เมื่อเยี่ยหลีและเยี่ยเจินไปถึงเรือนของเยี่ยอิ๋งนั้น เยี่ยอิ๋งกับหวังซื่อกำลังง่วนอยู่กับการเลือกเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างละลานตา เมื่อเห็นทั้งคู่เดินจับจูงกันเข้ามา เยี่ยอิ๋งดูประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าสามารถกลบเกลื่อนได้อย่างรวดเร็ว นางอมยิ้มแล้วยืนขึ้นต้อนรับ “พี่ใหญ่ พี่สาม พวกท่านมาด้วยกันได้อย่างไร”
เยี่ยเจินยิ้ม “ข้าได้ยินว่าน้องสี่กำลังยุ่ง ข้าเลยไปนั่งคุยอยู่กับน้องสามเสียก่อน แล้วพอดีน้องสามคิดจะมาหาเจ้า พวกเราก็เลยมาด้วยกัน”
เยี่ยอิ๋งยิ้มน้อยๆ “พี่ใหญ่พูดอันใดเช่นนั้น อิ๋งเอ๋อร์จะไปยุ่งอันใดได้ พี่ใหญ่ พี่สาม รีบนั่งลงเถิด”
เยี่ยหลีที่ตามหลังทั้งสองคนเลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกสนุก นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นเยี่ยอิ๋งพูดคุยกับพี่น้องโดยไม่มีท่าทีถือตัวให้เห็น โดยเฉพาะกับพี่สาวน้องสาวบุตรสาวภรรยารองที่นางนึกดูถูกมาตลอด ดูท่าฮูหยินผู้เฒ่าคงจะฝีมือดีไม่น้อย ในช่วงเวลาอันสั้นสามารถทำให้เยี่ยอิ๋งเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้
เยี่ยเจินเองก็ไม่ชินกับการต้อนรับขับสู้อย่างสนิทสนมของเยี่ยอิ๋งเช่นกัน นางมองเยี่ยอิ๋งอยู่หลายคราก่อนยอมให้นางพาเดินเข้าไปด้านใน เยี่ยเจินทำความเคารพหวังซื่อ “คารวะท่านแม่”
“ฮูหยิน” เยี่ยหลีทำความเคารพแกนๆ
หวังซื่อมองกิริยาตามสบายของเยี่ยหลีแล้วก็ได้แต่นึกเข่นเขี้ยวในใจ ถึงแม้นางจะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นภรรยาเอกหลายปีแล้ว ทว่าเยี่ยหลีกลับไม่เคยเอ่ยปากเรียกนางว่าท่านแม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงแม้นางจะไม่นึกอยากให้บุตรสาวของสวีซื่อเรียกนางว่าท่านแม่ แต่บุตรสาวของภรรยาเอกที่แท้จริงของจวนนี้มีเยี่ยหลีเพียงคนเดียว การที่นางไม่เคยเรียกตนว่าท่านแม่นี้ ทำให้หวังซื่อรู้สึกว่านางเป็นนายหญิงของบ้านแต่เพียงในนามเท่านั้น ก่อนหน้านี้นางเคยพูดคุยเรื่องนี้กับนายท่านอยู่บ้าง แต่มิรู้ด้วยเหตุอันใด ไม่ว่านางจะชักแม่น้ำมากี่สาย นายท่านก็ไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย และไม่เคยบังคับเยี่ยหลีให้เปลี่ยนวิธีการเรียกขานนางด้วย
“ท่านแม่ อิ๋งเอ๋อร์มีเรื่องพูดคุยกับพี่ใหญ่และพี่สาม ท่านยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก รีบไปจัดการเถิดเจ้าค่ะ” เยี่ยอิ๋งจับแขนหวังซื่ออย่างออดอ้อน
หวังซื่อมองบุตรสาวคนงามของนางด้วยแววตารักใคร่และภาคภูมิใจ นางดูมีความสุขขึ้นทันที ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายนางก็ชนะแล้วมิใช่หรือ บุตรสาวของนางคนหนึ่งเป็นพระสนมอยู่ในวัง อีกคนเป็นชายาเอกของหลีอ๋อง ส่วนบุตรชายของนางก็จะได้เป็นประมุขตระกูลเยี่ยในอนาคต ส่วนสวีซื่อนั่นก็ตายไปตั้งนานแล้ว บุตรสาวในอุทรของนางก็เพียงได้แต่งงานกับท่านอ๋องที่พิกลพิการเท่านั้น ลูกเลี้ยงนางแต่ละคนก็คงได้แต่แต่งออกไปเป็นเมียรอง
“เอาเถิด พวกเจ้าพี่น้องค่อยๆ คุยกันเถิด ด้านหน้าจวนยังมีเรื่องให้ต้องจัดการไม่น้อย แม่ออกไปก่อนแล้วกัน”
