึงโงนเงนเต็มที คนที่เดินอยู่ข้างๆ พากันรีบเข้ามาพยุงไว้ “ใต้เท้าเสนาบดี พวกเรากลับจวนกันเลยหรือไม่ขอรับ”
เสนาบดีหลิ่วดันคนที่เข้ามาพยุงตนออก เอ่ยเสียงขรึมว่า “ไปเยี่ยมพระสนมกุ้ยเฟยกับองค์ชายรัชทายาท”
เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่า เหตุใดฝ่าบาทถึงได้เปลี่ยนพระทัยรวดเร็วเพียงนี้ แล้วยังมีองค์ชายหก…องค์ชายหก…
ภายในโรงเตี๊ยม
ด้วยเพราะเป็นช่วงปลายฤดูหนาว ภายในเรือนหลังเล็กจึงยังมีความหนาวเหน็บหลงเหลืออยู่บ้าง ขุนนางที่ประกาศราชโองการกับองค์ชายหก ม่อตวนอวิ๋นที่อายุได้เก้าปียืนอยู่ตรงกลาง ขุนนางที่มาถ่ายทอดราชโองการยืนถือราชโองการสีเหลืองอร่ามอยู่ด้วยท่าทีกล้าๆ กลัวๆ ม่อตวนอวิ๋นที่ยืนตรงหน้าเขา ช่วงแรกยังมีความสำรวมอยู่บ้าง แต่เมื่อยืนรอมาได้กว่าหนึ่งเค่อแล้ว ติ้งอ๋องกลับยังคงนั่งพักสบายๆ อุ้มเด็กชายที่อยู่ในชุดสีดำหยอกเหย้ากันเองอยู่บนเก้าอี้ฟูกตัวใหญ่ ไม่แม้แต่จะหันมองพวกเขา ม่อตวนอวิ๋นที่เติบโตมาในวังตั้งแต่เล็กๆ ทั้งยังเป็นที่โปรดปรานของม่อจิ่งฉี จนเริ่มไม่รู้ว่าอันใดควรไม่ควร จึงเริ่มจะอดรนทนไม่ไหว
“นี่! เสด็จพ่อให้ข้ามาถ่ายทอดราชโองการ เจ้ากล้าไม่รับราชโองการเชียวหรือ!” ม่อตวนอวิ๋นเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยออกไปเช่นนี้ ขันทีที่ยืนอยู่ด้านหลัง ก็ถึงกับขาอ่อน ล้มพรวดลงไปกองกับพื้นทันที โขกศีรษะคำนับม่อซิวเหยาติดๆ กัน “ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย!”
ม่อตวนอวิ๋นหันกลับไปมองขันทีผู้นั้นทีหนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงหึออกมาอย่างดูแคลน ขี้ขลาดเพียงนี้เชียว นี่ขนาดเป็นขันทีคนสนิทที่ได้เรื่องที่สุดของเสด็จพ่อแล้วนะ
ม่อตวนอวิ๋นที่ถูกคนตั้งใจเลี้ยงดูมาอย่างตามใจจนไม่รู้อันใดควรไม่ควร ยังไม่รู้วา ต่อให้เป็นเสด็จแม่ของตนมาอยู่ที่นี่ ก็เกรงว่าคงจะตกใจจนขาอ่อนลงไปโขกศีรษะคำนับกับพื้นแบบนี้เช่นกัน
เมื่อเห็นเขามีปฏิกิริยาเช่นนี้ กลับทำให้ม่อซิวเหยาเริ่มหันมาสนใจเขา เงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเขาเรียบๆ ว่า “นี่เป็นคนที่ม่อจิ่งฉีเลือกหรอกหรือ”
ขันทีที่มาถ่ายทอดราชโองการไม่กล้าตอบคำถาม องค์ชายหกผู้นี้ใช่คนที่ฝ่าบาททรงเลือกที่ใดกัน นี่เป็นการเลือกที่ไม่มีให้เลือกแล้วต่างหาก แค่เพียงองค์ชายหกเป็นองค์ชายที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานมาตั้งแต่เล็กๆ มารดาผู้ให้กำเนิดมีฐานะต่ำต้อย ไม่สามารถพูดอันใดได้ จึงถูกคนในวังอมรมสั่งสอนมาจนอายุได้เก้าปีแล้ว แต่ยังรู้ประสาสู้เด็กอายุสี่ห้าขวบไม่ได้ด้วยซ้ำ
ม่อตวนอวิ๋นเอ่ยอย่างถือดีว่า “ถูกต้อง ข้าคือองค์ชายหก ในเมื่อเจ้ารู้แล้วยังไม่เข้ามาทำความเคารพอีกหรือ”
“พรืด…” ม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักม่อซิวเหยา เบิกตาโพลงมององค์ชายหกที่ประหนึ่งดวงตาขึ้นไปอยู่บนศีรษะด้วยความประหลาดใจ เขาไม่นึกกลัวเสด็จพ่อเลยจริงๆ หรือ
ม่อซิวเหยาอมยิ้มตบศีรษะน้อยๆ ของม่อตัวน้อยเบาๆ “เจ้าหัวเราะอันใด”
ม่อตัวน้อยกะพริบตาปริบๆ “เสด็จพ่อจะเข้าไปทำความเคารพองค์ชายหกหรือไม่”
“เสด็จพ่อของเจ้าไม่ทำความเคารพแม้แต่กับฮ่องเต้ จะทำความเคารพองค์ชายหกไปไยเล่า” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ม่อตัวน้อยหรี่ตาลงด้วยความสบายใจ ทิ้งตัวแผ่อยู่บนตักของม่อซิวเหยา “เช่นนั้นก็ดี ข้าเองก็ไม่อยากไปคารวะองค์ชายเช่นกัน”
หากแม้แต่เสด็จพ่อของเขายังต้องคารวะองค์ชายแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาก็จะต้องไปคารวะองค์ชายท่าทางเซ่อๆ ซ่าๆ ผู้นี้ด้วยหรือ ช่างเสียเกียรติเหลือเกินจริงๆ
ม่อซิวเหยาก้มลงไปหยิกแก้มอวบๆ ของเขา “ไม่อยากคารวะนั้นง่ายจะตาย ขอเพียงเจ้ามีความสามารถให้ผู้อื่นมาคารวะเจ้า เจ้าย่อมไม่ต้องไปคารวะผู้อื่นแล้ว”
ม่อตัวน้อยพ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความดูแคลน “ข้า นายน้อยย่อมมีความสามารถอยู่แล้ว”
“นายน้อย?” ม่อซิวเหยายิ้มโหด มือหยิกหนักๆ เข้าที่ก้นน้อยๆ ของม่อตัวน้อยเต็มแรงในมุมที่เยี่ยหลีไม่ทันเห็น
“อ๊าๆ…ใจร้าย! ท่านแม่ เสด็จพ่อรังแกข้…” ม่อตัวน้อยถูกหยิกจนดิ้นขลุกขลักอยู่กับอกของม่อซิวเหยา