ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 52-3 กระบี่ในตำนาน

“ติ้งอ๋องเสด็จ!” มีเสียงเอ่ยรายงานขึ้นจากด้านนอก ม่อซิวเหยาพร้อมด้วยอาจิ่นปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างลอบถอนหายใจ มู่หรงถิงแอบกะพริบตาปริบๆ ใส่เยี่ยหลี

 

 

           เหลยเถิงเฟิงที่เดิมทีนั่งอย่างสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเข้ามาก็ถึงกับขยับนั่งตัวตรงขึ้นทันที พร้อมส่งสายตาเฉียบคมประหนึ่งคมมีดไปมองสำรวจใบหน้านิ่งขรึมเรียบเฉยของม่อซิวเหยา ก่อนหันกลับไปมองทางเยี่ยหลี

 

 

เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ เกรงว่าในใจซื่อจื่อตอนนี้คงกำลังนึกคาดเดาว่า สำหรับม่อซิวเหยาแล้ว กระบี่หลั่นอวิ๋นกับนางที่เป็นคู่หมั้นนั้น สิ่งใดจะสำคัญกว่ากัน และที่ม่อซิวเหยามานี้ด้วยเหตุอันใด

 

 

           “คารวะติ้งอ๋อง ผู้น้อยเหลยเถิงเฟิง ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” เหลยเถิงเฟิงยืนขึ้นพร้อมเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม

 

 

           “ซื่อจื่อมีมารยาทแล้ว เมื่อสมัยข้ายังเด็กได้เคยเห็นความสง่างามของท่านเจิ้นหนานอ๋องเป็นบุญตา ไม่ได้พบท่านหลายปี คิดว่าท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม ใช่หรือไม่” ม่อซิวเหยาพยักหน้าขรึมๆ พร้อมตอบกลับอย่างมีมารยาท

 

 

เหลยเถิงเฟิงหางตากระตุก ก่อนยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว “พระบิดาสุขภาพแข็งแรงดี ยังเคยเอ่ยถึงท่วงท่าของท่านอ๋องในสมัยก่อนอยู่บ่อยๆ หวังให้ข้าสามารถเป็นได้อย่างท่านบ้างสักนิด”

 

 

สีหน้าม่อซิวเหยายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งสงบว่า “ท่านอ๋องชมเกินไปแล้ว ได้พบซื่อจื่อครานี้ ก็ทราบได้ทันทีว่าเจิ้นหนานอ๋องมีผู้สืบทอดแล้ว”

 

 

           เมื่อเห็นชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้าสามารถโอภาปราศรัยกันไปได้เรื่อยๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้แล้ว ทำให้เยี่ยหลีนึกอยากจะหัวเราะออกมา ไม่รู้มีใครเคยกล่าวไว้ว่า กิจกรรมทางการทูตนั้นเป็นกิจกรรมที่ออกไปทางผู้หญิงเสียมาก

 

 

           เมื่อการพูดคุยตามมารยาทจบลง ม่อซิวเหยาเลื่อนเก้าอี้รถเข็นไปข้างเยี่ยหลี ก่อนถามเสียงเบาว่า “อาหลีอารมณ์ดีมากหรือ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อได้ให้ของขวัญล้ำค้ามาชิ้นหนึ่ง ท่านอ๋องมาพอดี ถ้าเช่นนั้น มาชื่นชมด้วยกันเลยดีไหมเพคะ”

 

 

           ม่อซิวเหยาอมยิ้มก่อนพยักหน้า มองไปยังกระบี่หลั่นอวิ๋นที่อยู่ในกล่อง สายตาเขาสงบนิ่ง ไม่มีแววไหวูบเลยแม้แต่น้อย ประหนึ่งภายในกล่องนั้นเป็นเพียงกระบี่ธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง เขาหันไปพูดกับเหลยเถิงเฟิงว่า

 

 

