เหลิ่งฉิงอวี่ขมวดคิ้ว เอ่ย “ติ้งอ๋องทำเช่นนี้ได้อย่างไร! เขาไม่กลัวประชาชนของต้าฉู่แฉโคตรเหง้าหรือ”
เหลิ่วเฮ่าอวี่เลิกคิ้ว ขณะที่กำลังแอบกระซิบกระทราบกับมู่หรงถิง เขาหัวเราะเยาะก่อนจะพูดเบาๆ “เหตุใดติ้งอ๋องถึงทำเช่นนี้ไม่ได้ จวนติ้งอ๋องกับต้าฉู่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันมาตั้งหลายปีแล้ว ทำไมพี่ใหญ่ถึงคิดว่าจวนติ้งอ๋องจะส่งกำลังพลมาช่วยเหลือต้าฉู่ จวนติ้งอ๋องปกป้องต้าฉู่มาร้อยกว่าปี แต่ไม่ซาบซึ้งในบุญคุณของพวกเขา มีเรื่องคราวนี้คนเขาไม่ยอมช่วยกลับมาบอกว่าเป็นบาปมหันต์เลยหรือ”
เหลิ่งฉิงอวี่ขมวดคิ้ว มองเหลิ่งเฮ่าอวี่ด้วยสายตาไม่พอใจ เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร กองทัพตระกูลม่อเป็นขุนนางของต้าฉู่ ศิษย์ของกองทัพตระกูลม่อเป็นประชาชนของต้าฉู่ ม่อซิวเหยานิ่งดูดายในเวลานี้ ต่างอะไรกับการได้ทีขี่แพะไล่หรือ อีกทั้ง…ฮ่องเต้องค์ก่อนได้ออกพระราชโองการสำนึกตนและคืนเกียรติทั้งหมดของจวนติ้งอ๋องให้แล้ว จวนติ้งอ๋องย่อมเป็นขุนนางของต้าฉู่”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มเย็นออกมาอย่างเหยียดหยาม “มีใครออกกฏว่าฮ่องเต้องค์ก่อนออกพระราชโองการสำนึกตนแล้วจวนติ้งอ๋องจะต้องยอมรับหรือ มีคนกำหนดว่าขอโทษแล้วต้องยกโทษให้ไหม พี่ใหญ่ หากน้องเผลอแทงที่ใหญ่ไปหนึ่งที คิดว่าพี่ใหญ่คงไม่ใจกว้างยกโทษให้น้องใช่ไหม” เห็นเหลิ่งฉิงอวี่ทำหน้าเขียว เหลิ่งเฮ่าอวี่ยักไหล่ ยื่นมือออกไป “ท่านดูสิ เราเป็นพี่น้องแท้ๆ นะ พี่ใหญ่ยังไม่ยอมยกโทษให้น้องเลย อีกอย่างจวนติ้งอ๋องกับฮ่องเต้องค์ก่อนก็มีความสัมพันธ์กันมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นแล้ว”
“พอแล้ว ตอนนี้ใช่เวลามาเถียงกันไหม” เหลิ่งไหวกรอกตาด้วยความปวดหัว พี่น้องสองคนที่ไม่มีวันถูกใจกัน ก่อนจะพูดกับเหลิ่งฉิงอวี่ “น้องรองของเจ้าพูดถูก คำพูดเหล่านี้ต่อไปอย่าพูดอีก” สีหน้าของเหลิ่งฉิงอวี่เดิมทีก็ไม่ดีอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งหน้าดำคล้ำเครียดไปกันใหญ่ การที่ท่านพ่อเข้าข้างเหลิ่งเฮ่าอวี่ทำให้เขาไม่เคยชิน ตั้งแต่ครั้งที่เหลิ่งเฮ่าอวี่พามู่หรงถิงปรากฏตัวในสนามรบและช่วยเหลิ่งไหวที่เกือบได้รับบาดเจ็บจากลูกธนู ท่านพ่อก็เหมือนจะเอนเอียงไปทางน้องชายอยู่เล็กน้อย
อันที่จริงคำพูดของเหลิ่งไหวมีส่วนหนึ่งที่เห็นด้วยกับความคิดของเหลิ่งเฮ่าอวี่ แต่ความจริงที่มากกว่านั้นก็เพื่อหวังดีต่อลูกชายคนโต ในเมื่อเขาเป็นคนสอนเรื่องเส้นสนกลในและความสามารถลับๆ ของจวนติ้งอ๋อง ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ก่อนไม่อยู่แล้ว พวกเขากับจวนติ้งอ๋องไม่ถือว่าอยู่ฝั่งตรงข้ามกันแล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปว่าติ้งอ๋องแล้ว สำหรับลูกชายคนเล็กคนนี้ที่ไม่ลืมหูลืมตา…เหลิ่งไหวมองเหลิ่งเฮ่าอวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้และพูดคุยหยอกล้อกับภรรยาด้วยความสงสัยเล็กน้อย สายตาฉายแววครุ่นคิด
