ม่อซิวเหยายิ้มออกมาอย่างเกียจคร้าน “ข้าเข้าสู่ซีหลิง เหลยเจิ้นถิงก็กำลังเข้าสู่ต้าฉู่เช่นกัน อยากจะยกกองทัพกลับมาช่วย จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร ทหารของต้าฉู่แม้จะไก่กา แต่ก็มีหลายล้านไก่กากระมัง อีกทั้ง…ข้าตัดสินใจนำกำลังทหารไปออกศึกเพียงสี่แสนเท่านั้น ในซีเป่ยก็เหลือกองกำลังไว้เพียงสี่แสน ที่เหลือสี่แสน…ก็รอเหลยเจิ้นถิงอยู่ที่ชายแดน ถึงตอนนั้นหากข้ายังจัดการราชสำนักซีหลิงไม่ได้ และเหลยเจิ้นถิงมาทะลายการปิดล้อมของข้าแล้ว ก็เอาหัวของข้าไปให้เขาเตะเล่น!”
เมื่อได้ยินดังนี้ ต่อให้เป็นสวีชิงเฉินก็สูดลมหายใจเข้าอย่างอดไม่ได้ กองกำลังทหารเพียงสี่แสนนาย อยากจะตีตั้งแต่ชายแดนไปยังราชสำนักซีหลิง ต่อให้สวีชิงเฉินไม่เชี่ยวชาญด้านการสงคราม ก็ยังรู้สึกว่าสิ่งนี้ยากราวกับทะยานสู่นภา ม่อซิวเหยาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความกังวลของสวีชิงเฉินและสวีหงอวี่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้…กลัวก็แต่จะยุ่งยากและกินเวลานาน รบกวนพี่ใหญ่และท่านลุงคอยคุ้มกันซีเป่ยด้วย” ในหัวของสวีชิงเฉินสว่างวาบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านจะบอกว่าอาจจะมีคนฉวยโอกาสนี้โจมตีซีเป่ย”
“อืม…อาจจะเป็นไปได้” ม่อซิวเหยายิ้ม “หากเหลยเจิ้นถิงโจมตีวงล้อมไม่แตกในครั้งแรก ก็อาจจะอ้อมเข้าวังมาโจมตีซีเป่ย และข้า…อาจจะมาช่วยไม่ทันกาล ดังนั้น…” สีหน้าของสวีชิงเฉินเคร่งเครียดมากขึ้นทันใด “ข้าน้อยคิดว่าท่านอ๋องทราบ ว่าข้าน้อยอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง”
ม่อซิวเหยาโบกมือพลางยิ้มอย่างสุขใจ “เมื่อกวีไร้ความปรานีนั่นถึงจะเหนือชั้นกว่าคนอื่นๆ ข้าเชื่อมั่นในตัวคุณชาย คุณชายมีความสามารถในการวางแผนกลยุทธ์ เอาชนะได้ในระยะทางพันลี้ ข้ามอบทรัพย์สินทั้งตระกูลให้กับพี่ใหญ่ทั้งหมด หรือพี่ใหญ่อยากเห็นน้องสาวของท่านและน้องเขยพ่ายแพ้ราบคาบ ระหกระเหินอยู่ในแดนไกลโพ้น ไร้บ้านให้กลับหรือ”
“ม่อ ซิว เหยา…” ใบหน้าคุณชายชิงเฉินที่มีแต่รอยยิ้มมาแต่ไหนแต่ไรหายไปอีกครั้ง มองม่อซิวเหยาอย่างสงบนิ่ง แต่ก็มีกระแสที่น่าทึ่งภายใต้ความสงบ ม่อซิวเหยาเองก็รู้ว่าทำให้เขาโกรธจริงๆ แล้ว จึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้แกล้งเล่น แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้มันจำเป็นต้องคิดอย่างนั้น พี่ใหญ่โปรดอภัย”
สวีชิงเฉินส่งเสียงฮึออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วหันไปพูดกับเยี่ยหลี “หลีเอ๋อร์ เจ้าไม่คิดจะเปลี่ยนสามีที่ได้ดั่งใจกว่านี้หรือ”
เยี่ยหลียิ้ม ไม่ช่วยทั้งสองฝ่าย ม่อซิวเหยาจับเยี่ยหลีไว้ ก่อนจะกรอกตาใส่สวีชิงเฉินอย่างไม่พอใจ “คุณชายชิงเฉิน ยอมทำลายวัดสิบวัด แต่ไม่ยอมทำลายการแต่งงานแม้แต่ครั้งเดียว ข้ากับอาหลีรักดูดดื่ม คำพูดนี้ของท่านเสียมารยาทของวีรชนนะ” ไม่นาน ม่อซิวเหยาก็ทิ้งความรู้สึกผิดบางอย่างไว้ข้างหลัง ถลึงตาใส่คุณชายชิงเฉิน ชังอยู่ในใจ อยากจะแย่งอาหลีของข้าหรือ ฝันไปเถอะ!
