ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 39

      “อา…อาเหยา เมื่อครู่ข้าเห็นอะไรน่ะ” 

 

 

           ผ่านไปครู่ใหญ่ ภายใต้เงามืดของต้นไม้ก็แว่วเสียงพูดตะกุกตะกักดังขึ้น พร้อมเงาของคนสามคนที่เดินออกมาจากหลังต้นไม้ ภาพลักษณ์คุณชายเจ้าสำราญของเฟิ่งจือเหยาพังทลายลงอีกครั้ง ตาโตอ้าปากค้างมองบุรุษเคราะห์ร้ายที่สลบแน่นิ่งอยู่กับพื้น 

 

 

           ม่อซิวเหยามองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยเมย พูดเสียงเรียบว่า “ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั่นละ” 

 

 

           “คุณชายอย่างข้าดึกดื่นไม่นอน รีบแจ้นออกมาเป็นเพื่อนเจ้า ด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องกับคุณหนูสามตระกูลเยี่ย! แต่ดูเหมือนคนที่จะเกิดเรื่องกลายเป็นอีกคนเสียมากกว่า” หากไม่เพราะยังคิดจะรักษาภาพลักษณ์ของตนไว้บ้าง เฟิ่งจือเหยาคงได้กรีดร้องอย่างหญิงสาวไปแล้ว ดูสิว่าเมื่อสักครู่เขาเห็นอะไร  

 

 

พอเขาได้รับข่าวว่าจะเกิดเรื่องกับเยี่ยหลี เขาก็รีบผละจากอ้อมอกสาวงามในยามดึกดื่นค่ำคืน ที่ไหนได้กลับได้มาเห็นเยี่ยหลีทำท่าใดไม่รู้ล้มม่อจิ่งหลีให้ลงไปนอนแน่นิ่งโดยที่ตัวเขาเองยังแทบมองไม่ทันด้วยซ้ำ จะว่าม่อจิ่งหลีโง่ก็โง่อยู่หน่อยๆ แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นถึงบุรุษรูปงามมากความสามารถที่หาได้น้อยนักในเมืองหลวงเชียวนะ เขาเดินเข้าไปหาม่อซิวเหยาก่อนเดินวนรอบร่างที่ไม่ได้สติตามแบบเยี่ยหลี เฟิ่งจือเหยายกมือขึ้นเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย “ยามนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี” 

 

 

           “จับโยนลงหนองน้ำทางด้านโน้นไปเสีย” ม่อซิวเหยาพูดโดยไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว 

 

 

           “นั่นมันหนองน้ำเย็นนะ ประเดี๋ยวเขาก็ตายหรอก” เฟิ่งจือเหยาเอ่ยขัดอย่างไม่จริงจังนัก 

 

 

           “เสื้อผ้าก็ถอดออกด้วยแล้วกัน” ม่อซิวเหยาพูดต่อเรียบๆ  

 

 

           “เกรงว่าจะมิได้ ฝีมือการผูกเงื่อนของชายาในอนาคตของเจ้าช่างร้ายกาจนัก” เฟิ่งจือเหยายอบตัวลงคุกเข่ากับพื้นพร้อมพิจารณาเงื่อนที่มัดม่อจิ่งหลีอยู่ “อาเหยา อีกหน่อยเจ้าอย่าไปทำอันใดให้คุณหนูสามตระกูลเยี่ยโกรธเข้านะ สตรีนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ” เฟิ่งจือเหยาคิดอยู่พักใหญ่ก็คิดไม่ตกว่าหากเป็นตนโดนมัดไว้เช่นนี้จะหลุดออกมาได้อย่างไรหากไม่มีคนมาช่วย “แต่จะว่าไป ฝีมือของนางก็น่าศึกษาอยู่ไม่น้อย” 

 

 

           “อาจิ่น” 

 

 

           “ขอรับ ท่านอ๋อง” ชายหนุ่มที่ยืนเข็นรถอยู่ด้านหลังม่อซิวเหยาขานรับ เดินมาแบกร่างบนพื้นก่อนเดินลึกเข้าไปในป่า ไม่นานก็มีเสียงคล้ายของขนาดใหญ่หล่นลงน้ำดังมาให้ได้ยิน ใครบางคนคงโดนโยนลงน้ำไปแล้ว  

 

 

เฟิ่งจือเหยากระทืบเท้าอย่างอดรนทนไม่ได้ “อาเหยา เจ้าจะสอนเขาจนเสียเด็กเอานะ ถ้าม่อจิ่งหลีจมน้ำตายไปจะทำอย่างไร” หากมีท่านอ๋องในเมืองหลวงเสียชีวิต แล้วยังเป็นถึงท่านอ๋องที่เป็นอนุชาร่วมอุทรฮ่องเต้ด้วยแล้ว คงมิใช่เรื่องเล็กเป็นแน่  

 

 

ม่อจิ่งหลีมองมือของตนที่วางอยู่บนที่เท้าแขน ก่อนพูดขึ้นเสียงเรียบว่า “อาจิ่นรู้ว่าอะไรควรมิควร” 

 

 

           อะไรควรมิควรหรือ ในหัวของอาจิ่นมีเรื่องควรมิควรด้วยหรือ เฟิ่งจือเหยากระทืบเท้าอีกทีหนึ่งก่อนรีบเดินตามไปดูอย่างไม่รู้จะพูดอันใด 

 

 

           ม่อจิ่งหลีถูกคนโยนลงน้ำไปโดยหงายหน้าขึ้น ลำตัวช่วงบนโผล่พ้นน้ำขึ้นมาเกยอยู่กับริมหนองน้ำ จุดสำคัญเลยคือเชือกที่ผูกเขาไว้มีเชือกเส้นยาวยื่นออกมา ชายเชือกอีกด้านผูกอยู่กับต้นไม้ที่อยู่ข้างหนองน้ำนั้น เพื่อให้แน่ใจว่าร่างของม่อจิ่งหลีจะไม่ตกลงไปในหนองน้ำอย่างแน่นอน เขารู้อะไรควรมิควรจริงเสียด้วย 

 

 

           “อาจิ่นเอ๋ย ข้าจะไปส่งท่านอ๋องของเจ้ากลับตำหนักก่อน เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูไว้ พอฟ้าใกล้สว่างก็ไปทำให้คนที่เขาพามาด้วยตื่นเสีย อย่าให้เขาแช่น้ำจนตายไปจริงๆ เล่า” 

 

 

           อาจิ่นขมวดคิ้วเข้ม ลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับ  

 

 

เฟิ่งจือเหยามองไปทางม่อจิ่งหลีด้วยความเห็นใจเล็กน้อย ก่อนเดินโบกพัดในมือกลับไปหาม่อซิวเหยาด้วยความพอใจ 

 

 

           “อาเหยา ข้าประหลาดใจกับชายาในอนาคตของเจ้าคนนี้จริงๆ เสียแล้ว” เฟิ่งจือเหยาเดินกลับไปทางเดิม  

 

 

ม่อซิวเหยายังคงนั่งอยู่ใต้เงาไม้ ภายใต้ความมืดสลัวยังพอมองเห็นว่าสีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก แต่มิอาจรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  

 

 

           ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้น พูดเสียงเรียบว่า “สมควรกลับกันได้แล้ว” 

 

 

           เฟิ่งจือเหยามองม่อซิวเหยาด้วยความประหลาดใจ “ปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้หรือ”  

 

 

อย่าได้คิดเชียวว่าม่อซิวเหยาที่หลายปีมานี้พักรักษากายรักษาใจจะกลายเป็นคนใจเย็น ผู้ที่รู้จักนิสัยเขาดีจริงๆ ย่อมรู้ดีว่าม่อซิวเหยาแต่ไหนแต่ไรมามิใช่คนมีเมตตาแต่อย่างใด  

 

 

สายตาอ่อนโยนของม่อซิวเหยาฉายแววเย็นชา “วันพรุ่งเป็นงานสมรสใหญ่ของจิ่งหลี หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าบ่าวคงน่าหดหู่เกินไป”  

 

 

เฟิ่งจือเหยาคิดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ “ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่อยากให้ม่อจิ่งหลีกับตระกูลเยี่ยผูกสัมพันธ์กันเสียอีก เจ้าอย่าลืมนะว่าหากเขาแต่งกับเยี่ยอิ๋งจริงๆ เจ้ากับเขาก็จะกลายเป็น…” สามีของน้องภรรยา ช่างมิใช่ความสัมพันธ์ที่น่ารื่นรมย์เลยแม้แต่น้อย  

 

 

ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ ออกแรงที่มือเล็กน้อยเปลี่ยนทางเก้าอี้รถเข็นให้ออกจากป่าไป  

 

 

เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วยกไหล่ก่อนเดินตามไป ไม่รู้ว่าวันพรุ่งในงานสมรสจะเกิดเหตุการณ์น่าสนุกใดขึ้นอีกบ้าง ดีที่สุดคงเป็นการรีบไปจับจองที่นั่งเพื่อรอชมละครสนุกๆ ฉากหนึ่ง 

 

 

           “แล้วจะให้ทำอย่างไรกับคนที่จับคุณหนูเยี่ยมาดี” 