อันที่จริงเหลิ่งไหวไม่ถือว่าไม่สนใจลูกชายจากภรรยานอกสมรส เมื่อเทียบกับเฟิ่งไหวถิงที่ไม่ดูดำดูดีเฟิ่งจือเหยาแล้ว เขายังถือว่าได้อบรมสั่งสอนเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ เพียงแต่เมื่อเหลิ่งเฮ่าอวี่อายุมากขึ้นก็ยิ่งดื้อรั้นมากขึ้นด้วย กินดื่มเที่ยวผู้หญิง การพนันและทุกอย่างค่อยๆ ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างสิ้นเชิง ส่วนเรื่องที่จู่ๆ เหลิ่งเฮ่าอวี่บอกว่าอยากจะทำการค้า แม้ว่าเขาจะไม่ดีใจที่ลูกชายอยากทำอาชีพค้าขาย แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามปราม อย่างน้อยเมื่อเทียบกับคนรักการกินดื่มและสนุกสนานไปวันๆ แล้ว การเป็นพ่อค้าแม้จะสถานะต้อยต่ำ แต่ก็ยังถือว่าเป็นงานที่สุจริต อีกทั้งเหลิ่งเฮ่าอวี่เป็นลูกชายจากภรรยานอกสมรส เดิมทีก็ไม่สามารถได้ตำแหน่งใดๆ อยู่แล้ว กระทั่งจะสอบเข้าเป็นขุนนางยังยาก หากมาทำการค้าอย่างน้อยยังพอมีกินมีใช้ อีกทั้งยังมีจวนแม่ทัพคอยหนุนหลังเขาอยู่ อย่างน้อยก็ไม่มีใครกล้ามารังแกเขา
จนกระทั่งครั้งนี้เหลิ่งไหวถึงจะค้นพบว่า ที่แท้ตนเองนั้นมองลูกชายนี้ผิดมาตลอด เหลิ่งไหวยังจำสงครามกลางเมืองวันนั้นได้ การรุกของกองทัพฝ่ายเหนือดุเดือดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน และเมืองเกือบจะถูกปกคลุมไปด้วยสายฝนของลูกศร เหลิ่งไหวที่ยืนคุมสงครามหัวเมือง ดูลูกศรแหลมคมหลายลูกยิงใส่ตัวเองซึ่งๆ หน้า ทว่าลูกชายคนรองกลับปรากฏตัวขึ้นที่หัวเมืองทันควัน ก่อนจะร่ายรำเพลงกระบี่ร่างแหด้วยดาบยาวในมือ และหยุดลูกศรมากมายราวกับฝนตก ธนูทั้งหมดก็ร่วงหล่น เมื่อเขากลับมามีสติอีกครั้ง มู่หรงถิงที่ติดตามมาก็ดึงเขาเข้าไปใต้ขอบกำแพงเมืองแล้ว เพียงแค่มองไปที่การร่ายรำเพลงกระบี่ร่างแห ชักดาบขึ้นและเหวี่ยงดาบออกอย่างง่ายดายและสง่างาม แทบจะไม่มีลมลอดผ่านเข้ามาได้เลย เหลิ่งไหวก็รู้ว่าทักษะของลูกชายคนรองนั้นเหนือกว่าลูกชายคนโตของเขาที่ภูมิใจมาโดยตลอด
คิดถึงข่าวของตระกูลเฟิ่งที่ถูกส่งมาจากเมืองหลวงเมื่อเดือนที่แล้วอีกครั้ง เฟิ่งจือเหยาเป็นคนที่ติ้งอ๋องไว้เนื้อเชื่อใจ เรื่องนี้เหลิ่งไหวรู้มาตลอด และลูกชายคนรองของตนนั้นสนิทกับเฟิ่งซาน…
เมื่อเหลิ่งเฮ่าอวี่สังเกตุได้ว่าพ่อกำลังคิดอะไรอยู่ จึงฉีกยิ้มแสนซนให้เหลิ่งไหวไปหนึ่งทีอย่างไม่แยแส แล้วหันกลับมาหยอกล้อกับมู่หรงถิงต่อ
มู่หยางที่มองสามพ่อลูกอยู่อีกด้าน ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา เขาคือลูกชายเพียงคนเดียวของจวนมู่หยางโหว ไม่มีน้องชายหรือน้องสาว ย่อมไม่ค่อยเข้าใจสงครามประสาทเช่นนี้แน่นอน แม้ว่าสถานะของเขาค่อนข้างใกล้เคียงกับเหลิ่งฉิงอวี่ แต่ความสัมพันธ์กับเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ไม่ได้แย่ เวลานี้แน่นอนว่าไม่ควรพูดอะไรมาก ได้แต่ถาม “แม่ทัพเหลิ่ง ที่ราชสำนักมีความประสงค์อะไรไหม”
เหลิ่งไหวส่ายหน้า เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเราปกป้องด่านจื่อจิง ไม่ให้คนเป่ยจิ้งเข้ามาในด่านจื่อจิงได้ จะต้องการความประสงค์อะไร”
คนอายุน้อยสองคนแสดงความเคารพ “ท่านแม่ทัพพูดถูก”
“ท่านพ่อพูดถูก”
อีกด้านหนึ่งในที่ที่มองไม่เห็น เหลิ่งเฮ่าอวี่แสยะยิ้มขึ้นอย่างเหยียดหยาม ปกป้องด่านจื่อจิ่ง…กองหลังของราชสำนักสกัดกั้นไว้อยู่ถึงจะได้ พอกองหลังถูกทลายแล้ว ทหารของด่านจื่อจิงสู้สุดชีวิตอย่างไรก็มีแต่ตายกับตาย
บนเก้าอี้ตำแหน่งประธาน คิ้วของเหลิ่งไหวก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาฉายแววความกังวลที่ไม่อาจเห็นได้ง่าย