ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เฟิ่งซานเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องของข้า ต่อให้เขาทำความผิดร้ายแรงเพียงใด ก็ถือว่าเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของตำหนักติ้งอ๋อง ใช่หน้าที่เจ้า…ที่เป็นเพียงสนมเล็กๆ ในวังมาจัดการตั้งแต่เมื่อใด ข้าไม่สนใจว่าเจ้าต้องการเอ่ยสิ่งใด การเฆี่ยนตีครั้งนี้ต่อให้เจ้าไม่อยากรับก็ต้องรับไว้”
องครักษ์ที่อยู่ด้านนอกประตูได้ยินคำสั่ง ก็เดินตรงเข้าไปหาหลิ่วกุ้ยเฟยอย่างไม่รีรอทันที เป็นกุ้ยเฟยแล้วเฆี่ยนตีไม่ได้หรือ? ผลที่ตามมาจะหนักหนามากหรือ? หากท่านอ๋องโกรธขึ้นมาแล้ว ผลที่ตามมาคงร้ายแรงยิ่งกว่านี้! ช่างบังเอิญที่สองสามวันนี้ ติ้งอ๋องก็อารมณ์ไม่ดีพอดีด้วย
“หยุดเดี๋ยวนี้!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเข้ม “เจ้าจะทำอันใดข้าไม่ได้! ข้าเป็นกุ้ยเฟยของราชวงศ์นี้นะ!”
ม่อซิวเหยาเบ้ปากด้วยความดูแคลน “เจ้าเป็นเพียงสนมของอดีตฮ่องเต้ ข้าเฆี่ยนตีเจ้าแล้วอย่างไร ผู้ใดจะกล้ามาช่วยเจ้า พ่อเจ้าหรือ? ม่อจิ่งหลีหรือ?”
“ที่ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระจะพูดคุยด้วย…เป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตำหนักติ้งอ๋อง หากเจ้าไม่ฟังเจ้าจะต้องเสียใจแน่” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยอธิบายเหตุผลด้วยความร้อนใจ มุมปากเริ่มมีเหงื่อซึมออกมาจากความกลัว
“ลากออกไป อย่าให้ข้าต้องเอ่ยอีกเป็นครั้งที่สอง” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเย็น
องครักษ์สองคนเข้ามาลากตัวหลิ่วกุ้ยเฟยออกไปอย่างง่ายดาย หลิ่วกุ้ยเฟยที่มือเท้าเล็กเพียงเท่านั้นจะเอาแรงที่ไหนมาสู้องครักษ์ทั้งสองได้ จึงลากนางออกไปโดยที่นางแทบจะขัดขืนอันใดไม่ได้เลย ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงลงแส้ดังมาให้ได้ยิน
ม่อตัวน้อยเบิกตาโตด้วยความใคร่รู้ “เหตุใดนางถึงไม่ร้อง”
เยี่ยหลีได้แต่เอามือปิดหน้า การทำเรื่องเช่นนี้ต่อหน้าเด็กๆ เป็นเรื่องที่ดีจริงๆ หรือ และที่สำคัญที่สุดคือ เหตุใดมิใช่เพียงม่อตัวน้อยที่ยื่นหน้ามาด้วยความสนใจอย่างไร้ความขลาดกลัว แต่แม้แต่เหลิ่งจวินหานที่น่ารักว่าง่ายมาตลอด ก็ยังเบิกตาโตมองด้วยความตื่นเต้นและใคร่รู้ไปกับเขาด้วย หรือว่าวิธีที่นางเลี้ยงบุตรจะมีปัญหากัน หากเหลิ่งเฮ่าอวี่กับมู่หรงถิงกลับมา นางจะอธิบายพวกเขาอย่างไร ที่บุตรชายที่ว่านอนสอนง่ายของเขากลายเป็นเด็กที่โหดเหี้ยมไปเช่นนี้
การลงแส้สิบทีนั้นเอาเข้าจริงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงครึ่งเค่อ หลิ่วกุ้ยเฟยก็ถูกคนพาตัวกลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมอีกครั้ง เพียงแต่ชุดสีขาวที่นางสวมใส่อยู่ ครานี้เต็มไปด้วยรอยเลือด
หลิ่วกุ้ยเฟยไม่อาจฝืนรักษากิริยาอันสง่าผ่าเผยของตนได้อีกต่อไป ทำได้เพียงฟุบอยู่กับเก้าอี้ ด้วยสภาพที่น่าเวทนากว่าเฟิ่งจือเหยาเสียอีก
เฟิ่งจือเหยามองหลิ่วกุ้ยเฟยที่สภาพย่ำแย่กว่าตนด้วยความยินดี แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าบาดแผลบนร่างกายมิได้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นแล้ว แต่แค่เพียงหันไปส่งสายตากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งให้กับม่อซิวเหยา เฟิ่งจือเหยาก็ขวัญหาย คอหดลงทันที เขาน่าสงสารเสียยิ่งกว่าหลิ่วกุ้ยเฟยเสียอีก เดาได้เลยว่า ชีวิตของเขาหลังจากนี้จะต้องเต็มไปด้วยมหัตภัยอย่างแน่นอน
“ตอนนี้ เจ้าพูดได้แล้ว” ดูเหมือนม่อซิวเหยาจะอารมณ์ดีขึ้นมาก ยกชาขึ้นจิบน้อยๆ พลางเอ่ยปากขึ้น
หลิ่วกุ้ยเฟยเจ็บปวดจนร่างกายสั่นเทิ้ม ไฉนเลยจะยังสามารถกล่าวอันใดได้อีก นางมิได้หนังหนาเช่นเดียวกับเฟิ่งจือเหยา อีกทั้งการลงแส้ทั้งสิบทีขององครักษ์ลับตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ออมแรงเลยแม้แต่น้อย ที่นางยังสามารถนั่งอยู่ที่นี่ได้ ก็ด้วยเพราะคนที่ลงมือรู้ว่า หลังจากลงแส้เสร็จแล้ว นางยังต้องไปพูดคุยกับติ้งอ๋องต่อ จึงปราณีอยู่บ้างก็เท่านั้น
หลิ่วกุ้ยเฟยสูดหายใจเข้า มองม่อซิวเหยาที่อมยิ้มส่งชาให้เยี่ยหลีที่นั่งอยู่ข้างกาย ถึงแม้จะเอ่ยกับตนแต่กลับไม่เสียเวลาหันมามองเลยแม้แต่น้อย เห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกเย็นวาบขึ้นทั้งตัวไม่ได้ “เจ้าใจร้ายมาก…”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น “ข้าไม่ได้มาฟังเจ้าพูดเรื่องไร้สาระ”
เมื่อต้องเจอกับความเจ็บปวดเช่นนี้ หากหลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่รู้ว่าสิ่งที่นางใช้กับม่อซิวเหยาก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์ เช่นนั้น นางก็คงใช้ชีวิตตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาอย่างเสียเปล่าแล้ว
หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟัน เอ่ยว่า “ข้าสามารถช่วยเจ้านำพื้นที่ทางตอนเหนือของต้าฉู่ทั้งสามเขตที่มีชายแดนติดกับเป่ยหรงมาได้โดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด”
“อ้อ?” ม่อซิวเหยาผินหน้าไปมองนางด้วยความสงสัย
เมื่อเห็นเช่นนั้น หลิ่วกุ้ยเฟยก็รู้ว่าม่อซิวเหยาสนใจ ก็บังเกิดความยินดีขึ้นในใจ เอ่ยเสียงขรึมต่อว่า “แต่ข้ามีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง”
ม่อซิวเหยาถอยตัวกลับพร้อมเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เอนกายพิงเยี่ยหลีพลางเอ่ยว่า “ลองว่ามา”
“ข้าต้องการให้เจ้าแต่งข้าเป็นชายา!”
“พรืด…” เฟิ่งจือเหยาไอติดๆ กันหลายครั้ง มองสตรีตรงข้ามด้วยความโกรธเกลียด เขาไม่ได้กินน้ำมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ แล้ว สตรีนางนี้ยังมาทำให้เขาต้องสำลักอีก!
เยี่ยหลีที่อยู่ข้างๆ ก็อดถอยหลังไปบ้างไม่ได้ ม่อซิวเหยาที่เอนตัวพิงนางอยู่ จึงจำต้องยืดตัวตรงขึ้น หันไปโอบเอวบางๆ ของนางพลางดึงเข้ามาใกล้ๆ “อาหลี…”
เยี่ยหลียิ้มอย่างขอโทษ มิใช่ว่านางโกรธหรือไม่เชื่อใจม่อซิวเหยา แต่นางตกใจกับสิ่งที่หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ย เมื่อครู่นางเพิ่งถูกม่อซิวเหยาสั่งให้คนลงแส้ไปสิบที แต่นางก็ยังคงโง่เขลาตั้งมั่นในความคิดไม่เปลี่ยนว่าจะแต่งงานกับเขา นางไม่กลัวว่าม่อซิวเหยาเมื่อใช้ประโยชน์จากนางเสร็จแล้วจะเล่นงานนางถึงตายหรือ นี่คงชอบโดนทำร้ายกระมัง ที่หลิ่วกุ้ยเฟยไม่เคยรักม่อจิ่งฉี คงเพราะม่อจิ่งฉีดีกับนางเกินไปกระมัง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาก็ตื่นตัวด้วยความพอใจ “อาหลี เจ้าว่าอย่างไร”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น เรื่องเช่นนี้มิใช่ควรเป็นเขาที่ต้องแก้ปัญหาหรือ มาผลักให้นางเช่นนี้หมายความเช่นไรกัน
“การแต่งอนุมิใด้เป็นเรื่องที่พระชายาเป็นคนตัดสินใจหรอกหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามอย่างใสซื่อ
แต่งอนุ? ดวงตาเรียวของเยี่ยหลีหรี่ลงเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ท่านอ๋องคิดอยากแต่งอนุแล้วหรือ”
“ข้าเป็นสามีที่ดี เรื่องเรือนหลังชายารักเป็นคนตัดสินใจเลยเถิด” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างใจกว้าง
“ติ้งอ๋อง ข้ามิได้หมายถึงการแต่งอนุ” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ข้าต้องการให้เจ้า แต่งข้า…เป็นชายาร่วม!” เดิมทีนางยังคิดอยากเอ่ยว่าชายาเอก แต่เมื่อเห็นกิริยาท่าทางของติ้งอ๋องที่มีต่อเยี่ยหลี นางก็รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ หลิ่วกุ้ยเฟยจึงตัดสินใจที่จะยอมถอยก่อนก้าวหนึ่ง ขอเพียงนางกลายเป็นชายาของติ้งอ๋อง…ถึงยามนั้น…
“หึ…” เฟิ่งจือเหยาหัวเราะออกมาทางจมูก “หลิ่วกุ้ยเฟย ท่านคงมิใช่ว่าไม่รู้กระมัง ชายาร่วมกับชายาเอกนั้น ก็เหมือนเช่นกุ้ยเฟยกับฮองเฮา ล้วนเป็นอนุทั้งสิ้น!”
สายตาหลิ่วกุ้ยเฟยเป็นประกายคมกล้า ถลึงตาดุจ้องเฟิ่งจือเหยา “เฟิ่งซาน หุบปากเน่าๆ ของเจ้าเสีย มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าสิ้นชื่อไปพร้อมกับนาง!”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น “สิ้นชื่อ? เช่นเดียวกับท่าน หลิ่วกุ้ยเฟยอย่างนั้นหรือ มาหาถึงที่ต้องการบีบให้ท่านอ๋องรับท่านเป็นอนุ? อา…ขอข้าคิดดูหน่อย หมากที่ท่านนำมาใช้ก็คือเขตทั้งสามเขตทางตอนเหนือของต้าฉู่ การกระทำเช่นนี้เขาเรียกว่าอันใดนะ…กบฏแคว้น?”
หลิ่วกุ้ยเฟยโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม แค่เพียงคิดจะลุกขึ้น ความเจ็บปวดที่แล้นขึ้นมาก็ทำให้นางขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้
นางสูดหายใจเข้าออกอยู่หลายทีเพื่อข่มความโกรธในใจลง หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาว่า “ติ้งอ๋อง ท่านว่าอย่างไร”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าไม่เคยยุ่งวุ่นวายเรื่องการแต่งเรือนเล็กเรือนน้อยมาก่อน”
เฟิ่งจือเหยาลอบยิ้ม ช่างพูดได้น่าสนใจยิ่งนัก ตำหนักติ้งอ๋องเคยมีเรื่องแต่งเรือนเล็กเรือนน้อยด้วยหรือ
แต่หลิ่วกุ้ยเฟยกลับฟังเข้าใจถึงความหมายของม่อซิวเหยาในทันที จะแต่งหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเยี่ยหลี ซึ่งทำให้หลิ่วกุ้ยเฟยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ในเมื่อม่อซิวเหยาเอ่ยถึงขั้นนี้แล้ว หลิ่วกุ้ยเฟยก็ทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจตนเองว่า ทั้งหมดนี้ด้วยเพราะตระกูลสวี ติ้งอ๋องถึงต้องให้เกียรติเยี่ยหลี
นางเชิดคางขึ้น เอ่ยกับเยี่ยหลีอย่างถือดีว่า “คุณหนูเยี่ย เชื่อว่าเจ้าคงเข้าใจถึงประโยชน์ที่ข้าจะนำมาให้ตำหนักติ้งอ๋องกับกองทัพตระกูลม่อกระมัง”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น กดม่อตัวน้อยที่คิดอยากลุกขึ้นมากระโดดไว้ พลางเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ ว่า “ด้วยมันสมองของหลิ่วกุ้ยเฟย…คงคิดเรื่องเช่นนี้ออกมาไม่ได้กระมัง ข้าขอเดาว่านี่เป็นความคิดของผู้ใด ถานจี้จือ?”
เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของหลิ่วกุ้ยเฟย เยี่ยหลีก็ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ยามนี้ถานจี้จืออยู่ในมือตำหนักติ้งอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยเห็นว่า ท่านยกข้อเสนอเช่นนี้ขึ้นมา น่าสนใจมากหรือ เพียงแต่ข้าก็ยังต้องขอบคุณที่กุ้ยเฟยให้ข่าวที่น่าสนใจข่าวนี้ขึ้นมา อีกอย่าง…”
เมื่อเห็นหลิ่วกุ้ยเฟยคิดจะเอ่ยแทรก เยี่ยหลีก็เอ่ยเสียงขรึมว่า “เขตทั้งสามเขตที่หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นมา ล้วนมีชายแดนติดกับเป่ยหรง เส้นชายแดนนั้นยาวเป็นพันลี้ เมื่อใดก็ตามที่กองทัพตระกูลม่อเข้าไปรับช่วงต่อ ก่อนอื่นก็ต้องเผชิญหน้ากับเป่ยหรงที่บุกเข้ามา จากนั้นก็ยังต้องเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของขุนนางและชาวบ้านของต้าฉู่อีก กุ้ยเฟยทำเช่นนี้ เพราะต้องการช่วยเหลือหรือต้องการทำร้ายตำหนักติ้งอ๋องกันแน่”
หลิ่วกุ้ยเฟยอ้าปากค้าง พูดอันใดไม่ออก นางไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้เลยจริงๆ เพียงแต่นี่เป็นความคิดที่นางนำมาคิดต่อจากการฟังสิ่งที่ถานจี้จือวิเคราะห์เท่านั้น
“เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหล! กองทัพตระกูลม่อมีหรือจะเกรงกลัวเป่ยหรงกับชาวบ้านร้านตลาดกลุ่มหนึ่ง” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าขาวซีด
เยี่ยหลีระบายยิ้มมิได้เอ่ยอันใดต่อ การเอ่ยเรื่องจิตใจประชาชนกับสตรีที่คลั่งไคล้ในบุรุษอย่างไม่ลืมหูลืมตา เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่า
นางยกมือจับผมที่ปรกลงมาขึ้นไปทัดหู ก่อนเยี่ยหลีจะเอ่ยกับหลิ่วกุ้ยเฟยเรียบๆ ว่า “ดูท่าหลิ่วกุ้ยเฟยคงไม่มีความคิดที่สร้างสรรค์อย่างอื่นอีกแล้ว เช่นนั้นก็เชิญกลับไปเถิด หากไม่มีความสามารถ ก็อย่ามาคิดถึงบุรุษของผู้อื่น หากเจ้าเกิดของขาดขึ้นมาจริงๆ ทางตะวันตกของเมืองมีหอชิงเฟิงอยู่”
“แค่กๆๆ…” เฟิ่งจือเหยาวางถ้วยชาลงด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว หันมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าตื่นกลัว หอชิงเฟิง…นั่นเป็นหอนายโลมกระมัง พระชายาท่านรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร…