ถึงแม้อิทธิพลโดยมากของตำหนักติ้งอ๋องจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปนานแล้ว แต่ยามที่ม่อซิวเหยาต้องการหาตัวใครสักคนกลับง่ายดายยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรตำหนักติ้งอ๋องก็อยู่ในเมืองหลวงมามิใช่เพียงแปดปีสิบปี แต่เป็นเกือบสองร้อยปีเลยทีเดียว สายข่าวที่แทรกตัวอยู่ลึกๆ ย่อมมิใช่สิ่งที่คนอย่างถานจี้จือ ที่แม้แต่จะออกมาเดินถนนยามกลางวันแสกๆ ก็ยังไม่ได้จะสามารถเข้าใจได้ ดังนั้น ยามที่ถานจี้จือถูกคนของตำหนักติ้งอ๋องเชื้อเชิญมายังตำหนักติ้งอ๋องด้วยความเกรงใจ แต่ก็มิอาจปฏิเสธได้นั้น จึงยังดูมีสีหน้าตกะใจระคนประหลาดใจอย่างไม่อาจปกปิดไว้ได้
ภายในห้องโถงใหญ่ ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประมุข มองจ้องบุรุษวัยกลางคนที่อยู่กลางห้องด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง พลางเอ่ยเรียบๆ ว่า “คุณชายถาน…เจ้าว่าครานี้ข้าควรจะเรียกขานเจ้าว่าอย่างไรดี หรือว่า…เจ้ายังมีอันใดที่สามารถนำมาแลกชีวิตเจ้ากับข้าได้อีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถานจี้จือก็ไม่คิดที่จะอธิบายอันใดให้มากความ คนเช่นม่อซิวเหยา หากเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ล้วนไม่มีความหมายทั้งสิ้น แต่เขาก็ไม่อาจไม่พยายามทำอันใดสักนิดเพื่อชีวิตของตนเอง เพราะถึงอย่างไร เขาก็ยังมิได้เหนื่อยหน่ายกับชีวิต
เขาฝืนยิ้มด้วยความจนใจ ก่อนเอ่ยว่า “ตำหนักติ้งอ๋องช่างมีรากที่ฝังลึกยิ่งนัก เมื่อมาตกอยู่ในมือของท่านอ๋องแล้ว ข้าก็ไม่มีอันใดจะพูดอีก เพียงแค่…ไม่รู้ว่าข้าน้อยไปทำอันใดให้ท่านอ๋องโกรธเข้าหรือ”
ม่อซิวเหยามองสำรวจถานจี้จือด้วยความสนใจ เลิกคิ้วขึ้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “หรือคุณชายถานคิดว่าข้าตามตัวเจ้ามาเพื่อดื่มชาอย่างนั้นหรือ”
ถานจี้จือถอนใจ เขาย่อมรู้ดีว่าเหตุใดม่อซิวเหยาถึงได้ตามตัวเขามา แค่เพียงไม่คิดว่าเขาจะถูกหาตัวเจอได้รวดเร็วเพียงนี้เท่านั้น
ถานจี้จือถอนใจยาว เอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “เรื่องที่ท่านอ๋องพูดถึง ข้าก็ทำอันใดไม่ได้ ความคิด ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ข้าน้อยเสนอ แต่ยามนี้เรื่องเกี่ยวกับราชสำนักของต้าฉู่ ข้าน้อยทำอันใดไม่ได้จริงๆ ดังนั้น…คุณชายเฟิ่งซาน หวังว่าจะเห็นใจด้วย” พูดจบ ถานจี้จือยังได้หันไปประสานมือให้กับเฟิ่งจือเหยาที่ตั้งแต่ได้พบหน้าสีหน้าก็ยังดูไม่ดีมาตลอดเพื่อเป็นการขอโทษอีกด้วย
เฟิ่งจือเหยาเพียงหัวเราะเยาะออกมาทีหนึ่ง อย่างไม่สนใจ
ถานจี้จือก็มิได้สนใจนัก เพียงนั่งลงจิบชาด้วยท่าทีสงบ
ม่อซิวเหยาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ มองสำรวจถานจี้จือด้วยท่าทีสบายๆ
ถึงแม้ใบหน้าถานจี้จือจะดูสงบนิ่ง แต่ในใจกลับเต้นแรงนัก สายตาที่ม่อซิวเหยาใช้มองเขาถึงแม้จะดูราบเรียบ แต่แรงกดดันที่ส่งมาถึงเขากลับไม่ต่างกับมีมีดดาบๆ จริงๆ มาจ่ออยู่เลย เขารู้ว่า เมื่อเขาตกมาอยู่ในมือม่อซิวเหยา จะเป็นหรือตายล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของม่อซิวเหยาแล้ว
ครู่ใหญ่ เมื่อม่อซิวเหยามองจนพอใจแล้ว ถึงได้ค่อยๆ ดึงสายตากลับ มุมปากยกยิ้มเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน “คุณชายถานที่ท่านมาคุยเล่นกับข้าอยู่ที่นี่ ด้วยกำลังรอผู้ใดมาช่วยหรือ”
ถานจี้จืออึ้งไป รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งดูฝืดเฝื่อนยิ่งขึ้น “ในเมื่อข้าตกอยู่ในมือท่านอ๋องแล้ว ก็มิกล้าคิดเช่นนั้นได้”
เขามิได้มีความหวังกับคนเหล่านั้นที่คอยคุ้มกันเขามากนัก แต่ไหนแต่ไรมา ถานจี้จือชื่นชมตนเองมาตลอดว่าเป็นคนมีสายตาเฉียบแหลม เมื่อเทียบกับม่อซิวเหยาแล้ว ยามนี้คนในเมืองหลวงที่แก่งแย่งชิงดีกันอยู่นั้น ยังถึอว่าห่างชั้นอยู่มาก เมื่อมาตกอยู่ในมือม่อซิวเหยา เขาจึงถือว่าไม่เสียหาย เพราะถึงอย่างไร เขาก็เคยช่วยม่อจิ่งฉีวางแผนเล่นงานม่อซิวเหยามาไม่น้อย และถึงขั้นเคยเกือบปราบตำหนักติ้งอ๋องจนราบคาบลงได้ด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่ไม่ยินยอม ในใจเขามีปณิธานอันยิ่งใหญ่มาตลอดชีวิต แต่แค่เพียงพริบตา เขาก็อายุเกือบจะสี่สิบปีแล้ว แต่ยังไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักเรื่อง ยามนี้เมื่อตกมาอยู่ในมือของม่อซิวเหยาชะตาชีวิตของเขาก็คงไม่แน่นอนแล้ว…
สายตาไม่ยินยอมของถานจี้จือ ม่อซิวเหยาย่อมมองเห็นอย่างชัดเจน เขาอมยิ้มเอ่ยกับถานจี้จือว่า “คุณชายถานกำลังไม่ยินยอมที่ความพยายามตลอดหลายปีนี้ ล้วนทำไปโดยเสียเปล่าอย่างนั้นหรือ”
“เกรงว่าคงมิใช่เสียเปล่า แต่เป็นทำให้ผู้อื่นได้ประโยชน์เสียมากกว่ากระมัง”
ถานจี้จือหันมองเยี่ยหลีที่นั่งเงียบอยู่ข้างกายม่อซิวเหยามาตลอด แล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสียว่า “จะว่าไป ดูเหมือนตั้งแต่ท่านอ๋องแต่งงานกับพระชายา ตำหนักติ้งอ๋องก็เริ่มเปลี่ยนเป็นโชคดีขึ้นเรื่อยๆ ม่อจิ่งฉีพยายามมาตั้งหลายปี หากจะว่าเพื่อสร้างความลำบากให้กับตำหนักติ้งอ๋อง สู้กล่าวว่าทำให้ตำหนักติ้งอ๋องสามารถตัดขาดจากต้าฉู่ได้อย่างถูกต้องและเปิดเผยจะดีกว่า”
คิ้วคมของม่อซิวเหยาเลิกขึ้นเล็กน้อย ผินหน้าไปยิ้มน้อยๆ ให้เยี่ยหลี ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับถานจี้จือด้วยความเสียดายว่า “หากไม่มีเรื่องก่อนหน้านี้ คนเช่นคุณชายถาน ข้ายังหวังจริงๆ ว่าจะสามารถให้อยู่ในตำหนักติ้งอ๋องได้ อันที่จริงคุณชายถานไม่จำเป็นต้องหัวเสียไป ต่อให้แผนการเดิมของเจ้าสำเร็จ คนที่จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็ไม่ใช่เจ้าหรอก ด้วยเพราะ…เจ้าเดินทางผิดมาตั้งแต่ต้น ลองดูเหรินฉีหนิงสิ คุณชายถานยังไม่รู้ถึงความห่างระหว่างเจ้ากับเขาอีกหรือ”
ถานจี้จือหน้าเปลี่ยนสีทันที หากถามว่าในโลกนี้หอกข้างแคร่ของถานจี้จือคือผู้ใด เหรินฉีหนิงจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ตั้งแต่เหรินฉีหนิงออกมาแสดงตัวโดยอ้างตนว่าเป็นทายาทสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ก่อน และใช้ชื่อว่าหลินย่วนเป็นต้นมา ถานจี้จือก็รู้สึกไม่สบายอย่างยิ่งมาโดยตลอด หลินย่วนมีเพียงคนเดียว หากเหรินฉีหนิงเป็นทายาทของราชวงศ์ก่อนจริง เช่นนั้นถานจี้จือจะเป็นผู้ใด หากเขามิใช่ทายาทแห่งราชวงศ์ก่อน เช่นนั้นสิ่งที่เขาพยายามทำมากว่าครึ่งชีวิตจะทำไปเพื่อสิ่งใดกัน ถานจี้จือมิได้ไปตามหาเหรินฉีหนิง และมิได้ไปสอบถามความจากท่านหมอหลิน ด้วยเพราะลึกๆ ในใจเขารู้สึกว่า คำตอบที่ได้อาจมิใช่สิ่งที่ตนอยากได้ยิน
