สิ้นสุดเดือนพฤษภาคมในปีนี้ ไม่ถึงสองเดือนหลังจากที่ฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งต้าฉู่ขึ้นครองบัลลังก์ อำนาจส่วนใหญ่ในราชสำนักอยู่ในมือของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ อย่างไรก็ตามคลื่นใต้น้ำภายในราชสำนักยังคงไม่หยุดนิ่ง ความคิดของหลีอ๋องนั้นชัดเจนเกินไป และเหล่าขุนนางผู้คุณธรรมสูงส่งที่สนับสนุนรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นในราชสำนักก็ค่อยๆ รวมตัวกันแล้ว สร้างสมดุลทางอำนาจระหว่างผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อย่างลับๆ
ชายแดนทางเหนือ สงครามหน้าด่านจื่อจิงยังดำเนินต่อไป พื้นที่ทางตอนเหนือขึ้นไปกว่านั้น กองทัพของเป่ยหรงก็ได้เริ่มเคลื่อนพลตั้งแต่ก่อนฤดูร้อนจะมาถึง ในวันที่ยี่สิบเดือนพฤษภามคม กองทัพซีหลิงได้เปิดฉากการรุกที่ซีหนานอีกครั้ง เพิ่งประสบกับความโกลาหลของสงครามเพียงไม่กี่ปี ประชาชนในซีหนานก็ถูกโยนเข้าสู่ในเปลวไฟแห่งสงครามอีกครั้ง
เมืองหลีแห่งซีเป่ย
บนภูเขาไม่ไกลจากตัวเมือง สำนักหลีซานที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเขียวยังคงเงียบสงบและสง่างามราวกับเป็นสถานที่นอกโลก เยี่ยหลีเดินผ่านป่าไผ่อันเงียบงัน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เสียงฉินดังอยู่ไม่ไกล ณ ที่โล่งภายในป่าไผ่ อาจารย์ชิงอวิ๋นผู้มีผมขาวราวกับหิมะ นั่งอยู่บนพื้น โดยมีฉินที่ทำมาจากไม้ต้นถงอยู่บนเข่า สัมผัสสายเบาๆ เพื่อหยุดเสียงฉินอันแผ่วเบา ไม่ไกลจากด้านหน้าเขา ซูเจ๋อผู้มีเคราขาวเช่นเดียวกันนั่งอยู่ ฟังเสียงฉินพลางดื่มด่ำชาอย่างสบายใจ
“หลีเอ๋อร์มาแล้วหรือ” อาจารย์ชิงอวิ๋นหยุดมือที่กำลังดีดฉิน หันกลับไปมองเยี่ยหลีพลางยิ้มให้บางๆ
“ท่านตา ผู้อาวุโสซู” เยี่ยหลีเอ่ยด้วยเสียงเบา เดินไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงอาจารย์ชิงอวิ๋นนั่งลงบนม้านั่งหินตรงหน้าซูเจ๋อ ซูเจ๋อรินชาให้ทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “เหตุใดพระชายาถึงมาในเวลานี้เล่า มาหาซื่อจื่อหรือ” เยี่ยหลียิ้ม ก่อนจะพูด “การที่เสี่ยวเป่าได้รับการสอนจากท่าตาและผู้อาวุโสซู ทำให้ข้าวางใจมาก เด็กๆ เหล่านั้นไม่รบกวนท่านตาและผู้อาวุโสซูใช่ไหม” วันนี้ไม่ได้มีแค่ลูกศิษย์ที่เล่าเรียนในสำนักหลีซานเท่านั้น แต่ยังมีเด็กอีกสามคนด้วย ม่อเสี่ยวเป่าต้องมาเรียนที่สำนักหลีซาน แม้ว่าเหลิ่งจวินหันจะยังเด็ก แต่ก็ได้ติดตามมา ด้วยเหตุนี้ฉินเจิงจึงส่งสวีจือรุ่ยของตนมาด้วย บอกว่าเด็กสามคนจะได้มีเพื่อน
“ซื่อจื่อฉลาดกว่าท่านอ๋องในตอนนั้นอยู่สามส่วนเลยละ จะต้องเปลืองแรงที่ไหนกัน” ซูเจ๋อพูดพลางหัวเราะ เมื่อเอ่ยถึงม่อเสี่ยวเป่า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรักและความเมตตา เขาชอบความฉลาดของม่อเสี่ยวเป่ามาตั้งแต่แรกแล้ว ม่อเสี่ยวเป่ายังเคารพและสุภาพต่อซูกงกงเฉกเช่นทวดมิปาน ย่อมทำให้ผู้อาวุโสซูผู้ไม่มีบุตรนั้นรักเขาอย่างสุดซึ้ง บางครั้งอาจารย์ชิงอวิ๋นก็ยังต้องพ่ายแพ้ ต้องบอกว่าม่อเสี่ยวเป่าจะยังอายุไม่เท่าไร แต่คำพูดประจบสอพลอไปไกลเกินเอื้อมของผู้ใหญ่หลายคน
อาจารย์ชิงอวิ๋นมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าอ่อนโยนและใจดี “หลีเอ๋อร์เดินมาถึงที่นี่ แสดงว่าจะต้องเดินทางไกลแล้วใช่ไหม”
เยี่ยหลีมองอาจารย์ชิงอวิ๋นด้วยความประหลาดใจ “ท่านตาอยู่ในสำนักหลีซาน ที่แท้ก็รับรู้เรื่องภายนอก แม้แต่เรื่องปัจจุบันในใต้ฟ้าก็เป็นที่รู้เป็นอย่างดี”
ซูเจ๋อส่ายหัวพลางยิ้มก่อนจะเอ่ย “สิ่งที่ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นไม่รู้คือกิริยาท่าทางและคำพูด แต่เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โหราศาสตร์และการแพทย์ เขาบอกข้าเมื่อเช้านี้ว่าดวงดาวของท่านอ๋องและพระชายาย้ายตำแหน่ง เกรงว่าจะต้องเดินทางไกลในอนาคตอันใกล้นี้ พระชายาก็มาถึงที่นี่แล้วอย่างไรเล่า”
“เช่นนี้ก็ได้หรือ” แม้ว่าเยี่ยหลีจะเคยได้ยินวิชาที่เรียกว่าโหราศาสตร์ แต่นางก็ไม่ได้ศึกษาแม้แต่น้อย เนื่องจากกระดูกยังคงสลักร่องรอยของอดีตไว้ จึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่ประมาณหนึ่ง “เช่นนั้น ท่านตายังเห็นสิ่งใดอีก”
อาจารย์ชิงอวิ๋นลูบเคราขาว ส่ายหัวพลางถอนหายใจ “ใต้ฟ้า…ยุ่งเหยิงเหลือเกิน ความวุ่นวายครั้งนี้……เป็นสิ่งที่พบได้ยากในรอบหลายร้อยปี”
เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ชิงอวิ๋น ไม่เพียงแต่เยี่ยหลีเท่านั้นแม้แต่ซูเจ๋อยังมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา ซูเจ๋อเอ่ยขึ้นอย่างเสียดาย “เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”
อาจารย์ชิงอวิ๋นส่ายหัวและเอ่ยว่า “จลาจลครั้งนี้…มันถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไม่กี่ปีก่อนแล้ว และไม่มีการพลิกผันใดๆ หลีเอ๋อร์ ตระกูลสวีในรุ่นนี้มีเจ้าและพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นผู้เชิดหน้าชูตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้า…เกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกนี้ แต่ประชาชนเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรจะต้องไม่จุดชนวนความโกรธแค้นให้กับผู้บริสุทธิ์ เจ้าและติ้งอ๋องจะต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด”
เยี่ยหลีพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ท่านตาโปรดอย่ากังวล ซิวเหยาไม่ใช่คนเช่นนั้น” เยี่ยหลีเข้าใจสิ่งที่อาจารย์ชิงอวิ๋นจะบอก ในยุคนี้ไม่มีปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน คนทั่วไปไร้ค่าดั่งต้นหญ้า มีบันทึกการเข่นฆ่าประชากรในเมืองต่างๆ มากมายในประวัติศาสตร์ของทุกราชวงศ์ แม้ว่าจะถูกปกปิดโดยชนชั้นปกครอง แต่คนรุ่นหลังก็ยังสามารถมองเห็นร่องรอยบางอย่างจากมันได้ แต่เยี่ยหลีไม่คิดว่านางจะทำเช่นนี้ ไม่ว่าความเป็นมนุษย์พื้นฐานหรือสถานะที่เคยเป็นทางทหารก็ไม่อนุญาตให้นางทำเรื่องแบบนี้ และนางก็เชื่อด้วยว่า ม่อซิวเหยาจะไม่ทำเรื่องแบบนี้เช่นกัน
เมื่อมองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่จริงจังของหญิงสาวตรงหน้า อาจารย์ชิงอวิ๋นถอนหายใจบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น มีความกังวลเล็กน้อยในดวงตาที่เต็มไปด้วยสติปัญญาและแสงสว่าง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อีกครั้ง “เอาละ เราทุกคนก็แก่แล้ว อนาคตขึ้นอยู่กับคนหนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าแล้ว ไปไหนมาไหนก็ระวังตัวด้วยนะ”
เยี่ยหลีพยักหน้าและพูดพลางยิ้ม “ท่านตา ไม่ต้องกังวล เพียงแต่หลังจากที่พวกเราจากไป ก็จะเหลือแค่พี่ใหญ่ที่อยู่ในเมืองหลีแล้ว ขอให้ท่านตาพูดกับลุงใหญ่กับลุงรองให้ที กลัวว่าพี่ใหญ่จะรับมือคนเดียวไม่ไหว” ลุงรองสวีหงเยี่ยนมาสอนหนังสือที่สำนักหลีซานตั้งนานแล้ว ส่วนลุงใหญ่แม้ว่าจะยังอยู่ที่เมืองหลี แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจการเกษตร เขาไปหาพี่สี่และน้องห้าหลายครั้งในปีนี้ แม้ว่าเรื่องนี้จะสำคัญมากเช่นกัน ทว่าจะให้สวีหงอวี่รับผิดชอบ มันกลับดูเหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนไปเสียหน่อย
อาจารย์ลูบเคราและเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้พวกเขาว่าง นั่นเป็นเพราะไม่มีงานอะไร ตอนนี้มีงานกันแล้ว ย่อมต้องกลับไป จะให้ข้าพูดอะไรได้หรือ”
เยี่ยหลีกระพริบตา คิดได้ฉับพลับ “ขอบคุณท่านตาที่ชี้แนะ หลีเอ๋อร์เข้าใจแล้ว”
อาจารย์ชิงอวิ๋นพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “ตารู้ว่าเจ้ายุ่งมาก ไม่จำเป็นต้องอยู่กับคนแก่อย่างพวกเราหรอก ไปเถิด”
เยี่ยหลีถึงได้ลุกขึ้นบอกลาอาจารย์ชิงอวิ๋นและซูเจ๋อก่อนจะจากไป
มองร่างสง่างามค่อยๆ เดินห่างไปไกล ซูเจ๋อส่ายหัว พูดกับอาจารย์ชิงอวินว่า “พระชายาติ้งอ๋องจะออกศึกกับติ้งอ๋องจริงหรือ ท่านอาจารย์ชิงอวิ๋นวางใจ้ได้หรือ” อาจารย์ชิงอวิ๋นส่ายหัวพลางถอนหายใจ เอ่ย “เด็กโตแล้ว ตอนแรกคิดว่าหลีเอ๋อร์ยังเด็กกว่าเฉินเอ๋อร์อยู่เล็กน้อย…”
ซูเจ๋อเคยได้พบกับเยี่ยหลีตอนเด็ก ในเวลานั้นตระกูลสวียังอยู่ในฉู่จิง และแม่ผู้ให้กำเนิดของเยี่ยหลียังไม่เสียชีวิต ในเวลานั้นใครจะไปคิดว่าเด็กหญิงผิวอมชมพูตัวน้อยจะเติบโตเป็นพระชายาติ้งอ๋องผู้ปกครองประเทศด้วยวัฒนธรรมและรักษาความสงบสุขด้วยศิลปะการต่อสู้กันเล่า
อาจารย์ชิงอวิ๋นขมวดคิ้ว เอ่ย “ข้าแน่ใจว่าความโกรธในใจของติ้งอ๋องยังไม่สลายไป กลัวก็แต่ความแค้นในใจจะมากเกินไปจนทำร้ายชี่ในร่างกาย พอมีหลีเอ๋อร์คอยติดตามแล้วเกลี่ยกล่อมเขาได้บ้าง ก็ค่อยยังชั่วหน่อย”
“เป็นไปได้อย่างไร” ซูเจ๋อขมวดคิ้วพลางเอ่ย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม้ว่าเขาจะไม่ได้เลี้ยงดูม่อซิวเหยานานเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าบ่อยอยู่เหมือนกัน แม้ผมจะขาวทั้งหัว ทว่านิสัยใจคอของม่อซิวเหยากลับดีกว่าตอนเป็นชายหนุ่มอยู่ไม่รู้กี่เท่า แม้แต่หน้าตาตอนปกติก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่ดูโหดร้ายในใจของเขาได้
อาจารย์ชิงอวิ๋นส่ายหัว เอ่ย “เราทุกคนรู้นิสัยใจคอของติ้งอ๋องตอนที่เขายังเด็ก แต่นิสัยในตอนนี้ของเขา…กลับทำให้ไม่สบายใจ หากมองจากนิสัยเดิมของเขา เจ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไรกับม่อจิ่งฉี” ซูเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่ แต่ก็แสยะยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ตาต่อตาฟันต่อฟัน กลัวก็แต่ตอนทำกลับจะกลายเป็นมากกว่าเดิมสิบเท่า แต่ก็ผ่านมาหลายปีแล้ว นิสัยของติ้งอ๋องได้รับการขัดเกลาบ้างแล้วจริงๆ นะ” อาจารย์ชิงอวิ๋นยิ้มอย่างไม่แยแสก่อนจะเอ่ย “นิสัยของคนตระกูลม่อต่างก็เหมือนกัน ถูกขัดเกลาได้ง่ายขนาดนั้นที่ไหนเล่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในตอนนั้นบอกว่าเทียบจากท่านอ๋องหลายๆ รุ่นติ้งอ๋องเป็นคนที่อารมณ์ดีที่สุดในจวนติ้งอ๋องแล้วใช่ไหม ดาบสุดท้ายก่อนตายนั้น เจ้าเห็นว่าฮ่องเต้องค์ก่อนทนไหวไหม”