ประมุขตระกูลเฟิ่ง หรือก็คือบิดาแท้ๆ ของเฟิ่งจือเหยา นามเฟิ่งหวายถิง ถูกขังอยู่ห้องขังเดี่ยว หากเทียบกับเสียงร้องห่มร้องไห้ของภรรยา อนุ บุตรสาวบุตรชายรวมถึงคนในตระกูลเฟิ่งคนอื่นๆ แล้ว เขาดูสงบนิ่งกว่ามาก แค่เพียงนั่งหลังพิงฝาอยู่ในมุมหนึ่งของห้องขัง แม้แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญของฮูหยินเฟิ่งจากห้องขังข้างๆ ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง
แค่เพียงเฟิ่งจือเหยาเดินเข้าไปในต้าหลี่ซื่อก็ถูกคนเข้าขวางไว้ทันที เดิมทีหากปฏิบัติตามคำสั่งของเบื้องบน เฟิ่งจือเหยาถึงแม้จะมีเพียงความสัมพันธ์ที่เฉยชากับตระกูลเฟิ่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรสายรองของตระกูล แน่นอนว่าก็ต้องพูดจับเข้าห้องขังด้วยเช่นกัน แต่กระนั้นเฟิ่งจือเหยาก็ยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นคือเป็นคนสนิทของติ้งอ๋อง รองแม่ทัพกองทัพตระกูลม่อ คนที่เข้าไปจับกุมคนในตระกูล คิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนอย่างไร ก็ไม่กล้าบุกเข้าไปจับเขาที่ตำหนักติ้งอ๋องด้วยตนเอง ทำได้เพียงต้องรายงานกลับไปหาเบื้องบน สุดท้ายเบื้องบนก็เพียงปล่อยให้เป็นไปตามนั้น แต่การที่คุณชายเฟิ่งซานคิดจะเข้าไปเยี่ยมคนในตระกูลเฟิ่งถึงในต้าหลี่ซื่อ ก็ฟังไม่ขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
เฟิ่งจือเหยาจ้องหน้าเจ้าหน้าที่ในต้าหลี่ซื่อที่ส่งยิ้มปลอมๆ มาให้ด้วยสีหน้าบึ้งตึง หลังจากตระกูลเฟิ่งถูกจับโยนเข้าคุก เขาก็มัวแต่วุ่นวายอยู่กับการตามจับถานจี้จือ เมื่อจัดการตามคำสั่งของท่านอ๋องเรียบร้อยแล้ว พอมีเวลามาเยี่ยมก็กลับถูกคนขวางไว้ตั้งแต่ที่หน้าประตูอีก เฟิ่งจือเหยาที่ไม่ได้นอนมาสองวันเต็ม จะอารมณ์ขุ่นมัวเพียงใด ไม่ต้องคิดก็น่าจะรู้
“หลบไป” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยเสียงเย็น ใบหน้าที่มักประดับไปด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ ยามนี้กลับดูเคร่งเครียดขึ้นหลายส่วน และทำให้คนที่ขวางทางเขาอยู่อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
“คุณชายเฟิ่งซาน ด้วยเพราะเห็นแก่ติ้งอ๋อง ราชสำนักไม่ได้ทำให้ท่านลำบากก็ถือว่ากรุณามากแล้ว อย่าคิดทำอันใดไม่ควร!” ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่า ตนถูกเด็กที่เกิดทีหลังทำให้ตกใจกลัวขึ้นมา ชายอาวุโสตรงหน้าจึงร้อนใจอยากเรียกเกียรติของตนที่เสียไปกลับมา จึงเอ่ยเรื่องความถูกต้องขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เฟิ่งจือเหยาพ่นลมหายใจออกทางจมูกด้วยความดูแคลน “หากมีฝีมือก็จับข้าเข้าไปขังด้วยเสียเลยสิ ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า ต้าหลี่ซื่อไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม”
อันที่จริงต้าหลี่ซื่อก็มิได้อนุญาตให้เข้าไปเยี่ยมกันตามสบาย แต่กฎที่แฝงอยู่ในหมู่ราชการอย่างไรก็ยังมีอยู่ ขอเพียงมีเงิน นอกจากวังหลวงแล้วก็ไม่มีที่ใดที่ไม่สามารถเข้าไปอย่างสบายๆ ได้
เพียงแต่เฟิ่งจือเหยาไม่คิดที่จะให้เงิน เฟิ่งจือเหยามองตาแก่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “จะต้องให้ข้าบอกคนในหน่วยผู้ตรวจการหรือไม่ว่า ใต้เท้าหวังที่รับราชการอยู่ในต้าหลี่ซื่อมาเจ็ดปี ได้ผลประโยชน์ไปมากน้อยเพียงใดบ้าง”
ใต้เท้าหวังผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีทันที หันไปกวาดตามองบรรดาลูกน้องที่ก้มหน้าทำเป็นไม่ได้ยินอันใดทั้งสิ้นทีหนึ่ง ก่อนหันกลับไปจ้องหน้าเฟิ่งจือเหยาอยู่เป็นนาน แล้วถึงได้ไอแห้งๆ ออกมาก่อนเอ่ยว่า “ในเมื่อคุณชายเฟิ่งซานเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง ข้าย่อมไม่อาจขวาง รีบมาเชิญคุณชายเฟิ่งซานเข้าไปเร็ว”
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะเยาะทีหนึ่ง “ที่ข้ามาที่นี่ มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักติ้งอ๋อง” พูดจบก็ไม่ได้สนใจว่าใต้เท้าหวังจะมีสีหน้าเช่นไรอีก สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปในคุกทันที
แค่เพียงเข้าไปในคุก กลิ่นเน่าเหม็นก็พุ่งเข้ามาเตะจมูกทันที สองข้างทางมีแต่มือดำๆ ยื่นออกมาหมายจะดึงตัวคนที่เดินผ่านไปมาไว้
เฟิ่งจือเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ สายตาดุๆ กวาดมองไปยังคนที่เกาะลูกกรงคิดอยากยื่นมือมาจับเขา จนต้องชักมือกลับเข้าไปทันที คนที่อยู่ในคุกมานานย่อมมีความสามารถในการหลีกภัย ถึงแม้ภายนอกเฟิ่งจือเหยาจะดูหล่อเหลาและร่ำรวยประหนึ่งคุณชายเจ้าเสน่ห์ที่มาจากตระกูลผู้ดี แต่ความโหดร้ายที่สั่งสมมาจากการกรำศึกเป็นสิบปี ก็มิใช่สิ่งที่คนคุกเหล่านี้สามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้
คนตระกูลเฟิ่งถูกจับขังไว้ในห้องที่อยู่ลึกด้านในสุด ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป ก็ได้กลิ่นเหม็นรุนแรงลอยออกมา เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ดวงตาที่หรุบลงครึ่งหนึ่งฉายแววเยาะหยัน
เมื่อเดินเข้าไปยังบริเวณที่ขังคนตระกูลเฟิ่งไว้ เฟิ่งจือเหยามองบุรุษที่ถูกแยกขังไว้เพียงคนเดียวและกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ด้านในด้วยสีหน้าหลากหลาย เฟิ่งหวายถิงที่อายุเกือบหกสิบปี แต่มองดูภายนอกกลับอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอยู่ไม่น้อย ถึงแม้จะอยู่ในสถานที่ที่มืดสลัวและสกปรกเช่นคุกแห่งนี้ เขาที่นั่งอยู่กับพื้นกลับดูสะอาดสะอ้านกว่าคนตระกูลเฟิ่งที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ในคุกห้องข้างๆ มากนัก
เฟิ่งจือเหยาพบว่า เมื่อเทียบกับยามที่จากเมืองหลวงไปเมื่อหลายปีก่อน เส้นผมสีขาวบนศีรษะเขาดูจะเพิ่มขึ้นมากทีเดียว เมื่อหกปีก่อนที่เฟิ่งจือเหยากลับมาเมืองหลวง สุดท้าย เขาก็มิได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของสวีหงเยี่ยนที่ให้กลับมาเยี่ยมเขา ลองนับดูแล้วพวกเขาพ่อลูกไม่ได้พบหน้ากันมาเจ็ดปีเต็มๆ แล้ว เฟิ่งจือเหยาหลับตาลง เพื่อปิดบังความรู้สึกในแววตา
การที่จู่ๆ เฟิ่งจือเหยาก็ปรากฏตัวขึ้น ทำให้ตระกูลเฟิ่งที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงดังระงมกันอยู่ เงียบสงบลงทันที บุรุษชุดแดงที่ยืนอยู่บนทางเดิน อยู่ในชุดผ้าไหมสีแดงหรูหรา ใบหน้าที่หล่อเหลาไม่ว่าจะอยู่ที่ใด เมื่อมาอยู่ในคุกที่มืดสลัวเช่นนี้กลับทำให้ที่แห่งนั้นดูสว่างขึ้นมาทันที
คนตระกูลเฟิ่งมิได้คุ้นเคยกับเฟิ่งจือเหยา ตั้งแต่เฟิ่งจือเหยาอายุแปดเก้าขวบ ช่วงเวลาที่เขาใช้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องกับด้านนอกบ้าน ก็มากกว่าเวลาที่เขาใช้อยู่ในบ้านมากนัก แค่เพียงมองบุรุษชุดแดงที่ประหนึ่งจะลอยได้ตรงหน้า ก็ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อหลายปีก่อนมีคนในตระกูลเฟิ่งคนหนึ่ง ที่ไม่ว่าเมื่อใดก็จะอยู่ในชุดสีแดงเสมอ
จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่ามีผู้ใดเอ่ยเรียกขึ้นว่า “เฟิ่งจือเหยา!”
“พี่ใหญ่ พี่รอง ไม่ได้พบกันเสียนาน สบายดีหรือไม่” เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว หันไปส่งยิ้มเจือแววมาดร้ายให้กับบุรุษกลางคนสองคนที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกล
ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เฟิ่งจือเหยาก็ยังไม่อาจชื่นชอบพี่ชายสายหลักทั้งสองคนนี้ของเขาได้ ยามเป็นเด็ก พวกเขาสำหรับเขาแล้ว เป็นความรู้สึกที่ทั้งอิจฉาและเกรงกลัว โตขึ้นมาหน่อยพวกเขาก็เป็นอริที่เขานึกรังเกียจและแค้นใจ แต่ยามนี้ เฟิ่งจือเหยาที่สุขุมขึ้นได้สลัดพี่ชายทั้งสองคนนี้ทิ้งไว้ข้างหลังเสียนานแล้ว ความโกรธเข้ากระดูกดำในวัยหนุ่ม ยามนี้เหลือเพียงความรังเกียจจางๆ เท่านั้น
“เฟิ่งจือเหยา? เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร!” บุตรชายคนที่สองของตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งจือหย่วนถลึงตามองน้องสามที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปี พลางเอ่ยถามด้วยท่าทีรังเกียจ
ความขุ่นเคืองในวัยเด็ก อาจเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของเด็กที่ยังไม่ประสา แต่ความขุ่นเคืองในวัยหนุ่มส่วนมาก เกี่ยวพันถึงเรื่องผลประโยชน์
ยามนั้นคนในตระกูลเฟิ่งทุกคนใช้เรื่องที่เฟิ่งจือเหยาทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับตำหนักติ้งอ๋องมาเป็นเหตุผลเพื่อบีบให้ไล่เขาออกจากตระกูลเฟิ่ง และยิ่งในตอนที่เฟิ่งจือเหยาติดตามติ้งอ๋องไปอยู่ซีเป่ย ก็ประกาศตัดขาดสัมพันธ์กับเขาอย่างเป็นทางการ แต่ในยามนี้ที่เฟิ่งจือเหยาคลุกคลีอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องประหนึ่งปลาได้เจอน้ำ พวกเขากลับมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สีหน้าของบุตรชายสายหลักของตระกูลเฟิ่งทั้งสอง จึงดูไม่สู้ดีนัก
“พี่สาม…พี่สาม! ช่วยข้าออกไปที เรื่องไม่เกี่ยวกับข้า! ช่วยข้าด้วย…” สตรีวัยกลางคนนางหนึ่งรีบพุ่งเข้ามาเกาะลูกกรงไว้ ยื่นมือมาดึงเฟิ่งจือเหยาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น ตระกูลหลิ่วกับหลีอ๋องช่างเตรียมการได้อย่างรอบคอบนัก มิได้มีเพียงตระกูลเฟิ่งกับญาติสายรองเท่านั้น แต่แม้แต่สตรีที่แต่งงานออกไปแล้ว ก็ยังตามจับตัวมาด้วย ดูท่า…อย่างไรก็ไม่ใช่เพียงต้องการข่มขู่เขากับตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้นเสียแล้ว นึกย้อนไปถึงรอยยิ้มที่เหมือนไม่ตั้งใจของม่อซิวเหยาก่อนที่เขาจะออกมา เฟิ่งจือเหยาก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้น
“เจ้ามาทำอันใด” เฟิ่งหวายถิงลืมตาขึ้นมาตั้งแต่ที่เฟิ่งจือหย่วนเอ่ยเรียกว่าเฟิ่งจือเหยาแล้ว สายตาที่มองไปยังบุรุษในชุดสีแดงอันหรูหราที่อยู่ด้านนอก ดูมีแววประหลาด ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ
น้ำเสียงที่เย็นชา ทำให้เฟิ่งจือเหยาอดรู้สึกนิ่งไปไม่ได้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับยิ่งดูแจ่มใสขึ้น “แน่นอนว่ามาเยี่ยมท่านพ่ออย่างไร ดูแล้วก็ไม่เลวนี่นะ”
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” เฟิ่งหวายถิงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้ามิใช่ลูกหลานตระกูลเฟิ่งแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดกับตระกูลเฟิ่ง ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้ามาเยี่ยมไม่เข้าเรื่องเช่นนี้ ไม่มีธุระอะไรก็กลับไปเสีย” พูดจบ เฟิ่งหวายถิงก็หลับตาลงอีกครั้ง ไม่สนใจสีหน้าเฟิ่งจือเหยาที่เปลี่ยนไปทันทีอีก
“ท่านพ่อ ท่านพูดอันใดน่ะ” คุณหนูสี่ตระกูลเฟิ่งเอ่ยขึ้นด้วยความไม่พอใจ “พี่สามเป็นคนสนิทของติ้งอ๋อง พี่สามจะต้องมาเพื่อช่วยพวกเราออกไปแน่ พี่สาม…รีบให้คนมาปล่อยข้าออกไปที”
เดิมทีเฟิ่งจือเหยายังพอมีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่เมื่อถูกเฟิ่งหวายถิงเอ่ยใส่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้ ก็ให้รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที
เขายิ้มเยาะทีหนึ่ง ดึงเสื้อที่ถูกคุณหนูสี่จับไว้กลับมา เลิกคิ้วพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอโทษด้วยนะ ก็เหมือนที่นายท่านเฟิ่งว่าไว้ ข้ามิใช่คนตระกูลเฟิ่งแล้ว ตระกูลเฟิ่งจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ที่ข้ามานี่…ก็เพื่อมาดูเรื่องสนุกเท่านั้น”
“ไอ้เดรัจฉาน! ต่อให้ตระกูลเฟิ่งตกต่ำเพียงใด ก็ไม่ใช่เรื่องให้เจ้าจะมาสมน้ำหน้ากันเช่นนี้ ไม่แน่ว่าตระกูลเฟิ่งอาจถูกลูกที่เกิดจากคนสารเลวเช่นเจ้าทำให้โชคร้ายก็เป็นได้!” จู่ๆ ฮูหยินเฟิ่งก็ตะโกนด่าเสียงเข้มขึ้นมา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งจือเหยาก็หันไปมองฮูหยินเฟิ่งด้วยความตกใจ
ฮูหยินเฟิ่งยกย่องตนเองว่าเป็นฮูหยินผู้แสนประเสริฐมาตลอด ถึงแม้จะไม่เคยมองบุตรชายสายรองอย่างเขาเต็มๆ ตาสักครั้ง แต่ต่อหน้านางก็มักจะแสดงออกถึงความใจกว้างและมีเมตตาเสมอ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จะให้คนเอาไปว่ากล่าวนินทาได้ นางไม่มีทางทำเด็ดขาด นอกจากเรื่องที่บุตรชายทั้งสองคนของนางมารังแกเขา และคอยกีดกันพวกเขาสองคนแม่ลูกออกไปโดยไม่ให้ผู้ใดรู้แล้ว หากเทียบกับบรรดาฮูหยินที่ใจคอโหดเหี้ยมบางคน เฟิ่งฮูหยินก็ถือว่าไม่เลวแล้วจริงๆ แต่กลับไม่คิดว่านางจะเก็บกดเอาไว้ไม่ได้ในช่วงเวลาเช่นนี้
“หุบปาก!” จู่ๆ เฟิ่งหวายถิงก็พูดขึ้น เอ่ยเสียงเย็นว่า “พูดจาสกปรก หรือว่าพออยู่ในคุก สิ่งที่เจ้าฝึกฝนมาก็ถูกหมากินไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ”
เฟิ่งฮูหยินถึงกับสะอึกไป อ้าปากค้างอยู่เป็นนาน แต่ก็พูดอันใดไม่ออก