“ลำบากฮ่องเต้และพระบิดาของท่านแล้ว กระบี่เล่มนี้สูญหายไปหลายปี ไม่คิดว่าวันนี้จะได้เห็นมันอีกครั้ง”

 

 

เหลยเถิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น “กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นสมบัติล้ำค่าของต้าฉู่ ก็ควรจะได้กลับมาอย่างปลอดภัย เพียงแต่ไม่รู้ว่าข้าจะมีโอกาสได้เห็นความสวยงามของกระบี่เล่มนี้ไหม”

 

 

           “อาจิ่น”

 

 

           อาจิ่นเดินไปหน้าองครักษ์จากแคว้นซีหลิง ก่อนใช้สองมือประคองกระบี่มาไว้ตรงหน้าม่อซิวเหยาด้วยความระมัดระวัง ม่อซิวเหยารับไปด้วยมือเพียงมือเดียว ก่อนเงยหน้าขึ้นถามว่า “อาหลี เจ้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เยี่ยหลีก้มศีรษะลง ยื่นมือไปสัมผัสปลอกกระบี่เก่าแก่นั้น ก่อนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่ชำนาญในเรื่องนี้ แต่ก็รู้ได้ว่านี่เป็นกระบี่ชั้นเลิศเล่มหนึ่ง”

 

 

เยี่ยหลีไม่สันทัดในเรื่องกระบี่เลยจริงๆ กระบี่ที่นางพบเห็นในชาติก่อนก็เป็นกระบี่ที่คุณตาคุณยายใช้รำไทเก็กในสวนสาธารณะเท่านั้น ในสมรภูมิยุคปัจจุบัน ถึงแม้จะมีอาวุธที่ทำจากเหล็กแต่ก็ไม่ใช่กระบี่อยู่ดี แต่เป็นมีดสั้น ดาบปลายปืน หรือสนับมือปลายแหลมที่เหมาะแก่การโจมตีระยะใกล้เท่านั้น เยี่ยหลีค่อยๆ จับด้ามกระบี่ นางไม่ได้รีบร้อนดึงกระบี่ออกทันที หากกระบี่เล่มนี้ดึงออกยากและควบคุมยากอย่างที่เหลยเถิงเฟิงว่าจริง เช่นนั้นนางคิดว่า มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่ปลอกกระบี่และตัวกระบี่นี้จะมีกลไกอันใดอยู่เป็นแน่ ม่อซิวเหยาอมยิ้มก่อนขยับมือไปจับมือเยี่ยหลีที่กุมด้ามกระบี่ไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งยกตัวกระบี่ขึ้น ภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้องอยู่ เยี่ยหลีรับรู้ได้ว่ามือม่อซิวเหยาที่จับมือตนอยู่นั้นขยับเล็กน้อยพร้อมดึงกระบี่ออกมา…

 

 

           ประกายเย็นวาบปรากฏขึ้น พร้อมกันนั้นกระบี่ก็ส่งเสียงดังชิ้ง ภายในห้องโถงเสมือนทุกอย่างหยุดนิ่ง เพียงชั่วแวบเดียวเท่านั้น เยี่ยหลีกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งการรบที่ยิ่งใหญ่ อวลไปด้วยรังสีการสังหารที่ส่งมาจากตัวกระบี่ นี่เป็นรังสีอันตรายที่มีแต่ผู้ที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ ไม่รู้ม่อซิวเหยาปล่อยมือนางไปตั้งแต่เมื่อใด เยี่ยหลีกุมกระบี่อยู่ในมือก่อนเหวี่ยงออกทางด้านข้าง ภาพวาดที่แขวนอยู่บนกำแพงไม่ไกลนักก็ขาดทันที

 

 

ช่างเป็นกระบี่ที่ดียิ่งนัก! เยี่ยหลีนึกชื่นชมในใจ แค่เพียงปลายแหลมของคมกระบี่ก็สามารถตัดภาพวาดโบราณให้ขาดได้ ถือว่าเป็นคมกระบี่ที่เพียงลมพัดก็สามารถตัดผมให้ขาดได้โดยแท้จริง เยี่ยหลีกระชับกระบี่ยาวที่อยู่ในมือมั่น พร้อมส่งสายตานิ่งสงบไปยังเหลยเถิงเฟิงที่จ้องนางเขม็ง

 

 

           ทุกคนยังไม่ทันเรียกสติกลับมา ม่อซิวเหยาก็ได้รับกระบี่หลั่นอวิ๋นจากมือเยี่ยหลีมาเสียบกลับเข้าฝักเสียแล้ว เหลยเถิงเฟิงมองรูปภาพโบราณบนกำแพงที่เหลืออยู่เพียงครึ่ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพ่นลมหายใจออกมา “เป็นกระบี่ที่ดีจริงๆ เสียด้วย”

 

 

ส่วนเรื่องที่เยี่ยหลีสามารถควบคุมกระบี่เล่มนี้ได้หรือไม่นั้น ไม่มีใครนึกสนใจอีก เพราะนางสามารถดึงกระบี่อันล้ำค่าที่คมกริบออกมาไว้ในมือได้แล้ว มือของเยี่ยหลีที่ดูบอบบางไม่มีแรงนั้น สามารถถือกระบี่เล่มนั้นได้อย่างมั่นคงก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องที่ยืนกรานจะให้นางรำกระบี่นั้น ต่อให้เป็นเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อที่มาด้วยใจที่ไม่เป็นมิตรก็ยังไม่กล้าที่จะเอ่ยปากอีก

 

 

           ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยลูบหนวดที่ได้รับการตัดแต่งอย่างดีพร้อมยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบานด้วยความพอใจ บุตรสาวตระกูลเยี่ยช่วยให้ต้าฉู่ได้กระบี่อันล้ำค้าที่หายสาบสูญไปกลับคืนมา ทั้งยังจะได้กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นสินเดิมติดตัวไปยามแต่งงานอีก ช่างเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากจริงๆ

 

 

           เยี่ยหลีถอนหายใจในใจ หากกระบี่เล่มนี้อยู่ในจวนเยี่ย หลังคาบ้านเยี่ยคงได้ถูกคนเหยียบจนราบเรียบลงเป็นแน่ นางไม่เชื่อว่าเหลยเถิงเฟิงให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แล้วจะยอมจากไปเงียบๆ แต่ของขวัญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะไม่รับไว้ก็คงไม่ได้

 

 

           “ซื่อจื่อ กระบี่เล่มนี้จะอย่างไรดีเพคะ” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ มองเหลยเถิงเฟิงที่ดูจะยังเรียกสติกลับมาได้ไม่เต็มที่

 

 

           เหลยเถิงเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงสงสัย ก่อนหันไปมองม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ข้างๆ นาง แล้วจึงแย้มยิ้มขึ้น “แน่นอนว่ากระบี่เล่มนี้ย่อมให้เป็นของขวัญแสดงความยินดีแก่พระชายาติ้งอ๋อง ข้าน้อยขออวยพรให้ท่านทั้งสองครองคู่กันอย่างมีความสุขไปยั่งยืนนาน ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”

 

 

           ม่อซิวเหยากล่าวว่า “ถ้าเช่นนี้ ข้าขอรับคำอวยพรจากท่านไว้”

 

 

           เหลยเถิงเฟิงลุกขึ้นพูดกับทุกคนว่า “ข้าได้ส่งมอบของขวัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน แล้วเมื่อถึงวันมงคลใหญ่ข้าจะมารบกวนท่านอ๋องอีกครั้ง”

 

 

           “ขอเชิญท่าน ข้าขอไม่ส่ง”

 

 

           เมื่อส่งเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อกลับไปแล้ว มู่หรงถิงจ้องกระบี่หลั่นอวิ๋นที่อาจิ่นใช้สองมือประคองอยู่ตาไม่กะพริบจนลูกตาแทบจะถลนออกมา ทั้งยังเอามือข้างหนึ่งดึงแขนเสื้อเยี่ยหลีไว้อย่างลืมรักษากิริยา

 

 

“อาหลี อาหลี…นั่นกระบี่หลั่นอวิ๋นเชียวนะ…กระบี่หลั่นอวิ๋นจริงๆ…ข้าขอจับดูหน่อยได้หรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีมองสีหน้าอยากได้ของนางก่อนหันไปมองม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

“ไม่เป็นไร ในเมื่อเขาให้เจ้า อีกหน่อยก็ถือว่าเป็นของอาหลี”

 

 

           เยี่ยหลีมองเขาก่อนตอบว่า “ข้ายังคิดเสียอีกว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สืบทอดกันมาของตำหนักติ้งอ๋อง” มาตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ทว่ามู่หริงถิงกลับไม่ได้สนใจอันใด นางส่งเสียงออกมาเบาด้วยความตื่นเต้นก่อนพุ่งไปคว้าเอากระบี่จากมืออาจิ่นมาอุ้มไว้ พร้อมลูบคลำไม่หยุด

 

 

           ม่อซิวเหยาพยักหน้า ของที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายปีเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมเป็นสมบัติล้ำค่า หากได้สืบทอดกันต่อไปอีกสักพันปี ก็คงมีชื่อเสียงไม่แพ้กระบี่คู่กั้นเจี้ยงม่อเหยียในตำนานเป็นแน่

 

 

           มู่หรงถิงลูบคลำกระบี่ล้ำค่าอย่างหลงใหล พร้อมพูดว่า “อันที่จริง ข้าได้ยินมาว่าในกระบี่หลั่นอวิ๋นนั้น ได้ซ่อนตำราพิชัยสงครามกับสมบัติของติ้งอ๋องไว้ แน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ ส่วนสำคัญคือติ้งอ๋องทุกรุ่นเคยใช้กระบี่ล้ำค่าเล่มนี้ ข้ามีโอกาสได้สัมผัสมันเช่นนี้ถือเป็นบุญวาสนาของข้ายิ่งแล้ว ท่านพ่อข้าจะต้องอิจฉาข้าจนเป็นลมแน่ๆ”

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้ความคลั่งไคล้เช่นนี้ ไม่ว่าในยุคสมัยใดก็มีได้ทั้งนั้น

 

 

“ตำราพิชัยสงคราม สมบัติอย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงกระบี่เล่มนี้จะยังอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้รับความเสียหายเช่นนี้หรือ”

 

 

ถึงอย่างไรแคว้นซีหลิงก็น่าจะแยกชิ้นส่วนมันออกมาเพื่อตรวจสอบโดยละเอียดถึงจะถูก ม่อซิวเหยาเหลือบมองกระบี่ในมือมู่หรงถิง นัยน์ตามีประกายอบอุ่น ก่อนพูดขึ้นเรียบๆ ว่า “พวกเขาได้สำรวจดูแล้ว ตัวกระบี่ไม่มีอันใดเสียหาย”

 

 

           “ดังนั้นคือ?” มู่หรงถิงลืมไปชั่วขณะว่าบุคคลตรงหน้าเป็นใคร ตั้งตารอให้ม่อซิวเหยาเอ่ยไขความกระจ่าง

 

 

           ม่อซิวเหยายิ้ม มองไปทางเยี่ยหลี “ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่ง ตามกลับมาได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสมบัติของบรรพบุรุษ หากตามกลับมาไม่ได้ก็แค่หานักตีกระบี่ให้ตีเล่มใหม่ขึ้นมาก็ได้แล้ว”

 

 

           “เช่นนั้นตำราพิชัยสงครามกับสมบัติเล่าเพคะ” มู่หรงถิงถามอย่างหมดหวัง

 

 

           ม่อซิวเหยามองทุกคนนิ่ง “กระบี่หลั่นอวิ๋นตีขึ้นสมัยที่ท่านปู่ทวดมีอายุสิบหกปี ด้วยเงินที่ท่านปู่ทวดสะสมมาทั้งหมด จะมีสมบัติกับตำราพิชัยสงครามอยู่ได้อย่างไร”

 

 

           ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก คนภายนอกต่างรับรู้เพียงว่ากระบี่หลั่นอวิ๋นอยู่ข้างกายม่อหลั่นอวิ๋นมาทั้งชีวิต ทั้งยังเป็นกระบี่ที่ไม่เคยห่างกายติ้งอ๋องทุกรุ่น จึงคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าข้างในนั้นจะต้องมีความลับอันใดซ่อนอยู่ แต่กลับลืมคิดไปว่า กระบี่หลั่นอวิ๋นเป็นกระบี่ที่ตีขึ้นสมัยที่ม่อหลั่นอวิ๋นอายุยังน้อย ในตอนนั้นม่อหลั่นอวิ๋นเป็นเพียงคุณชายอายุน้อยที่บ้าระห่ำคนหนึ่งเท่านั้น จะเทียบกับติ้งอ๋องที่ช่วยพี่ชายปราบดินแดนโดยรอบในยี่สิบปีให้หลังก็คงจะไม่ได้ แต่แม้แต่เจ้ากรมเยี่ยที่อ่านแต่ตำราและไม่เข้าใจอันใดเกี่ยวกับกระบี่หลั่นอวิ๋นเลยยังอดที่จะนึกเสียดายไม่ได้

 

 

           “หากกระบี่หลั่นอวิ๋นมีของสำคัญเช่นนั้นจริง ใครเลยจะพกติดตัวไว้ และจะหายไปง่ายๆ เช่นนั้นได้อย่างไร อาหลี ข้ากลับก่อนนะ กลับไปคราวนี้ข้าจะส่งคนมาให้อีกสองสามคนดีหรือไม่”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า หยิบกระบี่หลั่นอวิ๋นจากมือมู่หรงถิงมาโยนให้อาจิ่น “กระบี่หลั่นอวิ๋นนี้ท่านนำกลับไปที่ตำหนักติ้งอ๋องก่อนจะดีกว่า เก็บไว้ที่ข้าไม่ค่อยสะดวกนัก” นางยังไม่นึกสนุกเก็บมันไว้เพื่อให้ใครต่อใครมาปีนหลังคาห้องนางจนราบเรียบหรอก

 

 

           ม่อซิวเหยาพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”

 

 

           มู่หรงถิงมองตามกระบี่หลั่นอวิ๋นจนมันหายลับไปจากประตู ก่อนจะเก็บสายตาอาลัยอาวรณ์กลับมา

 

 

           ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีด้วยความสงสัย “เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่าในกระบี่หลั่นอวิ๋นนั้นไม่มีความลับอันใดซ่อนอยู่”

 

 

           เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “หากข้ามีตำราพิชัยสงครามกับสมบัติมีค่า ข้าก็คงไม่เก็บมันไว้ในกระบี่เช่นกัน” หากเป็นกระบี่ที่ใช้อยู่เป็นประจำ ย่อมต้องพกติดตัวไว้ตลอดเวลา กระบี่ที่มีชื่อเสียงและยังมีขนาดไม่เล็กเช่นนี้ ไม่ใช่ของที่ดีที่จะเอาไว้ซ่อนความลับเลยจริงๆ

 

 

           “พวกเจ้ามันคนจิตใจหยาบกระด้าง! นั่นเป็นสมบัติตกทอดของติ้งอ๋องนะ! สมบัติตกทอดเชียวนะ…” มู่หรงถิงตวัดสายตาขุ่นเคืองไปยังคนจิตใจหยาบกระด้างทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถง

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset