“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เยี่ยหลีรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นว่าม่อตัวน้อยกับเหลิ่งจวินหาน ซาลาเปาน้อยสองตัวยืนปลอดภัยอยู่ตรงนั้นถึงได้ค่อยๆ ถอนหายใจออกมา ก่อนหันหน้าไปเอ่ยถามองครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง
หน่วยกิเลนทั้งสองที่รับหน้าที่เป็นองครักษ์ลับชั่วคราว มองสตรีที่ร้องเสียงหลงอยู่ห่างไปไม่ไกลด้วยความจนใจ ก่อนจะหันมองนายน้อยของตน ถึงแม้จะเป็นคนกันเอง แต่พวกเขาก็ยังเกรงใจที่จะบอกว่านายน้อยของตนไปรังแกเขา
แค่เพียงเยี่ยหลีมองสีหน้าองครักษ์ลับก็พอเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้น จึงหันไปปรายตามองม่อตัวน้อยเรียบๆ
ม่อตัวน้อยกลับดูไม่มีท่าทีเกรงกลัวเลยแต่น้อย ทั้งยังหันมาส่งยิ้มหวานให้เยี่ยหลีอีกด้วย
เยี่ยหลีหันมองไปด้านข้าง มีเด็กน้อยหน้าตาดีอายุราวๆ เจ็ดแปดขวบเพิ่มเข้ามาอีกคน ห่างไปไม่ไกลยังมีสตรีนางหนึ่งในชุดสีแดงปักลายดอกบัวกำลังลุกขึ้นจากพื้นอย่างทุลักทุเล ชุดสีแดงตัวใหญ่ไม่เพียงเปรอะเปื้อนไปด้วยสารพัดสิ่งของเท่านั้น แต่สีสันของมันยังดูประหลาดตาจนทำให้ดูไม่น่ามอง
ข้างกายสตรีในชุดสีแดง เป็นสตรีงดงามนางหนึ่งในชุดสีชมพูสด กำลังยื่นมือเข้าไปคิดจะช่วยพยุงสตรีในชุดแดงขึ้นมา แต่กลับถูกนางปัดมือออกอย่างไม่เกรงใจ
สตรีงดงามนางนั้นก็มิได้สนใจ เพียงยิ้มบางๆ ก่อนยืนขึ้นข้างๆ กัน
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ในที่สุดก็จำได้ว่า สตรีในชุดสีแดงที่ดูคุ้นตานั้นคือผู้ใด นางเป็นคู่หมั้นของมู่หยางโหวซื่อจื่อที่ตนเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งปัจจุบันก็คือฮูหยินน้อยแห่งจวนมู่หยางโหว ชายามู่หยางโหวซื่อจือ เพียงแต่ในปีนั้นสตรีสาวบอบบางงดงามยังมีความเขินอายอยู่บ้าง มาวันนี้กลับสวมชุดสีแดงสด ใบหน้านางมีประกายอย่างหญิงที่แต่งงานแล้วเปล่งออกมาจางๆ
มู่ฮูหยินน้อยผู้นั้นพอลุกขึ้นยืนได้ก็ยกมือขึ้นหมายจะตบเข้าที่ใบหน้าของเหยาจีที่ยืนอยู่ตรงข้ามนางทันที
ถึงแม้เหยาจีจะไม่มีวรยุทธ แต่ก็เป็นนักเต้นฝีมือดีแห่งยุค การเคลื่อนตัวที่พลิ้วไหวคงไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงนางยกมือขึ้น เหยาจีก็เบี่ยงตัวหลบออกไปก่อนแล้ว
“ฮูหยินน้อย!” เหยาจีก้าวถอยหลัง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งขรึม
มู่ฮูหยินน้อยตบได้เพียงอากาศ สีหน้าจึงดูไม่สู้ดียิ่งขึ้นไปอีก “แพศยา! เจ้ากล้าหลบข้าเชียวหรือ! เจ้าคิดว่ายามนี้ยังมีสามีอยู่ที่บ้าน คอยช่วยให้ท้ายเจ้าไปทุกเรื่องหรือไร”