พี่น้องทั้งสามคนต่างลุกขึ้นยืนส่งหวังซื่อ จากนั้นเยี่ยอิ๋งรีบดึงเยี่ยเจินและเยี่ยหลีให้นั่งลง มองทั้งคู่อย่างรู้สึกผิด “พี่สาม พี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้อิ๋งเอ๋อร์มิได้ความ ละเลยพี่สาวทั้งสองไม่น้อย ท่านพี่ทั้งสองเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ขออย่าได้ถือโทษโกรธอิ๋งเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเจินหันมองเยี่ยหลีด้วยความสงสัย ทว่าใบหน้ายังคงแต้มยิ้ม “น้องสี่พูดอันใดเช่นนั้น พี่น้องตระกูลเดียวกันมาพูดเรื่องถือโทษไม่ถือโทษไปไย อีกหน่อยพี่ยังต้องพึ่งพาเจ้าด้วยซ้ำ”
เยี่ยอิ๋งฉีกยิ้มกว้าง “ท่านย่าพูดถูก พวกเราต่างเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน สมควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา พี่ใหญ่อย่าได้พูดเรื่องพึ่งพาอะไรนี่เลย”
เยี่ยหลีนั่งฟังทั้งสองคนพูดคุยเล่นกัน ในใจก็รู้ว่าเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนสิ่งใดให้เยี่ยอิ๋งบ้าง แต่การที่เยี่ยอิ๋งยอมรับฟังคำสั่งสอนของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทำให้นางประหลาดใจไม่น้อย แน่นอนว่านางเชื่อประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า เปลี่ยนแม่น้ำเปลี่ยนภูเขายังง่ายกว่าเปลี่ยนสันดานคน ต่อให้เยี่ยอิ๋งรับฟังคำสั่งสอนของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจริง แต่ก็มิอาจเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ภายในชั่วระยะเวลาสั้นนี้แน่นอน เห็นที…หลายวันมานี้คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่นางไม่รู้เป็นแน่
พลบค่ำ ภายในจวนเจ้ากรมที่สมควรสงบเงียบกลับยังจุดไฟอย่างสว่างไสวเพื่อเตรียมการสำหรับงานแต่งงานในวันพรุ่ง แม้แต่บ่าวในเรือนชิงอี้เซวียนของเยี่ยหลีก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย จะว่าไปเรื่องที่คุณหนูสี่จะแต่งเข้าตำหนักหลีอ๋องก็นับเป็นงานมงคลใหญ่ บ่าวน้อยใหญ่ในจวนต่างได้รับการตกรางวัลกันไปคนละไม่น้อย
เยี่ยหลีให้บ่าวรับใช้ออกไปพัก ส่วนนางหยิบหนังสือเล่มที่ยังอ่านไม่จบมานั่งอ่านตามปกติ พร้อมหยิบพู่กันขึ้นมาขีดๆ เขียนๆ เป็นครั้งคราว มิรู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร เสียงขนย้ายข้าวของที่ดังแว่วมาฟังดูไกลออกไปทุกที
เยี่ยหลีนวดหน้าผากอย่างเหนื่อยอ่อน หลังที่ตั้งตรงอยู่บนเก้าอี้ค่อยๆ อ่อนยวบลงจนเอนไปข้างหนึ่ง เปลือกตาทั้งสองข้างหนักอึ้งอย่างอ่อนล้า เยี่ยหลีกะพริบตาน้อยๆ แต่มิอาจต้านความง่วงงุนที่เข้าครอบงำได้ จนค่อยๆ หลับตาลงในที่สุด ภายในห้องที่เย็นเยียบและเงียบสงัด มีเพียงเสียงลูกไฟดังขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ผ่านไปพักใหญ่ มีเงาดำลอบเข้ามาในเรือนชิงอี้เซวียน ดูคล้ายจะรู้จักทางหนีทีไล่ในจวนเป็นอย่างดี ด้วยสามารถหลบหลีกสายตาของบ่าวเฝ้ายามของจวนเข้ามาได้ ก่อนกระโดดข้ามกำแพงเข้ามายังเขตเรือนหลังแล้วหายลับไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ภายในเรือนชิงอี้เซวียน ในห้องที่เย็นเยียบไม่มีร่องรอยของนายหญิงเจ้าของห้องให้เห็นอีก เหลือเพียงหนังสือที่เปิดอยู่ตกอยู่ข้างโต๊ะหนังสือเท่านั้น
นอกเขตเมืองหลวง
ใต้เงามืดของต้นไม้ มีเงาตะคุ่มๆ ของผู้ที่กำลังแบกร่างหลบหลีกต้นไม้เข้ามา จนเมื่อเห็นบุรุษร่างใหญ่ยืนคอยอยู่ จึงค่อยหยุดลง
“เจ้ามาช้า” ชายหนุ่มในเงามืดพูดเสียงขรึม
“ไม่ เจ้ามาเร็วเองต่างหาก” ชายหนุ่มชุดสีดำพูดขำๆ น้ำเสียงมีร่องรอยของความเหนื่อยหอบ พร้อมส่งสายตาเย้าแหย่ให้ชายหนุ่มที่ตนมองเห็นหน้าไม่ชัดเจน “ข้าได้ยินว่าคุณหนูสี่ตระกูลเยี่ยเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่สนใจสาวงามอันดับหนึ่ง แต่กลับมาเสียเงินลักพาตัวคุณหนูสามที่ไร้ซึ่งความสามารถและความงามผู้นี้ หรือว่า…จริงๆ แล้วคุณหนูสามต่างหากที่เป็นสาวงามที่แท้จริง เมื่อครู่ข้ามัวแต่รีบมาเลยยังไม่ทันดูให้ชัด ยามนี้ดูไปแล้วก็ไม่เลวเลย” พูดพร้อมกับนำร่างที่ตนแบกอยู่วางลง โน้มตัวไปจัดเรือนผมบนใบหน้าของร่างที่ยังหลับใหลมิได้สติ
“พอแล้ว! เจ้าไปได้แล้ว” ชายหนุ่มในมุมมืดพูดเสียงเรียบ น้ำเสียงเริ่มเจือแววโกรธ
บุรุษชุดดำยักไหล่พูดยิ้มๆ “ถ้าเช่นนั้นขอให้เจ้าโชคดี” พูดจบก็ไม่รอช้า วางร่างหญิงสาวลงกับพื้นทั้งตัว ยักไหล่เล็กน้อยก่อนหายตัวไปตามเงาไม้ทันที
บุรุษในเงามืดยืนสำรวจร่างหญิงสาวอยู่พักหนึ่งก่อนเดินออกมาจากเงาไม้ ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัวเผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ถมึงทึง เขาจ้องร่างของหญิงสาวบนพื้นเขม็ง สีหน้าโหดเ**้ยม “เยี่ยหลี อย่าโทษว่าข้าใจร้ายเลย หากจะโทษก็ต้องโทษว่าเจ้าโชคไม่ดีเอง ต่อให้เจ้าเป็นคนที่ข้าไม่ต้องการ ก็จะให้ม่อซิวเหยาเอาไปมิได้!”
สิ้นเสียง เขาก็ยื่นมือเข้าไปดึงชายเสื้อของหญิงสาว ครั้นปลายนิ้วแตะโดนเสื้อเท่านั้น โลกทั้งโลกกลับมืดดับลงพร้อมความรู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย ร่างของเขาฟุบลงกับพื้น
หญิงสาวที่เดิมสลบไสลอยู่นั้นลืมตาขึ้น ไม่มีอาการมึนงงเลยแม้แต่น้อย นางผลักร่างที่เอนมาทางนางให้ล้มไปอีกทางหนึ่ง แม้จะมีเสียงล้มลงไปกระแทกกับอะไรสักอย่างที่พื้น ทว่านางหาได้สนใจไม่
เยี่ยหลีค่อยๆ จัดการเครื่องแต่งกายของตนให้เรียบร้อย ก่อนหันไปมองร่างของชายหนุ่มที่ล้มอยู่กับพื้นด้วยสายตาผิดหวัง ยามที่นางรับรู้ถึงความผิดปกติของกลิ่นกำยานในห้อง นางคิดอยู่แล้วว่าคงมีผู้ใดคิดอยากทำร้ายนาง ที่แท้เป็นม่อจิ่งหลีนี่เอง เหตุผลในการลงมือก็ช่างปัญญาอ่อนเหลือเกิน
เยี่ยหลีเดินวนรอบร่างม่อจิ่งหลีรอบหนึ่ง ครุ่นคิดอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกว่า ฮ่องเต้ทรงเลี้ยงดูหลีอ๋องผู้นี้จนสติไม่ดีไปแล้วหรือไร นางคิดอยู่พักหนึ่งแต่เมื่อมิได้คำตอบก็ไม่อยากเสียเวลาคิดอีก นางหยิบเชือกที่ดูไม่สะดุดตาออกมาจากแขนเสื้อ แล้วมัดร่างบนพื้นอย่างตั้งใจ
เยี่ยหลีมองผลงานการมัดบุรุษผู้นั้นของตนแล้วพยักหน้าด้วยความพอใจ อย่าได้ดูถูกว่าเชือกที่นางนำมาดูไม่แข็งแรงสะดุดตาเชียว เพราะหากพูดถึงความแข็งแรงและความแน่นหนาแล้วนับว่าอยู่ในระดับดีมาก พละกำลังคนธรรมดาไม่มีทางทำให้ขาดได้ นอกเสียจากม่อจิ่งหลีจะมีกำลังภายในเหมือนตัวละครในตำนานเท่านั้น และด้วยฝีมือการผูกเงื่อนของตนแล้ว เยี่ยหลียิ่งวางใจเข้าไปอีกว่าหากม่อจิ่งหลีไม่มีวิชาหดกระดูก ก็คงได้แต่รอให้มีคนมาช่วยเขาเท่านั้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่าที่ม่อจิ่งหลีคิดทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้จะให้องครักษ์ติดตามมาด้วยหรือไม่ แต่ดูจากสถานการณ์ยามนี้แล้ว คาดว่าไม่น่าให้ผู้ใดตามมาด้วย ขอให้เขาไปทันงานสมรสในวันพรุ่งก็แล้วกัน เยี่ยหลีคิดอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ ก่อนจากไปนางเตะร่างที่ไร้สติเพื่อระบายโทสะเสียทีหนึ่ง แล้วจึงค่อยเดินกลับไปตามทางที่ตนจดจำไว้