“พี่สะใภ้ ท่านไม่กังวลหรือ”
สวีฮูหยินใหญ่ยิ้มเจื่อน “ข้ากังวลจนผมหงอกหมดหัวก็ไม่มีประโยชน์ ชิงเฉินก็ปล่อยไปเถิด ตอนนี้ข้าไม่อยากยุ่งกับเขาแล้ว เจ้าสี่กับเจ้าห้าก็ไปอยู่ข้างนอกไม่ยอมกลับบ้านเสียอย่างนั้น ทุกวันนี้ข้าจะไปขอให้พวกเขาแต่งงานมีลูกได้อย่างไร เพียงแค่พวกเขากลับมาบ้านบ่อยๆ มาเยี่ยมคนแก่อย่างข้า ข้าก็พอใจมากแล้ว”
“ท่านป้าใหญ่ พี่สี่กับพี่ห้ายังเด็กอยู่ สำรวมใจอีกสองปีก็ดีขึ้นแล้ว อย่างนี้…ถ้าพี่สี่กับพี่ห้ายังคงเรียนกับพี่ใหญ่ในอีกสองปีข้างหน้า หลีเอ๋อร์จะจัดงานเลี้ยง พวกเรามาเลือกลูกสะใภ้ที่ท่านชอบให้พวกเขากัน” เยี่ยหลียิ้ม สวีฮูหยินใหญ่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่างเถอะ ข้าทำได้แค่ปลอบใจตัวเองว่าพวกเขายังเด็ก” สวีฮูหยินใหญ่ก็โกรธลูกชายคนโตไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่แม้แต่นายใหญ่และท่านใหญ่ของตระกูลตนเองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ นางก็ไม่สนใจความคิดเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานของสวีชิงเฉินอีกแล้ว แต่ลูกชายคนเล็กทั้งสองต้องจับตาให้ดี หากพวกเขาเลยอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าไป แล้วยังไม่มีคนถูกใจ ต่อให้ต้องมัด นางก็จะมัดให้เขาแต่งงานให้ได้ มิฉะนั้นนางก็ไม่มีหน้าไปพบบรรพบุรุษตระกูลสวีแล้ว
เดิมทีสวีฮูหยินรองหายโกรธ เพราะมีคนนั้นคนนี้มาปลอบ คิดไม่ถึงว่าพอเงยหน้าก็เห็นสวีชิงเฟิงที่ฉินเฟิงพามาอยู่ข้างนอกศาลาริมน้ำ
เมื่อสวีชิงเฟิงเห็นคนที่นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันควัน ก่อนจะตะโกน “ฉินเฟิงเจ้าเป็นคนขายเพื่อน!” หันหลังกระโดดออกไปด้านนอก สวีฮูหยินรองโกรธขึ้นอีกครั้ง “ลูกเนรคุณ! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ข้าเป็นแม่เจ้าหรือศัตรูเจ้าในชาติก่อนกันแน่” เมื่อเห็นลูกชายตัวเองหลบๆ ซ่อนๆ สีวฮูหยินก็เดือดดาล
นอกประตู สีหน้าฉินเฟิงไม่เดือดไม่ร้อน มองไปที่สวีชิงเฟิงวิ่งออกไปจากด้านข้างของตน หยิบแส้ยาวออกมาจากแขนเสื้อและรัดขาข้างหนึ่งของสวีชิงเฟิงไว้ สวีชิงเฟิงรีบพลิกตัวขึ้นกลางอากาศอย่างรวดเร็ว และลงมายืนอย่างมั่นคง เขายืนนิ่งแล้ว เขากวาดขาเตะฉินเฟิ่งทันที ฉินเฟิงเลิกคิ้ว รู้สึกตื่นเต้นที่ต้องประลองฝีมือกับเขา
ทั้งสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ข้างนอก แต่สวีฮูหยินรองที่ด้านในกลับดวงตาแดงก่ำ ยืนขึ้นและออกมาจากศาลากลางน้ำ สวีฮูหยินตะโกนใส่สวีชิงเฟิงที่อยู่ในการต่อสู้ “สวีชิงเฟิง! หยุดนะ!” สวีชิงเฟิงตะลึงเล็กน้อย เพียงพริบตาเท่านั้น ฉินเฟิงก็จับแขนขวาของเขา เอาไพล่ไว้ด้านหลัง มืออีกข้างล็อคไหล่แขนซ้าย ก่อนจะหยีตายิ้ม เอ่ย “คุณชายสาม สองปีมานี้เล่นมานานเกินไปแล้วหรือเปล่า”
“ต่ำช้า!” สวีชิงเฟิงเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ
“นี่เรียกว่าคว้าโอกาส ท่านอยู่กับกิเลนมาหลายปีขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ กิเลนจะทำทุกวิถีทางเพื่อบรรุลเป้าหมาย” ฉินเฟิงตอบพลางยิ้มยียวน
สวีชิงเฟิงเงียบ ข้าแค่ไม่คิดว่าเจ้าจะเล่นไม่เลือกวิธีกับคนกันเองด้วย!
เยี่ยหลีที่เดินตามออกมา มองพวกเขาสองคนพลางส่ายหัวเบาๆ อันที่จริงนิสัยของพี่สามไม่เหมาะกับกิเลน แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กระทั่งคุณสมบัติทุกด้านก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากิเลนผู้อื่น แต่เยี่ยหลีก็ยังคงรู้สึกว่าเขาจะแสดงความสามารถได้ดีขึ้นตอนที่อยู่บนสนามรบจริง แต่ใครๆ ก็เคยเป็นเด็กมาก่อนทั้งนั้น เช่นเดียวกับทหารทุกคนในชาติก่อน ที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นกองกำลังพิเศษ ก็เหมือนกับทุกคนในกองทัพตระกูลม่อใฝ่ฝันที่จะได้เข้ากิเลน ไม่ใช่เพราะตำแหน่งและเงินเดือนของกิเลนจะสูงมากมาย แต่เนื่องจากกิเลนเป็นตัวแทนของกองกำลังที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งกองทัพตระกูลม่อ
“ท่านแม่…” เมื่อมองไปที่ใบหน้าอันเดือดดาลของมารดา สวีชิงเฟิงก็เหี่ยวเฉาฉับพลัน ยกเท้าขึ้นเตะฉินเฟิงและกระซิบ “ปล่อยๆ ข้าไม่หนีแล้ว…” ฉินเฟิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ปล่อยมือจากเขา เจ้าหนีได้หรือ
สวีฮูหยินรองยิ้มเย็น เอ่ย “เจ้ายังรู้ว่าข้าเป็นแม่เจ้านี่”
“ท่านแม่…” สวีชิงเฟินก้มหน้าลงโดยรู้ตัวว่าทำผิด เขาไม่มีความสามารถแบบพี่ใหญ่ ไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ก็ตาม ก็สามารถพูดได้อย่างฉะฉาน และเขาไม่มีหน้าตาเย็นชาแบบพี่สอง ซึ่งมีเพียงหน้าเดียวตลอดกาล
เมื่อท่าทางหูลู่หางตกของลูกชาย ในที่สุดสวีฮูหยินรองก็ละทิ้งมารยาทของหญิงสาวตระกูลผู้ดีที่สั่งสมมานานหลายสิบปี เดินเข้าไปและจับหูของเขาก่อนจะตะคอกด้วยความโกรธ “ข้าเป็นแม่เจ้า ข้าจะทำร้ายเจ้าหรือ ให้เจ้าไปดูตัว แต่งงานมันจะตายหรือ ตระกูลเราถือว่ามีความคิดก้าวหน้าแล้วนะ แม่ยังให้โอกาสเจ้าได้เลือก เจ้าดูตระกูลอื่นซิ มีใครที่ได้เจอกันก่อนแต่งงานบ้าง เจ้าน่ะ โชคดีแท้ๆ แต่ไม่เห็นค่า!”
“ทะ ท่านแม่…” ถูกแม่ดึงหูต่อหน้าคนเยอะแยะขนาดนี้ แม้ไม่เจ็บ แต่กลับขายหน้าอย่างมาก “ท่านแม่ ลูกสำนึกผิดแล้ว!”
“สำนึกผิดแล้วหรือ” สวีฮูหยินรองเลิกคิ้ว “ไปเจอแม่นางหยางกับแม่”
“แม่นางหยางหรือ แม่นางหยางคนไหน” สวีชิงเฟิงงุนงง
สวีฮูหยินรองหางตากระตุก “เจ้าว่าอะไรนะ” เหมือนกับว่าเมื่อคืนนางบ่นไปค่อนคืน ก็เปล่าประโยชน์อย่างนั้นหรือ
“ไม่เจอแล้วๆ ! แม้แต่ชื่อยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย! อาจจะเป็นใครก็รู้ที่เอามายัดให้ข้า ต่อให้จะเทียบไม่ได้กับน้อง แต่อย่างน้อยก็ต้องพอๆ กับที่สะใภ้รองใช่ไหม แม่นางหยางหรือ เมืองหลีมีแซ่นี้ด้วยหรือ คงไม่ใช่ผู้หญิงขี้โมโหที่ท่านแม่ไปหามาโดยไม่เลือก แล้วเอามายัดเยียดให้ข้าใช่ไหม”
“หามาไม่เลือกหรือ เจ้าน่ะสิที่ไม่เลือก!” สวีฮูหยินรองเคาะกบาลสวีชิงเฟิงอย่างแรงไปทีหนึ่ง “ให้เจ้าเรียนหนังสือตั้งแต่เด็กเจ้าไม่เรียน แต่เจ้ามาบอกว่าข้าไม่เลือก!”
“ท่านแม่…ข้าผิดไปแล้ว!” สวีชิงเฟิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น อย่างไรเสีย…อย่างไรเสียข้าไม่ต้องการแม่หยางหรือแม่นางหลี่อะไรทั้งนั้น ข้าหมายความว่าแม่นางที่ข้าจะแต่งงานด้วยจะต้องเป็นคนงามมีชื่อเสียง…รักสวยรักงาม ไม่…”
เพี๊ยะ! ยังไม่ทันพูดจบ มีของชิ้นหนึ่งกระทบลงบนศรีษะของเขาอย่างแรง สวีชิงเฟิงงุนงง แวบหนึ่งมองเห็นหนังสือที่ไม่รู้ว่าลอยมาจากตรงไหน แถมยังโดนหัวเขาอย่างจังอีก หันหน้ากลับไปเห็นฮว่าเทียนเซียงยืนอยู่ไม่ไกลพร้อมกับมองมาด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกอับอายขึ้นมา “คือแม่นางฮว่า เจ้า…”
ฮว่าเทียนเซียงเอ่ยเบาๆ “ข้าผ่านมาน่ะ ได้ยินมาว่าเจิงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็เลยมาดู ขอตัวก่อนนะ”
มองหลังของฮว่าเทียนเซียงเดินออกไป สวีชิงเฟิงหันกลับมาถามอย่างมึนงง “คือ…ทำไมแม่นางฮว่าถึงขว้างหนังสือใส่ข้า”
นัยน์ตาเยี่ยหลีสว่างวาบหนึ่ง ยิ้มกว้างพลางเอ่ย “เพราะนางก็คือผู้หญิงขี้โมโห รักสวยรักงามที่พี่สามพูดถึง…ซึ่งก็คือแม่นางหยางคนนั้น!”
ในบัดดล สีหน้าของสวีชิงเฟิงซีดเผือด