เหยาจีเพียงหันมองนางเรียบๆ “ข้าไม่รู้ว่ายามนี้มู่หยางจะช่วยให้ท้ายข้าหรือไม่ ข้ารู้เพียงว่ายามนี้อยู่ในวังหลวง หากมู่ฮูหยินน้อยต้องการมีเรื่องจริงๆ ถึงเวลาคนที่จะดูไม่ดีคงมิได้มีเพียงฮูหยินน้อยท่านเท่านั้น แต่ยังมีจวนมู่หยางโหวด้วย”
มู่ฮูหยินน้อยถึงกับสะอึกไป นางย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่พ่อสามีแม่สามีนางรักเป็นที่สุดก็คือเกียรติของจวนมู่หยางโหว เรื่องในวันนี้ไม่ว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด แต่หากมาเสียหน้าที่ในวัง ตนก็คงพูดให้ดีไปไม่ได้ แต่จะให้นางปล่อยเหยาจีไปเช่นนี้ นางก็ไม่ยินดีเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ยามมู่หยางอยู่ที่จวน ก็คอยปกป้องสตรีนางนี้และสร้างความลำบากให้ตนมาตลอด ยามนี้มู่หยางไปออกรบทำศึก แม่สามีของนางก็ด้วยเพราะตนยังไม่มีบุตร จึงเอ็นดูบุตรชายของสตรีนางนี้ และย่อมต้องเห็นแก่หน้านางอยู่หลายส่วน อีกทั้งสตรีนางนี้ก็รับมือขึ้นยากกว่าเมื่อก่อนมากนัก ไม่ว่าจะในที่ลับหรือในที่แจ้งก็ไม่สามารถสร้างข้อได้เปรียบได้เลย ครานี้กว่าจะหาข้ออ้างมาหาเรื่องนางได้ ก็กลับมาอยู่ในสถานที่เช่นในวังนี้อีก และถึงขั้นไปรบกวนชายาติ้งอ๋องเข้าอีกด้วย
นางกวาดสายตาที่เจือไปด้วยความโกรธไปยังเยี่ยหลีกับเด็กชายสามคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่ก่อนเอ่ยว่า “ทำไม ที่ชายาติ้งอ๋องมาเพื่อให้ท้ายนังแพศยาคนนี้หรือ เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่า อนุชั้นต่ำของจวนมู่หยางโหวเราทำให้ชายาติ้งอ๋องต้องใส่ใจถึงเพียงนี้แล้ว”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยกับมู่ฮูหยินนน้อยเรียบๆ ว่า “มู่ฮูหยินน้อยคิดมากเกินไปแล้ว ข้าเพียงได้ยินเสียงร้องจึงมาดูเท่านั้น เผื่อว่าเด็กๆ จะได้รับอันตราย”
ปากเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่ในใจเยี่ยหลีกลับลอบถอนใจด้วยความเสียดาย ชั่วเวลาเพียงไม่กี่ปี มู่ฮูหยินน้อยผู้นี้เมื่อเทียบกับเมื่อหลายปีก่อนที่ถึงแม้จะเจ้าแผนการแต่ก็ยังคงเป็นสตรีสาวที่บอบบางอ่อนหวาน นางเปลี่ยนไปมากเลยจริงๆ สิ่งที่ยากจะเข้าใจที่สุดก็คือ นางเอาความโกรธแค้นที่มีต่อตัวเยี่ยหลีมาจากที่ใดกัน
ถึงแม้การที่ทุกวันนี้เหยาจีกลับไปอยู่ที่จวนมู่หยางโหว ถือเป็นคำสั่งของนาง แต่มู่ฮูหยินน้อยผู้นี้ไม่มีทางรู้ ส่วนที่พวกนางเคยได้พบกันเมื่อหลายปีก่อนครั้งหนึ่ง เยี่ยหลีก็ลองถามตนเองดูแล้วว่าตนไม่ได้เข้าข้างเหยาจี
“ดูท่านมู่ฮูหยินน้อยก็คงไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าคงไม่รบกวน ขอตัว” เยี่ยหลีพูดจบ ก็หันไปเอ่ยกับม่อตัวน้อยว่า “ยังไม่พาจวินหานมาอีก เจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ที่ไปก่อความวุ่นวายไว้”