โง่ ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรอก! คุณชายชิงเฉินพยายามไม่กรอกตาใส่
“พระชายา สวีฮูหยินและสวีฮูหยินรองอยากพบ” ในห้องหนังสือ ขณะที่ทั้งสี่คนกำลังหารือเกี่ยวกับการเตรียมการก่อนที่จะออกศึก ฉินเฟิงมารายงานอยู่นอกประตู เยี่ยหลีผงะ “ป้าใหญ่กับป้ารองหรือ” ฮูหยินสวีทั้งสองคนต่างก็รู้ เยี่ยหลีแตกต่างจากผู้หญิงที่เฝ้าพื้นที่เรือนหลังบ้านเพียงไม่กี่นิ้ว โดยปกติมักจะยุ่งในเรื่องใหญ่ๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่จะพบเยี่ยหลี แม้ว่าจะมาจวนติ้งอ๋องเพื่อเยี่ยมฮองเฮาและฮว่าเทียนเซียง หรือพบองครักษ์สวีชิงเฉินที่ไม่ยอมกลับบ้านบ้างบางครั้ง ก็สามารถเชิญพวกเขาเข้ามาได้เลย ในวันนี้ต้องเป็นเรื่องที่สำคัญแน่ๆ ถึงได้มาขอพบอย่างเป็นทางการเช่นนี้
เยี่ยหลีกระพริบตา มองดูสวีชิงเฉินและสวีหงอวี่ที่นั่งอยู่อีกด้าน สวีหงอวี่ยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลีเอ๋อร์ไปพบพวกนางเถอะ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย มองไปทางสวีชิงเฉิน สีหน้าของสวีชิงเฉินสงบนิ่งเป็นธรรมชาติ เมื่อสบตากับสายตาข่มขู่ของเยี่ยหลีเมื่อครู่ ถึงได้กระแอมออกมา ก่อนจะเอ่ย “เรื่องพี่สามของเจ้า”
พี่สามหรือ เยี่ยหลีกระพริบตาถึงจะนึกขึ้นได้ ครั้งนี้สวีชิงเฟิงจะออกศึกกับพวกเขาด้วย ในเวลานี้ ฮูหยินทั้งสองมาหานางก็เพราะเรื่องของสวีชิงเฟิง สุดท้ายก็รู้โดยไม่ต้องเอ่ย ส่ายหัวอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เยี่ยหลีถามขึ้นว่า “วันนี้พี่สามไม่มีธุระไม่ใช่หรือ เขาไม่กลับบ้านหรือ”
สวีชิงเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันก่อนกลับไปแล้ว ไปโผล่หน้าให้เห็นก็หายตัวไปอีกแล้ว มีคนบอกว่าเข้ามาที่จวนติ้งอ๋องเมื่อเช้าตรู่วันนี้”
เยี่ยหลีมองฉินเฟิงที่อยู่หน้าประตู ฉินเฟิงก้มหันกระแอมหนึ่งที ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “เช้าวันนี้คุณชายสวีสามมาที่จวนอ๋องจริงๆ ทะเลาะกับคนอื่นๆ ในห้องฝึกศิลปะการต่อสู้ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ไปที่หอเก็บหนังสือ และไม่ออกมาอีกเลย” จะว่าไป คุณชายของตระกูลสวีเหล่านี้ต้องซ่อนตัวจากคุณชายทั้งสองเสียจนคล้ายจะเป็นโรคจิตเสียแล้ว ไม่ต้องพูดถึงคุณชายสามคนที่กลัวที่หมกตัวอยู่ในค่ายทหารทั้งวันไม่ยอมออกมา ยังมีคุณชายสี่และคุณชายห้าคนที่ไปอยู่ทางตอนเหนือกลับบ้านได้ไม่ถึงปีละสองครั้ง แม้แต่คุณชายชิงเฉินผู้สง่างามที่สุด เกินครึ่งเดือนยอมที่จะใช้ชีวิตในห้องหนังสือของจวนอ๋องมากกว่าที่จะกลับจวน เป็นเรื่องเข้าใจยากมากสำหรับฉินเฟิงชายโสดที่กำลังฝันถึงครอบครัวแสนสุขซึ่งมีภรรยาและลูกๆ คุณชายรองสวีที่แต่งงานไปตั้งนานแล้ว เขาก็มีความสุขมีครอบครัวที่สุขสันต์ไม่ใช่หรือ ถึงกับต้องไล่ล่าทั่วฟ้าเช่นนี้หรือ มีความสุขอยู่กับตัวแต่ไม่รู้จักเห็นค่าจริงๆ เช่นนี้จะให้เหล่าคนโสดในกองทัพตระกูม่อที่หาเมียไม่ได้จะรู้สึกอย่างไร
เยี่ยหลีส่ายหัวอย่างจนปัญญา ก่อนจะลุกขึ้น “ข้าไปพบท่านป้าทั้งสอง ฉินเฟิง เชิญคุณชายสามไปด้วยกันเถิด”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง” ฉินเฟิงพูดเสียงดัง ดวงตาสว่างวาบเมื่อจะได้ดูการแสดงดีๆ แล้ว ว่ากันว่าคุณชายสามของตระกูลสวีจับตัวยากขึ้นทุกที ในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้แต่คนในตระกูลสวีก็จับเขาไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉินเฟิง เพราะเขาสอนคุณชายสวีสามมาเอง
ในศาลาริมน้ำ ทะเลสาบเขียวมรกตนำความเย็นสบายมาสู่เดือนมิถุนายนในฤดูร้อน สวีฮูหยินรองนั่งอยู่ข้างตั่งด้วยสีหน้าไม่ดีนัก สวีฮูหยินใหญ่และฉินเฟิงกำลังปลอบโยนกันด้วยเสียงนุ่มนวลอยู่ด้านข้าง แต่การจะสงบลงนั้นก็ไม่ง่ายสำหรับฮูหยินรองที่โกรธลูกชายแทบไม่ไหว แม้ว่าไม่กล้าโกรธพี่สะใภ้และลูกสะใภ้ แต่ก็ยังคงเคร่งเครียด
“ท่านป้ารอง เป็นอะไรไปหรือ ใครทำให้ท่านโกรธแล้ว” เยี่ยหลีเข้ามาช้าๆ พูดเบาๆ พลางยิ้ม
“จะมีใครได้อีก คนที่ทำให้ข้าโกรธได้ก็มีแต่ลูกอกตัญญูคนนั้น!” ฮูหยินรองเอ่ย สบัดผ้าเช็ดหน้า ยังคงโกรธเคือง เยี่ยหลีเดินเข้าไปด้านข้างนาง พลางยิ้ม “ท่านป้ารองพูดถึงพี่สามใช่ไหม วันนี้เขาอยู่ที่จวนข้า หลานจะจับเขามาจัดการให้อยู่หมัด เพื่อให้ท่านป้ารองหายโกรธ!”
ฮูหยินรองถอนหายใจยาว ดึงเยี่ยหลีมานั่งก่อนจะเอ่ย “จัดการเขาจะไปมีประโยชน์อะไร เด็กคนนั้น…ไม่รู้ว่าพ่อของเขาจัดการเขาไปกี่รอบแล้ว แต่ก็ยังทำให้ข้าโกรธได้ทุกวัน! หลีเอ๋อร์เจ้าว่า…ข้าแค่อยากหาผู้หญิงมาแต่งงาน คิดว่าผู้หญิงนางจะกินเขาหรืออย่างไร”
เมื่อฟังคำพูดของสวีฮูหยินรอง เยี่ยหลีก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งที่สวีฮูหยินรองพูดเมื่อปีที่แล้ว เป็นความจริงที่คุณชายทั้งห้าของตระกูลสวีมีความโดดเด่น แต่ไม่มีใครไว้ใจได้นอกจากพี่รองอีกแล้ว สวีฮูหยินใหญ่ยิ้ม พลางตบมือน้องสะใภ้ เอ่ย “เจ้ายังดีที่เจ๋อเอ๋อร์ยังเชื่อฟัง รุ่ยเอ๋อร์ก็ฉลาดเป็นกรดและน่ารักมาก ถ้าถึงขั้นลูกชายสามคนของข้า เจ้าไม่โมโหตายเลยหรือ”
สวีฮูหยินรองได้ฟังคำพูดของฮูหยินใหญ่แล้ว เมื่อมองฉินเฟิงที่เงียบและอ่อนโยน ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยนางก็มีลูกชายที่เชื่อฟัง ลูกสะใภ้ที่มีคุณธรรมและสง่างาม หลานชายที่ฉลาด พอคิดถึงพี่สะใภ้ของตน ช่างน่าเป็นห่วงเหลือเกิน