“ถ้าเช่นนั้น…เมื่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว ฮองเฮาจะวางตัวเช่นไร” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
ฮว่ากั๋วกงขมวดคิ้ว ฮองเฮาเป็นภรรยาเอกของม่อจิ่งฉี ไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดขึ้นครองราชย์ ก็ล้วนต้องยกย่องนางให้เป็นฮองไทเฮา นี่เป็นเรื่องปกติ แต่ในขณะเดียวกัน ฮว่ากั๋วกงก็เข้าใจดี ถึงแม้มารดาผู้ให้กำเนิดองค์ชายสิบ จะเป็นสตรีอ่อนแอที่ใช้การไม่ได้ และไม่ต้องกลัวว่าฮองเฮาจะคุมนางไม่อยู่ แต่สตรีที่อยู่ในวังหลังมีขึ้นมีลงได้ง่ายที่สุด อีกอย่าง หากต่อไปองค์ชายสิบได้ออกว่าราชการด้วยตนเองอย่างราบรื่น เช่นนั้นตระกูลฮว่าที่นิ่งเฉยมาตลอดก็ไม่มีทางได้ดีไปได้ ถึงยามนั้นฮองเฮาคงใช้ชีวิตต่อไปได้ไม่ง่ายนัก แต่หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับองค์ชายสิบ ด้วยฐานะของฮองเฮาที่เป็นมารดาเอก ก็คงมีชื่อเสียงที่ไม่ดีนักเช่นกัน
ฮว่ากั๋วกงหันมองฮองเฮาด้วยความลังเล ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขารู้สึกเป็นห่วงและรู้สึกผิดกับบุตรสาวคนนี้มาตลอด นางต้องเข้าไปเป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์ก็เพราะตระกูลฮว่า แต่ในขณะเดียวกัน ด้วยเพราะนางเป็นคนตระกูลฮว่า ทำให้ยามที่นางอยู่ในวัง ก็รักษาไว้ได้เพียงเกียรติยศที่ฉาบหน้าอยู่เท่านั้น และไม่มีวันได้ใจของสามี หรือแม้กระทั่งบุตรชายสักคนก็ยังไม่อาจมีได้ คนตระกูลฮว่ารู้มาตลอดว่า มิใช่เพราะฮองเฮามีบุตรชายไม่ได้ แต่เป็นเพราะ…ม่อจิ่งฉีไม่ยินยอมให้ฮองเฮามีบุตรชาย
“ท่านพ่อไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ลูกมีเกียรติยศที่หาที่สุดไม่ได้ ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องสงสาร” เมื่อเห็นแววรู้สึกผิดในดวงตาของชายชรา ฮองเฮาจึงเอ่ยพร้อมส่งยิ้มจางๆ ให้เขา
นางผินหน้าไปมองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างกายม่อซิวเหยา ยิ้มพร้อมเอ่ยกับนางว่า “ข้ารู้ว่าพระชายากำลังคิดเผื่อข้า เพียงแต่เรื่องเหล่านี้…ชะตาก็เป็นเช่นนี้ เอาเข้าจริงคงมิอาจฝืนได้”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ฮองเฮาไม่คิดอยากพบหน้าฉางเล่ออีกแล้วหรือ”
“ฉางเล่อ?” ฮว่ากั๋วกงเบิกตาโพลงขึ้น “ฉางเล่ออยู่ที่ซีเป่ย?” ถึงแม้ยามนั้นจวนฮว่ากั๋วกงจะส่งคนออกไปคุ้มครองหลานสาว แต่เพื่อความปลอดภัย หลังจากจบเรื่องแล้วคนเหล่านั้นก็ไม่ได้กลับมาที่จวนฮว่ากั๋วกงอีก ดังนั้น ฮว่ากั๋วกงจึงเพียงคาดเดาเอาว่า ที่ฉางเล่อหายตัวไป เป็นเพราะถูกคนที่เขาส่งไปช่วยเหลือเอาไว้ได้ และจากนั้นก็ได้ไปหาที่หลบซ่อนตัวไว้ คิดไม่ถึงว่านางจะอยู่ที่ซีเป่ย
เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ฉางเล่ออย่างไรก็เป็นสตรี ไปอยู่ข้างนอกตัวคนเดียว จะให้วางใจได้อย่างไร”
ฮว่ากั๋วกงหันมองฮองเฮา ก่อนจะหันไปมองเฟิ่งจือเหยา ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลี แล้วคิ้วสีขาวราวหิมะก็ขมวดเข้าหากันแน่นอีกครั้ง
ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด จั๋วจิ้งที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายา มีคนจากจวนฮว่ากั๋วกงมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเรียกพบกั๋วกงผู้เฒ่าพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว สีหน้าดูไม่พอใจ “ความหยิ่งยะโสของม่อจิ่งหลีนับวันดูจะยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ นะ”
ฮว่ากั๋วกงกลับไม่รู้สึกโกรธ ลุกขึ้นเอ่ยว่า “เอาเถิด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการที่อดีตฮ่องเต้แต่งตั้งขึ้นด้วยตนเอง เรียกข้าไปพบก็ไม่ใช่เรื่องไม่เหมาะสม รบกวนท่านอ๋องกับพระชายาแล้ว ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกัน” พูดจบ ก็จะเดินออกไปทันที
ฮองเฮาจึงลุกขึ้น เดิมตามฮว่ากั๋วกงออกไปด้านนอก
เฟิ่งจือเหยาเห็นเช่นนั้นก็คิดจะลุกขึ้นบ้าง แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่พุ่งเข้ามากดตัวเขาไว้ จนเขาไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้ ทำได้เพียงมองฮองเฮาลุกเดินจากไปเท่านั้น
ฮว่ากั๋วกงที่เดินไปถึงหน้าประตู จู่ๆ ก็หันหลับมาอีกครั้ง เมื่อเห็นฮองเฮาก็เอ่ยว่า “เจ้าอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องก่อนสักพักหนึ่งก็แล้วกัน ยามนี้ยังเตรียมการไม่พร้อมคงไม่อาจส่งเจ้ากลับวังได้”
“ท่านพ่อ…” ฮองเฮาขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
แต่ฮว่ากั๋วกงไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธ เอ่ยตัดบทว่า “เอาตามนี้ก็แล้วกัน ไม่ต้องส่งข้าแล้ว”
“ท่านพ่อ ข้า…” เมื่อเห็นฮว่ากั๋วกงเดินพ้นประตูไป ฮองเฮาก็คิดอยากจะเดินตามออกไปด้วย แต่กลับได้ยินเสียงล้มลงจากทางด้านหลัง เป็นเฟิ่งจือเหยาที่กระอักเลือดออกมา
“อาเหยา!” ฮองเฮาตกใจ
เฟิ่งจือเหยาฉีกยิ้มส่งให้นางอย่างยากลำบาก รอยเลือดที่มุมปากไหลออกมาไม่หยุด ชุดผ้าไหมที่เดิมเป็นสีแดง ก็เริ่มมีรอยหยดเลือดกระเด็นปรากฏให้เห็น
ฮองเฮารีบเขาไปพยุงเขาไว้ เหลือบมองไปทางม่อซิวเหยา “เกิดอันใดขึ้น เหตุใดถึงได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้”
ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งเรื่องไม่เกี่ยวกับตน เพียงจิบชาของตนต่อไปเงียบๆ “เมื่อคืนข้าไม่ได้ทำอันใดรุนแรง คงเป็นเพราะเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเองกระมัง”
เมื่อคืนฝ่ามือของม่อซิวเหยาไม่ได้รุนแรงนักจริงๆ ดังนั้นเมื่อครู่เขาถึงได้ลอบส่งพลังออกไปอีกระลอกหนึ่ง ก็แค่เพียงทำให้เฟิ่งจือเหยากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ไม่ถึงขั้นร้ายแรงอันใด
“เจ้า…” ฮองเฮาขมวดคิ้ว ถลึงตาใส่ม่อซิวเหยาด้วยความโกรธ
เยี่ยหลีรีบเอ่ยว่า “ฮองเฮาโปรดช่วยพยุงเฟิ่งซานกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถิด เดี๋ยวข้าจะให้คนไปเชิญท่านหมอมาดูอาการ”
เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยาที่กระอักเลือดออกมา สีหน้ายิ่งดูขาวซีดหนักเข้าไปใหญ่ ร่างกายก็ดูโงนเงน ฮองเฮาจึงไม่ทันได้สนใจเรื่องอื่น จำต้องพยุงเฟิ่งจือเหยาเดินออกไปด้วยตนเอง จนลืมที่จะร้องเรียกให้คนเข้ามาช่วยไปเสียสนิท
เมื่อเห็นฮองเฮาพยุงเฟิ่งจือเหยาออกไปอย่างทุลักทุเลแล้ว เยี่ยหลีก็หันไปเอ่ยถามสามีที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความไม่เข้าใจว่า “สองคนนี้…สรุปแล้วได้หรือไม่ได้กันแน่เนี้ย”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ฮว่ากั๋วกงข้าก็ไล่เขาไปแทนแล้ว ตัวคนข้าก็เก็บไว้ให้แล้ว หากเฟิ่งซานยังไม่มีวิธีอีก ก็ให้เขาไปตายเองก็แล้วกัน ข้าหาใช่บิดาเขาที่ต้องคอยคิดแทนเขาทุกเรื่องไม่”
เยี่ยหลีหยิกเขาให้ทีหนึ่งอย่างไม่เห็นขันด้วย ถอนใจก่อนเอ่ยว่า “สองคนนี้…” นางได้แต่ส่ายหน้า สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้ว่าควรพูดอันใดดี
อันที่จริงนางพอเข้าใจความคิดของฮองเฮาอยู่บ้าง นอกจากภาระหน้าที่ของการเป็นฮองเฮาแล้ว สตรีในยุคนี้อย่างไรก็ถูกผูกไว้กับความคิดที่ว่าจะไม่มีสามีคนที่สอง บางทีการให้นางละทิ้งตำแหน่งฮองเฮาอาจไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากจะให้นางยอมรับเฟิ่งจือเหยา เกรงว่าคงจะยากเสียยิ่งกว่ายาก
ม่อซิวเหยาอมยิ้ม ดึงนางเข้ามากอด เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “วางใจเถิด อย่างน้อยครานี้เฟิ่งจือเหยาก็น่าจะเกลี้ยกล่อมให้นางไปอยู่ที่ซีเป่ยได้ เพราะถึงอย่างไรฉางเล่อก็ยังอยู่ที่ซีเป่ย”
เมื่อใดก็ตามที่ปลดภาระหน้าที่ของความเป็นฮองเฮาลง ฉางเล่อก็ต้องเป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับฮองเฮาอย่างแน่นอน ขอเพียงฮองเฮายังอยากที่จะพบหน้าบุตรสาว ก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะไม่ยอมจากไป ส่วนที่ว่าจะทำอย่างไรให้นางยอมรับเฟิ่งซาน เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว เขาเป็นท่านอ๋อง มิใช่เฒ่าจันทราเสียหน่อย
เยี่ยหลีคิดตาม ก็เห็นว่าที่ม่อซิวเหยาพูดมีเหตุผล อีกอย่างถึงแม้พวกเขาจะคิดเผื่อฮองเฮา แต่ก็ไม่ควรเข้าไปแทรงแซงนางในเรื่องของความรู้สึก จะยอมรับผู้ใดไม่ยอมรับผู้ใด ก็เป็นสิทธิของฮองเฮา ไม่อาจบอกว่าเพราะเฟิ่งจือเหยาทุ่มเทให้กับนางมากที่สุด ฮองเฮาจึงต้องยอมรับเฟิ่งจือเหยาไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม อีกอย่างสถานการณ์ในยามนี้ก็ดีกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้มากแล้ว อย่างน้อยฮว่ากั๋วกงก็มิได้คิดจะพาตัวฮองเฮากลับเข้าวังไป ขอเพียงฮว่ากั๋วกงไม่คัดค้าน แรงต้านที่จะพาฮองเฮาออกไปจากเมืองหลวงก็น้อยลงไปมากแล้ว
“เมื่อครู่ ท่านหนักมือเกินไปหรือไม่” เยี่ยหลีคิดถึงเมื่อครู่ที่เฟิ่งจือเหยากระอักเลือดออกมา นั่นเป็นการกระอักเลือดออกมาจริงๆ มิใช่การเล่นละครเพื่อหลอกฮองเฮาเท่านั้น
ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “หลายวันนี้เฟิ่งซานหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องนี้ เมื่อวานแม้จะบาดเจ็บแต่ก็ยังฝืนอดทนไว้ ให้เขากระอักเอาเลือดที่ค้างอยู่ออกมาถือเป็นเรื่องดี ไม่ต้องสนใจหรอก”
อย่างนั้นหรือ เยี่ยหลีนึกลังเลเล็กน้อย มิใช่ว่าเพราะเฟิ่งจือเหยาก่อเรื่องไว้ใหญ่โต ม่อซิวเหยาจึงฉวยโอกาสเอาคืนหรอกหรือ
ในเรือนที่อยู่ลึกเข้าไปในตำหนักติ้งอ๋อง ที่มีต้นไม้รกครึ้มปกคลุมอยู่ ฮองเฮาเปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากชุดสีเหลืองอร่ามหรูหราที่สะดุดตาคน มาอยู่ในชุดสีขาวธรรมดาๆ ที่ไม่สะดุดตา ซึ่งมองดูแล้วมีความสูงศักดิ์ลดลง แต่ก็ดูอ่อนหวานมากขึ้น และยิ่งขับให้นางดูอ่อนเยาว์ลงอีกหลายปี
เมื่อส่งท่านหมอที่มาตรวจดูอาการให้เฟิ่งจือเหยาไปแล้ว ในมือฮองเฮาถือใบยาที่ท่านหมอสั่งไว้ให้พลางขมวดคิ้วเรียวแน่น คิดถึงสิ่งที่ท่านหมอได้บอกไว้ว่า เฟิ่งจือเหยาฝืนเก็บเลือดให้คั่งอยู่ข้างในอยู่เป็นนาน เกรงว่าจะทำลายชีพจรอายุยืนของเขา นางหันกลับไปมองร่างของบุรุษที่นอนหน้าซีดเซียวและมีแววหม่นหมองอยู่บนเตียง จู่ๆ ฮองเฮาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที จนในที่สุดก็ถอนใจออกมาด้วยความเศร้าใจ หมุนตัวออกไปหมายจะไปหาคนให้ไปช่วยจับยาและต้มยาให้
“อย่าไป…” ชายเสื้อของนางมีคนยื่นมือมาจับไว้ น้ำเสียงของเฟิ่งจือเหยาเต็มไปด้วยความอ่อนล้า สายตาที่มองมายังฮองเฮาเต็มไปด้วยความคาดหวังและระมัดระวัง
ฮองเฮาฝืนขืนตัวไว้ด้วยความจนใจ แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้ เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ก่อนเอ่ยกับเขาว่า “อาเหยา พักผ่อนเสียเถิด ข้าไม่ไปไหนหรอก ไว้รอเจ้าหลับแล้วข้าค่อยออกไปหาคนมาต้มยาให้”
เฟิ่งจือเหยาไม่พอใจ “ข้าหลับแล้วท่านก็ห้ามไปไหน”
ฮองเฮามองเขาด้วยความลำบากใจ นางจำต้องไปหาคนมาต้มยาให้เขา ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเยี่ยหลีตั้งใจหรือยามนี้คนในตำหนักติ้งอ๋องมีน้อยเกินไปจริงๆ ในเรือนของเฟิ่งจือเหยาจึงไม่มีคนอยู่คอยรับใช้เลยแม้แต่คนเดียว คิดจะทำสิ่งใดก็ต้องให้ฮองเฮามาลงมือทำเอง หรือไม่ก็ต้องเดินออกไปหาคนเอาที่นอกเรือน
เฟิ่งจือเหยาจ้องฮองเฮาด้วยความดื้อรั้น ทำประหนึ่งว่าหากนางไม่รับปาก เขาก็จะไม่หลับตาลงกระนั้น
เมื่อเห็นฮองเฮาขมวดคิ้วด้วยความเป็นห่วง เฟิ่งจือเหยาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าไม่เป็นไร…บาดเจ็บไม่หนักนัก ไม่ต้องกินยาเดี๋ยวก็หาย”
อันที่จริงเขาไม่ได้ถือว่าบาดเจ็บหนัก หลังจากกระอักเลือดนั้นออกมาแล้ว ความอึดอัดที่อยู่บริเวณหน้าออกก็เบาลงไปมากทีเดียว เพียงแต่เขายังรู้สึกปวดอยู่ไม่น้อยจริงๆ เฟิ่งจือเหยาไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ตนถูกม่อซิวเหยาลอบผูกลูกไม้ร้ายๆ เอาไว้เสียแล้ว แต่เมื่อได้มาใช้เวลาใกล้ชิดกันอย่างอบอุ่นเช่นนี้ ต่อให้ม่อซิวเหยาทำร้ายเขาจนบาดเจ็บหนักเข้าจริงๆ เขาก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ดี
“เหลวไหล จะไม่กินยาได้อย่างไร เจ้าคิดว่าตนเองยังเป็นเด็กอยู่หรือ” ฮองเฮาเอ่ยต่อว่าขึ้นเบาๆ
เฟิ่งจือเหยาระบายยิ้ม คิดถึงยามที่ตนยังเด็ก มักถูกม่อซิวเหยาต่อยตีจนมีบาดแผลเต็มตัวไปหมดแต่อย่างไรก็ไม่ยอมทายาท สตรีตรงหน้าก็เคยต่อว่าเขาเช่นนี้
“ไว้อีกเดี๋ยวค่อยไป ห้ามอาศัยช่วงที่ข้าหลับแอบหนีไปเชียว”
“ได้ เจ้าพักผ่อนเถิด” ฮองเฮาเอ่ยขึ้นเบาๆ ตรงหน้านางประหนึ่งมีภาพของเด็กน้อยเมื่อสิบกว่าปีก่อน ที่อายุยังไม่เต็มสิบขวบดี แต่กับมีความหล่อเหลาและดื้อรั้นอย่างน่าตกใจปรากฏขึ้น สีหน้าของฮองเฮาก็ดูจะอ่อนโยนขึ้นมาก
เมื่อได้ยินนางรับปากแล้ว เฟิ่งจือเหยาถึงได้ยอมหลับตาลงด้วยความพอใจ