อยู่ดีๆ ฮองเฮาก็มาหายตัวไป แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนักอย่างแน่นอน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าม่อจิ่งหลีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ถึงได้ปิดข่าวนี้ไว้เพียงในขอบเขตหนึ่ง แต่นั่นก็มิใช่อุปสรรคที่จะทำให้คนที่รู้ข่าว ลอบวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
ดังนั้นเมื่อฮว่ากั๋วกงได้รับแจ้งและรีบเข้าไปในวัง ระหว่างทางที่เดินเจอคนในวังที่รู้เรื่อง ต่างก็อดส่งสายตาเห็นใจมาให้ท่านแม่ทัพเฒ่าที่กรำศึกมาตลอดชีวิตไม่ได้
ก่อนหน้านี้ที่อดีตท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ ม่อหลิวฟางยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้กระทั่งยามที่ฮว่ากั๋วกงยังหนุ่มอยู่นั้น ตระกูลฮว่าเคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่เพียงใด ถึงแม้จะมีตำหนักติ้งอ๋องอยู่จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นตระกูลอันดับหนึ่งของต้าฉู่ แต่ก็ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง
แต่ตั้งแต่ม่อหลิวฟางเสียชีวิตและฮว่ากั๋วกงแก่งชราลงนั้น คนที่มีตาต่างก็มองออกว่า ตระกูลฮว่าค่อยๆ ถูกฮ่องเต้กดเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะมีบุตรสาวเป็นถึงฮองเฮา แต่สถานการณ์ก็ดูจะยังไม่ดีขึ้น ส่วนในยามนี้ฮองเฮาที่เตรียมจะได้ขึ้นเป็นฮองไทเฮามาหายตัวไปเสียเฉยๆ จะไม่ให้คนอื่นรู้สึกเห็นใจเขาได้อย่างไร
ยามที่ฮว่ากั๋วกงไปถึงนั้น ม่อจิ่งหลีอยู่ที่ตำหนักข้างของตำหนักฮองเฮา หลังจากได้รับข่าวเรื่องที่ฮองเฮาหายตัวไป เขาก็รีบควบม้ามาที่วังเพื่อในแน่ใจว่าข่าวนั้นถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรเมื่อองค์ชายสิบขึ้นครองบัลลังก์ ฮองเฮากับตระกูลฮว่าก็ดูจะได้อำนาจหลักมาไว้ในมือได้ง่ายที่สุด ถึงยามนั้น สำหรับพวกเขาแล้วถือว่าไม่เป็นผลดีอย่างมาก หากฮองเฮาหายตัวไปจริง ตระกูลฮว่าย่อมไม่มีข้ออ้างที่จะเข้ามาข้องเกี่ยวกับราชสำนักอีกต่อไป ฮว่ากั๋วกงอายุมากแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือในตระกูลฮว่า ก็ไม่มีผู้ใดที่มีคุณสมบัติเพียงพอ
“ข้าน้อยคารวะท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ” ฮว่ากั๋วกงเอ่ยคารวะด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
ม่อจิ่งหลีรีบเข้าไปพยุงเขาให้ลุกขึ้น “ต้องให้กั๋วกงผู้เฒ่าเข้าวังมาด้วยตนเอง ข้ารู้สึกผิดยิ่งนัก ขอกั๋วกงผู้เฒ่าอย่าได้ถือโทษ”
ฮว่ากั๋วกงน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาทันที “ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว จู่ๆ ฮองเฮาก็มาหายตัวไป ข้าจะไม่มาได้อย่างไร ฮองเฮาช่างน่าสงสารยิ่งนัก…ที่นี่เป็นวังต้องห้ามมีการอารักขาอย่างแน่หนา เหตุใดฮองเฮาถึงได้…”
ม่อจิ่งหลีหน้าตึงไป เขารู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า ฮว่ากั๋วกงที่แก่ชราผู้นี้ มิใช่ตะเกียงที่ไร้น้ำมัน นี่แค่เอ่ยเพียงสองประโยค ก็ผลักความรับผิดชอบมาไว้ที่เขาเสียแล้ว ยามนี้เรื่องการอารักขาทั้งในเมืองหลวงและในวังหลวงล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของเขา หากฮว่ากั๋วกงต้องการจะบอกว่าเป็นเพราะเขารวบรวมการจัดการได้ไม่ดี ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ หรือแม้กระทั่งจะพูดให้คนรู้สึกสงสัยว่าเป็นเขาที่ลงมือกระทำมิดีมิร้ายกับฮองเฮาก็ยังได้
“กั๋วกงผู้เฒ่าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าเชื่อว่าเสด็จพี่สะใภ้เป็นคนดี สวรรค์จะต้องคุ้มครอง เรื่องร้ายจะต้องกลับกลายเป็นดีอย่าแน่นอน กั๋วกงผู้เฒ่าเชิญนั่งลงพูดคุยกันก่อนเถิด”
ถึงแม้จะนึกโกรธที่ฮองเฮากลับมาไม่ได้ในยามนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้า ม่อจิ่งหลีก็จำต้องเอ่ยวาจาหวานหูสักสองสามประโยค เพียงแต่การเอ่ยปลอบใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าหาได้มีประโยชน์อันใดต่อฮว่ากั๋งกงไม่ ฮว่ากั๋วกงยังคงเอ่ยถึงฮองเฮาด้วยความเสียใจ ชายชราที่ผมขาวราวหิมะ บนใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา มองดูแล้วก็ให้รู้สึกหดหู่จนแทบอดรนทนไม่ได้
ยามนี้คนที่อยู่ในตำหนักมีจำนวนไม่น้อยนัก มิได้มีเพียงสนมที่มียศสูงในวังเท่านั้น แม้แต่ท่านอ๋องเชื้อพระวงศ์ก็พากันมาอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเห็นฮว่ากั๋วกงมีสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ทำใจถามอันใดให้มากความไปไม่ได้
แต่ไทเฮากลับไม่คิดเช่นนั้น นางเอ่ยเสียงดังขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าฮว่ากั๋วกงเพิ่งออกมาจากตำหนักติ้งอ๋อง ไม่รู้ว่าในเวลาเช่นนี้ ฮว่ากั๋วกงไปที่ตำหนักติ้งอ๋องด้วยเหตุอันใดหรือ”
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น พากันหันมองไทเฮาด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนตั้งแต่ประกาศราชโองการฉบับสุดท้ายออกมา ไทเฮาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หากก่อนหน้านี้ไทเฮายังเป็นยอดสตรีที่มีความทะเยอทะยานและมีความล้ำลึกอยู่บ้างแล้ว ฮองเฮาในยามนี้กลับดูเหมือนสตรีธรรมดาทั่วไปที่ไม่รู้จักกาละเทศะอันใดเอาเสียเลย
หลิ่วกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับยกยิ้มมุมปากขึ้นน้อยๆ หากเทียบกับไทเฮาแล้ว เห็นได้ชัดว่านางดูจะดีกว่ามากนัก นอกจากความตกใจและร้อนรนในช่วงแรกแล้ว นางสามารถสงบลงได้อย่างรวดเร็ว นางรู้ว่าต้องทำเช่นไร ถึงจะสามารถทำให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
ฮว่ากั๋วกงหันมองไทเฮาด้วยสีหน้าเศร้าโศก เอ่ยเสียงเศร้าว่า “ไทเฮาโปรดอภัยด้วย ข้าน้อยได้ยินข่าวที่ฮองเฮาหายตัวไป ด้วยความร้อนใจจึงรีบไปยังตำหนักติ้งอ๋องเพื่อขอให้ติ้งอ๋องช่วยเหลือ เป็นข้าน้อยที่ไตร่ตรองไม่รอบคอบ ไทเฮาได้โปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าทุกคนต่างดูเศร้าสร้อยลง ท่านพูดถึงขนาดนี้แล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าถือโทษท่านอีกหรือ อีกอย่างก่อนที่ม่อจิ่งฉีจะสวรรคต ก็ได้ฟื้นคืนฐานะและบรรดาศักดิ์ทั้งหมดให้กับตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะไม่ยอมรับ แต่ด้วยพวกเขาที่มีฐานะเป็นขุนนางของต้าฉู่ จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็คงไม่ได้
ด้วยตำแหน่งและฐานะของตำหนักติ้งอ๋อง การที่ฮองเฮาหายตัวไปแล้วฮว่ากั๋วกงรีบไปขอความช่วยเหลือเขาโดยทันทีนั้น ไม่มีอันใดที่ไม่ถูกต้อง
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยกับฮว่ากั๋วกงด้วยสีหน้าเป็นมิตรอย่างน้อยนักจะได้เห็น “กั๋วกงผู้เฒ่าคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้สิ่งที่กั๋วกงผู้เฒ่ากระทำ ไม่มีอันใดผิดเลยสักนิด จะมีโทษได้อย่างไร แต่ไม่รู้ว่าติ้งอ๋องว่าอย่างไรบ้าง”
ทุกคนเมื่อเห็นท่าทางร้อนใจและเป็นกังวลของฮว่ากั่วกง ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยถามอันใดอีก มีเพียงม่อจิ่งหลีและเชื้อพระวงศ์อีกสองสามคนที่เอ่ยปลอบใจอีกสองสามประโยคเท่านั้น
ไทเฮาที่ถูกม่อจิ่งหลีหักหน้า ก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมา แต่ก็มิได้พูดอันใดอีก
ฮว่ากั๋วกงถอนใจก่อนเอ่ยว่า “เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทางด้านติ้งอ๋องนั่นก็เพิ่งได้รับข่าว และได้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว เชื่อว่าจะรู้ข่าวโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ”
ตลอดหลายปีมานี้ ฮองเฮาประพฤติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ในบรรดาเชื้อพระวงศ์ก็ถือว่าพอมีเกียรติอยู่บ้าง ฮว่ากั๋วกงเพียงเอ่ยขอบคุณ และมิได้เอ่ยอันใดอีก
“กั๋วกงผู้เฒ่า ได้โปรดหยุดก่อน” ที่หน้าประตูวัง ในขณะที่ฮว่ากั๋วกงกำลังจะออกจากวังเพื่อกลับจวนนั้น กลับถูกคนที่ตามมาทันทางด้านหลังเอ่ยรั้งไว้
เมื่อหันกลับไป ฮว่ากั๋วกงก็เอ่ยกับนางกำนัลที่ดูไม่คุ้นตาเรียบๆ ว่า “มีเรื่องอันใด”
นางกำนัลผู้นั้นดูท่าทางเพิ่งอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี เมื่อมาอยู่ต่อหน้าแม่ทัพอาวุโสอย่างฮว่ากั๋วกงที่กรำศึกมาชั่วชีวิต ก็ให้รู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
นางก้มหน้าลงและรีบเอ่ยออกมาว่า “พระสนมกุ้ยเฟยเชิญกั๋วกงผู้เฒ่าไปพูดคุยด้วยเจ้าค่ะ”
ฮว่ากั๋วกงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ตระกูลฮว่าของข้ากับพระสนมกุ้ยเฟยไม่เคยผูกสัมพันธ์กันมาก่อน คงไม่มีเรื่องอันใดให้พูดคุยกัน อีกอย่างยามนี้ก็มีแต่เรื่องมากมายนัก ข้าเข้าออกวังหลังโดยพลการ คงไม่สะดวกยิ่งนัก”
เมื่อนางกำนัลสาวผู้นั้นเห็นว่าเขากำลังจะไป ก็รีบเอ่ยว่า “กั๋วกงผู้เฒ่าอย่าเพิ่งไป พระสนมบอกไว้ว่า…เป็นเรื่องเกี่ยวกับฮองเฮา จะต้องขอเชิญฮว่ากั๋วกงไปให้ได้เจ้าค่ะ”
ฮว่ากั๋วกงสีหน้าครึ้มลงไป มองนางกำนัลสาวผู้นั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ ประสานมือเอ่ยว่า “เชิญแม่นางนำทางเถิด”
ถือได้ว่านางทำตามคำนั่งของพระสนมสำเร็จแล้ว นางกำนัลสาวจึงลอบเบาใจ รีบหมุนตัวเดินนำฮว่ากั๋วกงไปพบหลิ่วกุ้ยเฟยทันที
นางกำนัลสาวผู้นั้นไม่ได้นำฮว่ากั๋วกงไปยังตำหนักที่หลิ่วกุ้ยเฟยพักอยู่ แต่กลับพาไปยังตำหนักที่อยู่ในมุมลับไม่เป็นที่สะดุดตาตำหนักหนึ่งในวัง ตลอดทางมานี้ก็ไม่พบผู้ใดเลยแม้สักคน ฮว่ากั๋วกงจึงรู้ว่าหลิ่วกุ้ยเฟยนั้นแตกต่างจากฮองเฮาโดยสิ้นเชิง ถึงแม้จะเป็นหลิ่วกุ้ยเฟยในยามนี้ แต่ในวังนางก็ยังคงมีเส้นสายและอำนาจอยู่อย่างล้ำลึก เมื่อเป็นเช่นนี้…ฮว่ากั๋วกงรู้สึกหนักใจ หากหลิ่วกุ้ยเฟยรู้ความจริงเรื่องที่ฮองเฮาหายตัวไป…
“ข้าน้อยคารวะพระสนมกุ้ยเฟย”
หลิ่วกุ้ยเฟยนั่งอยู่ใต้ชายคาตำหนักที่ถูกทิ้งร้างมานาน มองดูแล้วนางยังคงสูงส่งประหนึ่งเซียนสาวจากบนสวรรค์
แต่ไหนแต่ไรมา ฮว่ากั๋วกงไม่ใคร่ชื่นชอบหลิ่วกุ้ยเฟยนัก แต่มิใช่เพราะนางถือเป็นอริทางใจกับบุตรสาวของตน แต่ด้วยเพราะตั้งแต่ยามที่หลิ่วกุ้ยเฟยยังเป็นสาวน้อยแรกแย้ม ก็ดูว่าในสายตาของนางไม่มีแม้แต่เศษธุลี ประหนึ่งทุกสรรพสิ่งล้วนไม่คู่ควรที่จะปรากฏต่อสายตานางกระนั้น เขาไม่รู้ว่าหลิ่วกุ้ยไปเอาความถือดีเช่นนี้มาจากที่ใด จึงคิดว่าตนเหมาะสมที่จะไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แต่ความถือดีเช่นนั้นของนาง กลับทำให้คนจำนวนมากรู้สึกไม่ชอบใจ ดังนั้นในตอนแรกที่หลิ่วกุ้ยเฟยมีใจให้ม่อซิวเหยา ฮว่ากั๋วกงก็สังเกตเห็นอยู่เช่นกัน แต่เขาไม่เคยเห็นดีเห็นงามด้วยมาก่อน ม่อซิวเหยาในวัยหนุ่มที่เดิมก็เป็นคนที่หยิ่งยะโสและถือดี จะชอบพอสตรีที่ถือดีเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้นางงดงามเพียงใดก็เถิด
“ฮว่ากั๋วกงไม่ต้องมากพิธี” หลิ่วกุ้ยเฟยหันหน้ามาเอ่ยเรียบๆ
ฮว่ากั๋วกงลุกยืนขึ้น และเอ่ยถามอย่างไม่เกรงใจว่า “ที่พระสนมเรียกให้ข้ามา ด้วยเพราะมีเรื่องอันใดหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเรียบๆ ค่อยๆ เอ่ยถามฮว่ากั๋วกงว่า “กั๋วกง ฮองเฮาสบายดีหรือไม่”
สายตาของฮว่ากั๋วกงเต็มไปด้วยความสงสัย เอ่ยเสียงขรึมว่า “ขออภัยที่ข้าไม่เข้าใจ พระสนมเอ่ยเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไร”
“หากไม่รู้จริงๆ เหตุใดฮว่ากั๋วกงถึงต้องยอมมาหาข้าด้วยเล่า” หลิ่วกุ้ยเฟยหรุบตาลงเอ่ยว่า “หากไม่มีข่าวที่แน่ชัด ข้าจะเชิญกั๋วกงมาพบไปไย จะว่าไปก็ช่างบังเอิญเหลือเกิน เมื่อคืนสาวใช้ในตำหนักข้า เดินผ่านอุทยาน แล้วเห็นว่ามีคนกำลังแบกอันใดสักอย่างออกไปจากวัง ของสิ่งนั้นแลบออกมาเล็กน้อย และดูเหมือนจะเป็นชุดผ้าไหมลายหงส์ที่มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นถึงจะใส่ได้ ที่ยิ่งบังเอญไปกว่านั้นคือ…คนผู้นั้นถึงแม้สาวใช้ข้าจะไม่รู้จัก แต่พอนางบรรยายให้ข้าฟังแล้ว ข้ากับรู้สึกคุ้นอยู่บ้าง”
ฮว่ากั๋วกงเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าไม่รู้ว่าพระสนมกำลังพูดเรื่องอันใด หากพระสนมต้องการพูดเพียงเท่านี้ ขออภัยด้วย ข้าขอตัวกลับก่อน” ฮว่ากั๋วกงประสานมือ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ในสายตาเย็นเยียบของหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นประกายคมกล้า ยิ้มเยาะก่อนเอ่ยว่า “ตอนนี้ฮองเฮาคงอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องกระมัง เมื่อคืนคนที่พาตัวฮองเฮาไปคือเฟิ่งซาน ฮว่ากั๋วกงไม่รู้สึกสนใจสักนิดเลยจริงๆ หรือ”
ฮว่ากั๋วกงหันกลับมา ยิ้มเยาะเอ่ยว่า “ในเมื่อพระสนมมีความมั่นใจเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่รายงานต่อหลีอ๋องกับไทเฮาเสียโดยตรงเล่า หากมีเวลาเป็นกังวลเรื่องตระกูลฮว่ากับฮองเฮา พระสนมกุ้ยเฟยสู้เอาเวลาไปเป็นกังวลเรื่องตัวเองจะดีกว่า ราชโองการสุดท้ายของอดีตฮ่องเต้…มิใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ง่ายๆ”
สีหน้าหลิ่วกุ้ยเฟยดูย่ำแย่ขึ้นมาทันที ฮว่ากั๋วกงกำลังเอ่ยเตือนนางว่า หากนางสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของฮองเฮา ตระกูลฮว่ามีวิธีที่จะทำให้เชื้อพระวงศ์ ทำตามรชโองการของม่อจิ่งฉีในทันที
อันที่จริงราชโองการของม่อจิ่งฉียืดเยื้อมาถึงตอนนี้ ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว เพียงแต่ยามนี้ม่อจิ่งฉียังไม่สามารถนำไปฝังได้ ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ยังไม่ขึ้นนั่งบัลลังก์ เมื่อมีตระกูลหลิ่วกับหลีอ๋องอยู่ จึงยังไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยเรื่องร่วมฝังขึ้นมา แต่ในเมื่อป่าวประกาศออกไปทั่วใต้หล้าแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว บรรดาบัณฑิตที่ไม่มีอันใดทำจะต้องยกเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างแน่นอน หากตระกูลฮว่าคอยปั่นให้เรื่องใหญ่ คงยิ่งจัดการได้ยากขึ้น
นางได้แต่มองฮว่ากั๋วกงหมุนตัวเดินจากไป ในมือหลิ่วกุ้ยเฟยที่เดิมที่ดอกเถาอยู่ดอกหนึ่ง กลับถูกบีบเสียจนแหลกคามือ จนน้ำจากดอกไม้สีแดงอ่อน ไหลลงมาเปราะมือเรียวราวหยกไปจดหมด