“เรื่องนี้คงไม่จำเป็นให้ท่านอ๋องต้องเป็นห่วง” ถานจี้จือเอ่ยด้วยสีหน้าย่ำแย่
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “ก็ไม่ได้เกี่ยวกับข้าจริงๆ ไม่ว่าเจ้าหรือเหรินฉีหนิง ข้าก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว”
“ท่านอ๋องอย่าได้มั่นใจในตนเองเกินไปนัก อย่าลืมเสียว่ายามนั้นตำหนักติ้งอ๋องล้มลงอย่างน่าสมเพชเพียงใด” โดยหลักเหตุผลแล้ว ถานจี้จือรู้ดีว่ายามนี้มิใช่เวลาที่จะมาต่อปากต่อคำกับม่อซิวเหยา แต่เมื่อได้เห็นแววเฉยชาและไม่ใส่ใจที่แสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจของม่อซิวเหยา ไฟโกรธในใจก็ทำให้เขาอดปากไว้ไม่อยู่ สิ่งที่น่าโมโหที่สุดมิใช่การที่เอาชนะศัตรูไม่ได้ แต่เป็นการที่ศัตรูไม่ได้เห็นตนอยู่ในสายตามาตั้งแต่แรก
“ดังนั้น คุณชายถานกับม่อจิ่งฉีถึงได้ทำเรื่องที่โง่เง่าไปเรื่องหนึ่ง หรือว่าพวกเจ้าคิดว่าในปีนั้นหากมิใช่เพราะตำหนักติ้งอ๋องเป็นขุนนางของต้าฉู่ ด้วยความสามารถเพียงน้อยนิดที่เอาไปอวดใครก็ไม่ได้ของม่อจิ่งฉี จะสามารถเล่นงานพี่ชายข้าได้อย่างนั้นหรือ”
ม่อซิวเหวิน ซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋องในยามนั้น ถึงแม้จะมีน้องชายที่มีชื่อเสียงขจรกระจายไปไกลตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ก็เป็นหนึ่งในคนที่ม่อซิวเหยานับถือมากที่สุด คนที่สามารถทำให้คนอย่างม่อซิวเหยานับถือได้ ย่อมมิใช่เพียงเพราะมีฐานะเป็นพี่ชายเขาอย่างแน่นอน
“ส่วนยามนี้…ใต้หล้า มีผู้ใดขวางข้าได้บ้าง”
ถานจี้จือพ่นลมหายใจออกทางจมูกเบาๆ ทีหนึ่ง แววตาเผยให้เห็นถึงความไม่เชื่อ เพียงแต่สายตานั้นกลับดูว่าฝืนและตั้งใจอยู่หลายส่วน
ม่อซิวเหยาก็มิได้เห็นเป็นสำคัญ โบกมือสั่งให้คนนำตัวเขาออกไป
ถานจี้จือยังมีประโยชน์อยู่บ้าง ไม่ต้องฆ่าตอนนี้ก็ยังได้ แต่อย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาหลุดรอดจากเงื้อมือเขาไปได้เป็นครั้งที่สอง
เฟิ่งจือเหยาจับตัวถานจี้จือที่ถูกสกัดวรยทุธไว้ออกไปอย่างป่าเถื่อน ภายในห้องโถงใหญ่จึงเหลือเพียงเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยานั่งเคียงคู่กัน
เยี่ยหลีค่อยๆ เปลี่ยนน้ำชาที่เย็นแล้ว ต้มชาร้อนๆ ใหม่อีกถ้วย นางอมยิ้มเอ่ยกับบุรุษผมขาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “ท่านอ๋องมีแผนอันใดแล้วหรือ คนเช่นถานจี้จือนั่น…”
ตัวถานจี้จือมิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก เมื่อตกมาอยู่ในมือของตำหนักติ้งอ๋องและถูกสกัดวรยุทธไว้แล้ว ขอเพียงยังอยู่ในบริเวณตำหนักติ้งอ๋อง ต่อให้ไม่จับเขาเข้าคุก ปล่อยให้เดินเล่นไปมา เขาก็ออกไปจากตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องคิดพยายามจะส่งข่าวออกไปข้างนอกเลย
เพียงแต่เยี่ยหลีคิดถึงท่านหมอหลินที่ยังอยู่ที่ซีเป่ย คราก่อนที่กลับไป นางไม่ได้เอ่ยถามเรื่องถานจี้จือกับท่านหมอหลิน หลังจากที่รู้จักกันมาหลายปี ทั้งยังมีบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตกับความผูกพันฉันศิษย์อาจารย์ นางก็นับถือชายชราผู้นั้นเสมือนหนึ่งญาติจริงๆ ไปแล้ว นางไม่อยากให้เขาต้องเสียใจจนเกินไป
“ก็แค่ตัวตลกกระโดดไม้คานเท่านั้น” ม่อซิวเหยาตอบอย่างคลุมเครือ “อาหลีวางใจเถิด ความสัมพันธ์ระหว่างถานจี้จือกับท่านหมอหลิน ข้าจะจัดการให้ดีเอง”
เยี่ยหลีพยักหน้า ขอเพียงเป็นเรื่องที่ม่อซิวเหยารับปาก ก็เชื่อถือได้มาตลอด เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว จึงผลักเรื่องนี้ออกไปจากหัว หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “อยู่ที่เมืองหลวงก็มิได้มีเรื่องอันใด พวกเรารีบกลับไปซีเป่ยกันเถิด” เกรงว่าหากยังรั้งรออยู่อีก กลับไปพี่ใหญ่คงได้นึกโกรธขึ้นมาจริงๆ
ม่อซิวเหยาพยักหน้า ยิ้มอย่างสุขใจ “ครานี้หากจัดการเรื่องตระกูลเฟิ่งจนเรียบร้อย ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ก็น่าจะจบแล้ว จากนั้นพวกเราค่อยกลับซีเป่ยกันก็แล้วกัน”
ถึงแม้เขาจะคอยคิดหาทางโยนงานส่วนใหญ่ให้กับสวีชิงเฉิน แต่ม่อซิวเหยาก็ยังรู้ดีถึงหลักการมากไปก็แย่เท่าน้อยไปอยู่ หากกดดันเขามากเกินไปจนทำให้สวีชิงเฉินละทิ้งภาระทั้งหมดแล้วหนีไป เช่นนั้นคงได้ไม่คุ้มเสียให้จริงๆ
จะว่าไปครานี้ตระกูลเฟิ่งก็ถือว่าโชคไม่ดีเอาเสียเลยจริงๆ ถึงแม้จะว่าในบรรดาบัณฑิต ชาวนา ช่างฝีมือและพ่อค้า พ่อค้าจะมาทีหลังสุด แต่พ่อค้าที่ทำได้ถึงขั้นตระกูลเฟิ่งนั้น ย่อมมีหน้ามีตามากกว่าคนโดยมากอยู่มากทีเดียว อีกทั้งตระกูลเฟิ่งยังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลคหบดีแห่งต้าฉู่ และเป็นเพียงตระกูลเดียวที่อยู่ในเมืองหลวง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ ยามปกติผู้คนจึงให้เกียรติพวกเขาอยู่หลายส่วน
แต่ตั้งแต่ที่ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ไป คนในตระกูลเฟิ่งก็แบ่งออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย ถกเถียงกันวุ่นวายว่าควรจะสนับสนุนฝ่ายใด ยังไม่ทันได้ข้อสรุปว่าเป็นเช่นไร ตระกูลเฟิ่งก็มาถูกจับไปจนหมดสิ้น แม้แต่เหตุผลที่พวกเขาถูกจับก็ยังไม่แน่ชัด ทั้งผู้ใหญ่และเด็กในตระกูลนับร้อยชีวิตถูกจับขังอยู่ในคุกของต้าหลี่ซื่อที่ในเมืองหลวง
และก็เป็นเช่นที่คนเขาว่ากัน เมื่อต้นไม้ล้มลิงก็กระจัดกระจาย การที่ตระกูลเฟิ่งถูกจับกันหมดโดยไม่มีสัญญาณใดบอกกล่าวล่วงหน้า ตั้งแต่บนไปถึงล่างถูกจับเข้าคุกกันจนไม่มีเหลือ ยามปกติตระกูลที่ไปมาหาสู่กันด้วยดีจึงย่อมนึกเกรงกลัวอย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มคนที่รอให้ตระกูลเฟิ่งตกที่นั่งลำบากและรอแบ่งผลประโยชน์กันอยู่เลย จะมีผู้ใดกล้าเสี่ยงเพื่อพวกเขา บรรดาฮูหยิน คุณชาย คุณหนูทั้งหลายที่เคยกินดีอยู่ดีมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ เมื่อจู่ๆ มาถูกจับขังอยู่ในคุกที่ทั้งสกปรกและมืดสลัวเช่นนี้ ย่อมร้องห่มร้องไห้กันไม่หยุดเป็นธรรมดา