ม่อตัวน้อยเบ้ปากน้อยๆ ของตน ก่อนค่อยๆ เดินเข้ามาเงยหน้าเอ่ยกับเยี่ยหลีว่า “ลูกไม่ได้ก่อความวุ่นวายเสียหน่อย ลูกแค่ได้พบเพื่อนใหม่คนหนึ่ง ท่านแม่ ลูกอยากเล่นกับเขา”
ม่อตัวน้อยชี้ไปทางเด็กน้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ ซึ่งก็คือนายน้อยเพียงคนเดียวของจวนมู่หยางโหวในปัจจุบัน มู่เลี่ย
เยี่ยหลียังไม่ทันเอ่ยอันใด ก็ได้ยินเสียงมู่ฮูหยินน้อยหัวเราะอย่างดูแคลน ก่อนเอ่ยเสียงแหลมว่า “ซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักติ้งอ๋องช่างมีรสนิยมที่พิเศษนัก เอาแต่จะวิ่งไล่ตามไปเล่นกับลูกของอนุแพศยาคนหนึ่ง ก็ไม่แปลกหากจะไม่รู้จักมารยาทเอาเสียเลย…” ระหว่างที่พูดยังได้มองเสื้อท่อนบนของตนด้วยความรังเกียจ ที่ไปเลอะอันใดเข้าก็ไม่รู้ได้ ชุดสีแดงสดอย่างสีงานมงคลและหรูหราที่นางสวมอยู่นั้น ยิ่งทำให้ดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
เหยาจีที่ยืนอยู่ข้างๆ ดึงนางไว้ พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮูหยินน้อย ระวังคำพูดด้วย”
มู่ฮูหยินน้อยหันไปถลึงตาดุๆ ใส่เหยาจี ความโกรธยิ่งมีมากขึ้น ชุดที่นางสวมอยู่ ถูกติ้งอ๋องซื่อจื่อที่อยู่ในชุดสีดำหน้าตาหล่อเหลาและดูเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษผู้นั้นเป็นคนทำให้อยู่ในสภาพนี้ เดิมทีนางพาเหยาจีมาเดินอยู่ในอุทยาน และพูดจาถากถางเหน็บแนมแม่ลูกคู่นี้อยู่ได้เพียงไม่กี่ประโยค ก็พอดีเห็นว่ามีเด็กน้อยที่อยู่ในชุดขาวคนดำคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้ นางแต่งงานกับมู่หยางมาหลายปีแต่กลับยังไม่มีบุตร ดังนั้นเมื่อเห็นบุตรของผู้อื่น จึงรู้สึกทั้งอิจฉาและชื่นชอบเป็นพิเศษ แน่นอนว่า ไม่นับมู่เลี่ยที่เกิดจากเหยาจี
มู่ฮูหยินน้อยเห็นว่าเด็กทั้งสองกำลังนั่งยองๆ เล่นอันใดกันอยู่ในอุทยาน จึงเดินเข้าไปดูเด็กทั้งสอง องครักษ์ลับที่ติดตามม่อตัวน้อยอยู่ เมื่อเห็นนางมิได้ดูประสงค์ร้าย ขณะเดียวกันก็เห็นซื่อจื่อน้อยของตนทำมือส่งสัญญาณบางอย่าง จึงไม่ได้เข้ามาขวาง ผู้ใดเลยจะรู้ว่า นางยังไม่ทันนั่งลงดีและยังไม่ทันถูกตัวม่อตัวน้อย ก็มีบางอย่างกระโดดออกมาจากอกของม่อตัวน้อย มู่ฮูหยินน้อยตกใจ รีบคิดจะหลบ แต่เท้ากลับไปสะดุดบางอย่างเข้าทำให้นางล้มลงกับพื้น เจ้าตัวดำๆ เปียกๆ นั่น ไม่รู้ว่าเป็นแมวหรือหมาตัวเล็กๆ กระโดดมาเหยียบบนตัวนางอยู่หลายทีก่อนจะกระโดดหายไปอย่างรวดเร็ว
เท่านั้นยังไม่พอ ม่อตัวน้อยที่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลับไม่มีท่าทีเสียใจหรือขอโทษ ซ้ำยังหัวเราะเยาะนางอย่างไร้ความเกรงใจอีกด้วย และยังได้หันไปชวนมู่เลี่ยร่วมหัวเราะไปกับเขาด้วย ที่แท้เมื่อครู่ที่มู่ฮูหยินน้อยเอ่ยวาจาถากถางเหน็บแนมเหยาจีกับมู่เลี่ยนั้น ล้วนได้ยินมาถึงหูของม่อตัวน้อยที่แสนจะหูไวตาไว ดังนั้นม่อซื่อจื่อ สหายตัวน้อยจึงตัดสินใจที่จะให้เกียรติสตรีสักครั้ง พร้อมกับถือโอกาสรู้จักเพื่อนใหม่ไปด้วย
ระหว่างที่พวกนางกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คุณหญิงและคุณหนูทั้งหลายที่เดินตามนางมาก็พากันมาถึงแล้ว เมื่อเห็นสภาพอันย่ำแย่ของมู่ฮูหยินน้อย สีหน้าก็ดูตกใจและนิ่งอึ้งไปเช่นกัน
มู่ฮูหยินน้อยเมื่อถูกทุกคนจ้องมองก็ทั้งอายทั้งโกรธ นางมีชาติกำเนิดที่สูงส่ง เมื่อได้แต่งเข้าจวนมู่หยางโหวก็ล้วนเป็นคนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี มีมารยาทยอมถอยให้นางสามส่วน เคยเสียเมื่อไรที่จะต้องเสียหน้าเช่นนี้
เมื่อโกรธถึงขีดสุด ความโกรธพุ่งขึ้นสู่สมอง จึงควบคุมปากตนเองไว้ไม่ได้อีก นางมองเยี่ยหลีพลางเอ่ยอย่างท่าทายว่า “หรือว่าไม่จริง ข้าเพียงอยากทักทายซื่อจื่อแห่งตำหนักติ้งอ๋องดีๆ เท่านั้น เขากลับทำข้าจนอยู่ในสภาพนี้ หากไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนแล้วจะคืออันใด!”
เยี่ยหลีหน้าบึ้งลงทันที เรื่องนี้บางทีอาจเป็นม่อตัวน้อยที่ทำไม่ถูก แต่สิ่งที่มู่ฮูหยินน้อยเอ่ยออกมาก็รุนแรงเกินไปจริงๆ อีกอย่าง คนของตำหนักติ้งอ๋องก็มิใช่เรื่องที่จวนมู่หยางโหวจะมาสั่งสอน!
ฮูหยินและคุณหนูทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นมองมู่ฮูหยินน้อยด้วยสีหน้าประหนึ่งกำลังมองคนเสียสติ
ไม่ต้องรอให้เยี่ยหลีเอ่ยปาก ม่อตัวน้อยก็ยื่นศีรษะออกมาจากด้านหลังเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ ไม่ใช่อย่างนั้น ลูกไม่ได้ตั้งใจ” ดวงตาโตดำขลับกรอกไปมา เมื่อคุณนายและคุณหนูรอบๆ เห็นเช่นนั้นจิตใจก็เอนเอียงไปฝั่งหนึ่งทันที
เยี่ยหลีอมยิ้ม ก้มลงไปลูบศีรษะเด็กน้อยพลางเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นเรื่องมันเป็นอย่างไร พูดให้แม่ฟังซิ”
ม่อตัวน้อยเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “ลูกเห็นว่าตรงนั้นมีลูกหมาตัวหนึ่งตกน้ำอยู่ ก็ให้คนไปช่วยมันขึ้นมา ลูกกับเหลิ่งเอ๋อน้อยกำลังช่วยกันคิดว่าจะทำให้ลูกหมาตัวนั้นตัวแห้งได้อย่างไรอยู่พอดี จู่ๆ ท่านป้าท่านนี้ก็เข้ามาข้างหลังคิดจะตีลูก ลูกตกใจ ลูกหมาตัวนั้นก็เลยกระโดดออกมา จากนั้น…ท่านแม่ ลูกไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เสื้อผ้าของท่านป้าสกปรก…เพียงแต่…ท่านป้าท่านนั้นโกรธมาก ท่านแม่ พวกเราชดใช้เสื้อผ้าให้นางชุดหนึ่งได้หรือไม่ ลูกไม่มีเงิน ท่านแม่ช่วยออกให้ลูกก่อน ไว้ลูกโตแล้วจะหาเงินมาคืนท่าน”
เมื่อเห็นเด็กน้อยหน้าตาหล่อเหลาที่ยังโตไม่พ้นช่วงขา ปรึกษาหารือกับมารดาของตนด้วยท่าทีจริงจังเช่นนั้น คุณนายและคุณหนู ณ ที่นั้น ต่างก็พากันใยอ่อนยวบ แต่หากพวกนางเคยมีประสบการณ์มาเช่นเดียวกับเยี่ยหลี ก็คงจะพูดได้คำเดียวว่า โดนหลอกแล้ว กลุ่มคุณหญิงคุณหนูทั้งหลายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างสุขสบาย ถูกเด็กน้อยตรงหน้าที่ดูว่าง่ายน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งยังจิตใจดีกล้ายอมรับผิดหลอกเข้าให้เสียแล้ว
“ซื่อจื่อน้อย นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ เชื่อว่ามู่ฮูหยินน้อยคงไม่ว่ากระไร” รีบมีคนเอ่ยปากปลอบโยน
“จริงหรือ” ม่อตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองฮูหยินที่พูดผู้นั้น ในดวงตาที่ดำขยับเต็มไปด้วยแววกังวล
“แน่นอน เสื้อผ้าชุดหนึ่งก็มิได้มีค่าราคาแพงอันใด ซื่อจื่อน้อยไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก” ฮูหยินท่านนั้นรีบเอ่ยยืนยัน โดยมิได้สนใจเจ้าของเรื่องที่ยืนหัวโด่อยู่สักนิด
องครักษ์ลับที่ยืนอยู่ได้แต่มองม่อตัวน้อยด้วยสายตาเลื่อมใส ซื่อจื่อน้อยของพวกเขา อายุเพียงเท่านี้ก็รู้จักว่าอันใดเรียกศิลปะการพูดโกหก อันใดเรียกหลีกหนักให้เป็นเบา อันใดเรียกโกหกโดยไม่กะพริบตาเสียแล้ว ช่าง…มีอนาคตที่ยาวไกลยิ่งนัก
แน่นอนว่า หากมองข้ามเรื่องที่ลูกหมาตัวนั้นตกน้ำไปเพราะซื่อจื่อของตนทำหล่นลงไปโดยไม่ทันระวัง หากมองข้ามเรื่องที่เขาจับโยนลงไปหลังจากที่มู่ฮูหยินน้อยเดินเข้ามาในอุทยาน หากมองข้ามเรื่องที่ซื่อจื่อน้อยเช็ดลูกหมาตัวนั้นให้แห้งแต่กลับยิ่งเช็ดยิ่งเปียก ทั้งยังเประเปื้อนสีมากขึ้นด้วยแล้ว อันที่จริงซื่อจื่อน้อยของพวกเขาก็ไม่ได้พูดโกหก
ยิ่งเมื่อเห็นสีหน้าสงสารของบรรดาสตรีที่ถูกซื่อจื่อน้อยหลอกเข้าให้ ก็ได้แต่ลอบส่ายหน้า หากมีเวลามาสงสารซื่อจื่อน้อยของพวกเขาที่แม้แต่บางครั้งท่านอ๋องยังต้องพ่ายแพ้ สู้เอาเวลาไปสงสารลูกหมาตัวนั้นที่ไม่รู้วิ่งไปอาบน้ำที่ไหนแล้วเสียจะดีกว่า
เยี่ยหลีตบศีรษะลูกน้อยอย่างไม่หนักไม่เบานัก ดูเหมือนเป็นการปลอบโยนแต่เอาเข้าจริงกลับกำลังเตือนเขาว่าให้หยุดแต่เพียงเท่านี้
ม่อตัวน้อยกะพริบตาปริบๆ หลบไปอยู่ข้างเยี่ยหลีอย่างว่าง่าย มือซ้ายจูงเหลิ่งจวินหานส่วนมือขวาจูงมู่เลี่ย ท่าทางประหนึ่งเด็กน้อยที่ว่าง่าย
เยี่ยหลีมองไปทางมู่ฮูหยินน้อยที่ใบหน้าบึ้งตึง ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ลูกของข้าซุกซนไปชั่วขณะ มู่ฮูหยินน้อยโปรดอภัยด้วย ลูกข้าเห็นคุณชายน้อยมู่แล้วรู้สึกเหมือนได้รู้จักกันมานาน ก็ปล่อยให้พวกเขาเล่นด้วยกันสักพักเถิด ฮูหยินน้อยเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
สีหน้ามู่ฮูหยินน้อยฉายแววรังเกียจ เอ่ยเสียงเย็นว่า “มู่เลี่ยนิสัยโหดร้าย ชอบเล่นแรงๆ ทั้งยังไร้มารยาทอย่างมาก เกรงว่าจะทำให้ซื่อจื่อน้อยเสียเด็ก”