 

 

           “จับตัวมาให้ได้ แล้วนำมือกับขาอย่างละข้างส่งไปเป็นของขวัญวันแต่งงานให้ม่อจิ่งหลี” 

 

 

 

 

 

           ถึงแม้ประตูเมืองหลวงจะปิดไปนานแล้ว แต่เยี่ยหลีก็เสียพละกำลังไปเพียงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมายังจวนเจ้ากรมได้ก่อนฟ้าสาง เมื่อปีนเข้าห้องของตนแล้ว ชิงซวงและชิงอวี้ก็รีบออกมารับทันที หน้าตาร้อนใจของพวกนางเปลี่ยนเป็นสบายใจราวยกภูเขาออกจากอก  

 

 

ชิงอวี้ยกน้ำชามาให้เยี่ยหลีด้วยสีหน้าท่าทางปกติ เหมือนว่าการที่คุณหนูที่ปกติเรียบร้อยสง่างามของตนปีนหน้าต่างห้องเข้ามาอย่างเชี่ยวชาญต่อหน้าต่อตานั้น ไม่ทำให้นางงุนงงเลยแม้แต่น้อย  

 

 

ชิงซวงลูบหน้าอกตนเองก่อนถอนหายใจแรง “คุณหนูกลับมาเสียที ชิงซวงเป็นห่วงแทบแย่เจ้าค่ะ”  

 

 

เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีคนตามข้าไปด้วย มีอันใดน่าเป็นห่วงกัน จริงหรือไม่ ชิงหลวน” 

 

 

           นอกหน้าต่างมีเงาร่างหนึ่งกระโดดลงมาเบาๆ ร่างนั้นก็คือชิงหลวนที่มาจากตระกูลสวีพร้อมๆ กับชิงอวี้นั่นเอง ชิงหลวนยกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูเก่งเหลือเกินเจ้าค่ะ ชิงหลวนตามมาตั้งนานยังไม่มีผู้ใดรู้เลย ผู้ใดจะไปรู้ว่ามิอาจปิดคุณหนูได้”  

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ที่จริงข้าก็ไม่รู้หรอก เพียงแต่ข้าคล้ายจะได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นจมูกมาตลอดทาง คนที่จับข้าไปนั่น…กลิ่นเครื่องหอมจากตัวเขาแรงไม่น้อยจึงดมไม่ได้กลิ่น”  

 

 

ชิงหลวนก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง คิดในใจว่าต่อไปจะไม่ใช้เครื่องหอมใดๆ อีกแล้ว อันที่จริงเครื่องหอมที่นางใช้นั้นกลิ่นเบาบางมากแล้ว คนทั่วไปไม่น่าจะได้กลิ่น แต่ผู้ใดใช้ให้เยี่ยหลีมีสัมผัสที่ไวกว่าคนทั่วไปอยู่หลายส่วนกันเล่า 

 

 

           “พอข้าไปแล้วในป่ามีเรื่องน่าสนุกใดเกิดขึ้นอีกหรือไม่” เยี่ยหลีนั่งลงดื่มชาที่เพิ่งต้มใหม่ 

 

 

           ชิงหลวนปีนหน้าต่างเข้ามาตามอย่างเยี่ยหลี ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ผู้นั้น…ถูกจับโยนลงหนองน้ำที่อยู่ในป่าลึกเข้าไปเจ้าค่ะ” 

 

 

           “ติ้งอ๋องหรือ” 

 

 

           “คุณหนูช่างหลักแหลมนัก” ชิงหลวนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี คิดไปถึงภาพที่ตนเห็นคนถูกจับมัดไว้กับต้นไม้ข้างหนึ่งก่อนถูกจับโยนลงหนองน้ำไปอย่างน่าสงสาร ชิงหลวนถึงได้รู้สึกว่าที่ตนเป็นกังวลวันนี้มิได้เป็นกังวลไปเปล่าๆ เชื่อได้ว่าคุณชายใหญ่ก็คงชมชอบข่าวนี้ไม่น้อย “บ่าวยังเห็นว่ามีคนตามท่านติ้งอ๋องมาอีกคนด้วยนะเจ้าคะ ดูจะสนิทสนมกันไม่น้อย” 

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วพลางมองชิงหลวน ชิงหลวนจึงช่วยไขความกระจ่างให้ว่า “เป็นคุณชายเฟิ่งซานผู้เลื่องชื่อแห่งเมืองหลวงเจ้าค่ะ”  

 

 

เยี่ยหลีไม่คิดเลยว่าเฟิ่งจือเหยาจะมีความสัมพันธ์ใดๆ กับม่อซิวเหยา แต่นี่ช่วยอธิบายได้ดีว่าเหตุใดในงานบุปผานานาพรรณ เฟิ่งจือเหยาจึงได้ดูให้ความสนใจนางเป็นพิเศษ 

 

 

           “ที่แท้ท่านติ้งอ๋องก็ไปช่วยคุณหนูไว้เช่นกันหรือเจ้าคะ คุณหนูได้พบท่านติ้งอ๋องหรือไม่เจ้าคะ” ชิงซวงกะพริบตาปริบก่อนถามด้วยความสงสัย 

 

 

           เยี่ยหลีส่ายหน้า ยามนั้นนางรู้เพียงว่าในป่ามิได้มีเพียงนางคนเดียวและพอจะเดาได้ว่าเป็นผู้ใด ทว่านางมิได้คิดจะออกมาพบหน้าอยู่แล้ว จึงมิใคร่สนใจแต่อย่างใด ในเมื่อม่อซิวเหยาไม่ได้ให้คนมาขวางชิงหลวนไว้ คงรู้ถึงความตั้งใจของนางเป็นแน่ ทำงานร่วมกับคนฉลาดนี่ไม่ต้องพูดมากให้เปลืองน้ำลายเลย ดีจริงเชียว 

 

 

           เยี่ยหลีหยิบหยกออกมาโยนให้ชิงหลวน “เอาไปให้พี่ใหญ่ดูทีว่าพอจะสืบหาเจ้าของหยกชิ้นนี้ได้หรือไม่” 

 

 

           ชิงหลวนรับมาไว้ในมือ ยิ้มอย่างสาแก่ใจ “เช่นนั้นบ่าวคงต้องเร่งมือหน่อย ท่านติ้งอ๋องคิดจะนำมือและเท้าของคนผู้นั้นอย่างละข้างส่งไปเป็นของขวัญวันแต่งงานให้ท่านหลีอ๋องเจ้าค่ะ หากมิใช่เพราะเขาหลบหนีได้ไว เกรงว่าคืนนี้เขาคงโชคไม่ดีเสียแล้ว” 

 

 

           “วิชาตัวเบาของเขาไม่เลวเลย หากยังทันการณ์ก็ให้รั้งตัวเขาไว้ก่อน บางทีเขาอาจช่วยข้าจัดการบางเรื่องได้” แต่หากช้าไปก็คงทำอันใดมิได้ นางมิได้คิดว่าผู้ที่เข้ามาลักพาตัวหญิงสาวที่ไร้ความผิดคนหนึ่งในยามวิกาลเช่นนี้จะเป็นคนดีแต่อย่างใด เพียงแต่คนผู้นั้นรู้ทั้งรู้ว่านางยังมีสติอยู่ แต่กลับนำนางไปมอบให้ม่อจิ่งหลีโดยไม่เอ่ยเตือนม่อจิ่งหลีแม้สักคำ ดูจะเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อย แน่นอนว่าที่เป็นได้มากกว่านั้นก็คือ ม่อจิ่งหลีเคยล่วงเกินอะไรบุรุษผู้นี้ไว้โดยไม่รู้ตัว 

 

 

           ชิงอวี้ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง มองคนนั้นทีคนนี้ที ก่อนเอ่ยถามสีหน้าประหลาดใจ “งานสมรสวันพรุ่งจะยังเป็นไปตามกำหนดหรือไม่เจ้าคะ” 

 

 

           ชิงหลวนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “คงไม่มีอันใดหรอก ข้าได้ยินคุณชายเฟิ่งจือเหยาสั่งองครักษ์ของท่านติ้งอ๋องว่าให้คนของท่านหลีอ๋องไปช่วยนายของเขาก่อนฟ้าสว่าง”  

 

 

ชิงอวี้พยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นคุณหนูก็รีบพักผ่อนเสียแต่ยามนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ วันพรุ่งหากสีหน้าคุณหนูไม่สดชื่นจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้” 

 

 

           ชิงซวงพยักหน้าเร็วๆ อย่างเห็นด้วย นางเองก็ไม่อยากให้ผู้ใดมาฉวยโอกาสทำลายชื่อเสียงของคุณหนูได้อีก 

 

 

           “…” 

 

 

           จะไม่มีผู้ใดคิดเลยหรือว่าการจัดงานแต่งงานก็เป็นเรื่องที่กินกำลังมากเหมือนกัน หากวันพรุ่งเจ้าบ่าวเกิดเป็นลมหรืออะไรขึ้นมา…เยี่ยหลีคิดโดยไม่รู้สึกผิด ก่อนเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนตามที่เหล่าสาวใช้แนะนำ 

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset