มู่หรงถิงมองพวกคนจิตใจหยาบกระด้างด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนหันไปชื่นชมมือสองข้างของตนที่ได้เคยสัมผัสมรดกตกทอดของติ้งอ๋องของตนเองต่อไป
เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยชื่นชมเยี่ยหลีเสียยกใหญ่ เขาพอนึกภาพออกเลยว่า เมื่อข่าวที่เยี่ยหลีสามารถนำกระบี่หลั่นอวิ๋นกลับมาได้แพร่ออกไปนั้น จะนำชื่อเสียงและความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลเยี่ยมากเพียงใด ส่วนเรื่องที่ว่าในกระบี่หลั่นอวิ๋นจะมีสมบัติหรือตำราพิชัยสงครามอันใดนั่นหรือไม่นั้น ถือเป็นเรื่องรอง เจ้ากรมเยี่ยรู้ตัวดีว่า ต่อให้มีสมบัติอยู่จริง เขาก็คงไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในนั้นอยู่ดี เมื่อเทียบกันแล้ว ชื่อเสียงที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอันใดนั้น ย่อมมีความหมายต่อเขามากกว่าอย่างแน่นอน
“พี่สามช่างมีวาสนาจริงๆ พอติ้งอ๋องทราบข่าวว่าเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อมาเยี่ยมก็รีบมาโดยเร็วเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าท่านอ๋องให้ความสำคัญกับพี่สามเพียงใด” เยี่ยอิ๋งมองเยี่ยหลีด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ พร้อมพูดเสียงเบา
เยี่ยหลียิ้มบ้างๆ ก่อนตอบว่า “น้องสี่กับท่านหลีอ๋องก็มีใจรักใคร่กันอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกันมิใช่หรือ” เยี่ยอิ๋งเหลือบมองหลีอ๋องอย่างรวดเร็ว ก่อนก้มหน้าลงอย่างน่าสงสาร
เจ้ากรมเยี่ยมองเหตุการณ์ทั้งหมดพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย หรือว่าเยี่ยหลีอยู่ที่ตำหนักหลีอ๋องจะถูกรังแกจริงๆ เมื่อคิดขึ้นมาเช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยจึงหันมองม่อจิ่งหลีโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนหันไปพูดกับเยี่ยอิ๋งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หลายวันนี้อิ๋งเอ๋อร์อยู่ที่ตำหนักหลีอ๋องพอคุ้นเคยบ้างหรือยัง”
“อิ๋งเอ๋อร์สบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ ลำบากท่านพ่อเป็นกังวลแล้ว” เยี่ยอิ๋งหลุบตาลงพร้อมเอ่ยตอบเสียงเบา
เจ้ากรมเยี่ยพอวางใจขึ้น แล้วหันไปยิ้มให้ม่อจิ่งหลีว่า “อิ๋งเอ๋อร์ได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมมาตั้งแต่เล็กๆ หากมีเรื่องใดที่ทำไม่ถูกไม่ควร หวังว่าท่านอ๋องจะได้โปรดให้อภัยนางด้วย”
ม่อจิ่งหลีตอบว่า “ท่านพ่อตาวางใจเถิด ข้าจะรักและทะนุถนอมอิ๋งเอ๋อร์อย่างดี”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อีกไม่กี่ก็จะถึงวันสมรสใหญ่ของหลีเอ๋อร์ ฮ่าๆ ปีนี้ตระกูลเยี่ยของเราถือได้ว่ามีงานมงคลใหญ่ถึงสองงานเลยทีเดียวเชียว” เจ้ากรมเยี่ยยิ้มด้วยความพอใจ ขณะที่อีกสามคนที่เหลือล้วนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้า “ท่านพ่อกล่าวถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”
วันที่สิบสอง เดือนห้า
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เยี่ยหลีก็ถูกคนปลุกให้ตื่นเสียแล้ว ถึงแม้นางจะเป็นคนที่นอนเร็วและตื่นเช้าเป็นปกติ แต่เมื่อเห็นท้องฟ้าที่ยังคงมืดสนิท ก็ทำให้นางรู้สึกเกียจคร้านไม่น้อย เวลารับตัวเจ้าสาวกำหนดไว้ตอนครึ่งชั่วยามก่อนเวลาเที่ยงตรง แต่นางกลับต้องตื่นมาให้คนแต่งหน้าแต่งตัวตั้งแต่ยามโฉ่ว[1] เมื่อสาวใช้ปรนนิบัติให้อาบน้ำในน้ำดอกไม้หอมกรุ่นเสร็จแล้ว ท่านป้าสะใภ้รอง พร้อมด้วยฮูหยินใหญ่แห่งจวนฮว่ากั๋วกง ฉินฮูหยินท่านแม่ของฉินเจิง เยี่ยฮูหยิน ท่านน้าสะใภ้ที่ก่อนหน้านี้เคยช่วยเยี่ยหลีจัดเตรียมสินเดิม รวมทั้งมู่หรงถิง ฮว่าเทียนเซียง ฉินเจิง และฉินอวี่หลิงต่างมารอกันอยู่ในชิงอี้เซวียนพร้อมอยู่แล้ว ฮว่าเทียนเซียงใช้สองมือถือชุดแต่งงานที่ทำจากผ้าไหมเฟิ่งหวางเข้ามาภายในห้อง ประกายสะท้อนจากผ้าไหมเฟิ่งหวางทำให้ใบหน้าที่งดงามอยู่แล้ว ยิ่งดูงามจับใจขึ้นไปอีก
ฮว่าเทียนเซียงอมยิ้มมองเยี่ยหลี พร้อมบอกนางผ่านรอยยิ้มว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ตอบ นางยกมือขึ้นตามมือคนที่มาช่วยนางใส่ชุดแต่งงานประหนึ่งเป็นหุ่นไม้ ภายใต้แสงเทียน ผ้าไหมเฟิ่งหวางอันล้ำค่าและสง่างามขยับล้อไปกับแสงเทียน ลายดอกโบตั๋นอันประณีตงดงามปรากฏขึ้นวับแวม ใบหน้างดงามที่ปกติติดไปทางขาวซีดของเยี่ยหลี เมื่อมาอยู่ภายใต้ชุดแต่งงานสีแดงสด ก็ทำให้ดูมีประกายแห่งความยินดีขึ้นหลายส่วน
“สวยจริงๆ สมแล้วที่เป็นผ้าไหมเฟิ่งหวาง…” มีเสียงพึมพำดังขึ้นเบาๆ ทุกคนต่างจ้องมองกันอย่างตะลึงงัน
เมื่อฮว่าฮูหยินใหญ่เห็นสีหน้าของสวีฮูหยินที่กำลังมองเยี่ยหลีด้วยความปลาบปลื้มใจแล้ว ก็ได้รู้ถึงความสำคัญของเยี่ยหลีที่มีต่อตระกูลสวียิ่งขึ้น นางหันไปสะกิดลูกสาวที่กำลังนิ่งอึ้งอยู่ พร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ถ้าจะยืนชื่นชมเฉยๆ ก็ยืนหลบไปหน่อย อย่ามายืนขวางการแต่งตัวของพวกแม่เลย” นางพูดพร้อมดึงเยี่ยหลีให้ไปนั่งหน้ากระจกอย่างไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ คอยฟังสวีฮูหยินและฉินฮูหยินช่วยกันปรึกษาหารือว่าควรจะทำทรงผมทรงไหนดี
เยี่ยหลีนั่งเงียบอยู่หน้ากระจก ปล่อยให้ฮูหยินทั้งหลายดึงทึ้งกันได้ตามสบาย ระหว่างนั้นก็คอยมองมู่หรงถิงที่ลากเด็กสาวสามสี่คนมาแอบส่งสายตาให้นางอยู่ที่มุมหนึ่ง กว่าฮูหยินแต่ละคนที่มีความคิดเห็นเป็นของตนเองจะตกลงเรื่องทรงผมกันได้ ฟ้าข้างนอกก็เริ่มสว่างแล้ว เยี่ยหลีแอบกลอกตา ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจะต้องเริ่มเตรียมตัวกันตั้งแต่เช้าเช่นนี้ หากรอให้ฟ้าสว่างแล้วค่อยเริ่มเตรียมตัว เกรงว่าคณะรับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วก็คงยังจัดการกันไม่เสร็จ
เมื่อจัดการเรื่องผมเผ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สาวใช้สามสี่คนก็ยกเครื่องประดับหลายชุดที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้เข้ามาอย่างรู้งาน ฮว่าฮูหยินใหญ่ไม่ได้รีบร้อนประดับเครื่องประดับเหล่านั้นให้เยี่ยหลี แต่กลับหันไปสั่งสาวใช้พร้อมรอยยิ้มว่า “รีบไปหาอันใดมาให้คุณหนูของพวกเจ้ารองท้องก่อนเร็ว อีกประเดี๋ยวถ้าแต่งหน้าเสร็จแล้ว ก็จะไม่ได้กินอันใดอีกแล้วนะ”
ชิงซวงทำหน้าทะเล้น หัวเราะแหะๆ ก่อนดึงชิงอวี้ให้ออกไปเตรียมอาหารด้วยกัน ฮูหยินทั้งหลายเองต่างก็จับจูงมือกันออกไปนั่งพักเช่นกัน
เมื่อผู้ใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว เด็กๆ ที่เหลือสามสี่คนจึงรีบเข้ามารุมล้อมเยี่ยหลีทันที “เป็นอย่างไรบ้างอาหลี เจ้าตื่นเต้นหรือไม่” มู่หรงถิงโค้งตัวลงมาเท้าคางอยู่บนโต๊ะ ก่อนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย “ข้าตื่นเต้นหรือไม่เจ้าไม่ต้องรู้หรอก รออีกหน่อยคงถึงคราวข้าดูเจ้าบ้างว่าจะตื่นเต้นหรือไม่” ใบหน้าเรียวของมู่หรงถิงซับสีเลือดขึ้นทันที ก่อนกัดฟันตอบว่า “ข้าจะไม่…จะไม่ตื่นเต้นหรอกน่า”
ฮว่าเทียนเซียงยิ้มตาหยีมองนาง “แค่พูดก็ติดๆ ขัดๆ เสียแล้ว ยังจะกล้าพูดว่าไม่ตื่นเต้นอีก เจ้าจะต้องตื่นเต้นกว่าอาหลีเป็นแน่ อืม…คนต่อไปคงถึงคราวเจิงเอ๋อร์ เจิงเอ๋อร์เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อมหน่อยนะ”
ฉินเจิงถลึงตาใส่ฮว่าเทียนเซียงอย่างเคืองๆ พูดเสียงเบาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อว่า “อยู่ดีๆ มาพูดถึงข้าทำไมกัน”
ใบหน้าที่มีแววเขินอายของนางทำให้เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปหยิกแก้มนางเบาๆ แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ที่เทียนเซียงพูดมาก็มีเหตุผลน้า พี่สะใภ้ในอนาคต”
“พวกเจ้า…หลีเอ๋อร์ วันนี้เป็นวันแต่งงานของเจ้านะ เหตุใดเจ้า…เหตุใด…” ฉินเจิงได้แต่มองเพื่อนรักที่พากันหัวเราะนางกันยกใหญ่ แล้วยังฉินอวี่หลิงที่หลบมุมแอบหัวเราะอยู่อีกคน คนที่ควรเขินกลับไม่เขิน กลับเป็นนางที่ไม่ได้เกี่ยวอันใดด้วยเลยที่ทั้งเขินทั้งอายแทน
ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะพลางเช็ดน้ำตา “เจิงเอ๋อร์คนดีอย่าได้โมโหไปเลย นางเป็นคนประหลาด เจ้าอย่าไปหวังว่าจะได้เห็นท่าทีเขินอายของนางเลย” พูดจบก็หันกลับไปมองสำรวจเยี่ยหลี ก่อนฮว่าเทียนเซียงจะพยักหน้าด้วยความพอใจ “หลีเอ๋อร์ของพวกเราช่างเป็นสาวงามจริงๆ”
เยี่ยหลีไม่รู้จะรู้สึกอย่างไรกับคำพูดประโยคนี้ดี “เจ้าคงไม่ได้จะบอกว่า ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่งหรอกกระมัง”
“ใครเขาหมายความว่าอย่างนั้นกันเล่า เพียงแต่ปกติแล้วเจ้าไม่ใส่ใจเรื่องการแต่งหน้าแต่งตัวของตนเองเกินไปต่างหาก มาดูตอนนี้สิ ต่อให้ไม่มีเครื่องประดับ ไม่ได้แต่งหน้าแต่งตา ก็ยังดูเปล่งประกายงดงามเช่นนี้ คิกๆ…ติ้งอ๋องได้เห็นจะต้องอึ้งไปเป็นแน่”
เยี่ยหลีเพียงยักไหล่ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อ หากหญิงงามอย่างหลิ่วกุ้ยเฟยยังไม่อาจทำให้ม่อซิวเหยาสนใจได้ ก็ยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะต้องเป็นหญิงงามเพียงไรถึงจะทำให้เขาเห็นแล้วตกตะลึงไปได้
พวกชิงซวงยกอาหารง่ายๆ สามสี่อย่างเข้ามาให้ เมื่อกินเสร็จแล้วและได้พักอีกนิดหน่อย ฮูหยินสามสี่ท่านก็เข้ามาเตรียมเลือกเครื่องประดับและประทินโฉมให้นางต่อ
ด้วยเพราะชุดแต่งงานไม่อาจลองก่อนและมีชุดสำรองไม่ได้ ดังนั้นแม้แต่เครื่องประดับ ทรงผมและการแต่งหน้าจึงจะต้องรอจนสวมชุดแต่งงานได้แล้ว จึงจะค่อยจัดการส่วนที่เหลือตามชุดแต่งงานที่ใส่ออกมา ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงได้เตรียมเครื่องประดับไว้สำหรับเลือกทั้งหมดสามชุด ท้ายสุดฮูหยินทุกท่านต่างเห็นพ้องที่จะเลือกเครื่องประดับหลักเป็นชุดทองฝังอัญมณีสีแดงรูปดอกโบตั๋น แซมด้วยปิ่นทองประดับอัญมณีอีกสามสี่ชิ้น จากนั้นก็วาดคิ้วพร้อมลงแป้งบางๆ ฉินฮูหยินมีความคิดไม่เหมือนใครจึงวาดดอกโบตั๋นบานครึ่งหนึ่งไว้ตรงหว่างคิ้ว
เยี่ยหลีเหม่อมองหญิงสาวที่สวยสดงดงามในกระจก แวบหนึ่งที่นางเกือบจำตัวเองไม่ได้ เส้นผมดำขลับได้รับการจัดแต่งเป็นทรงสวยสง่า อัญมณีของเครื่องประดับที่ห้อยระย้าลงมาขยับไปมาเบาๆ ล้อกับแสงไฟ ยิ่งช่วยขับให้หญิงสาวในชุดสีแดงสดดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น เยี่ยหลีลอบยิ้มน้อยๆ ในใจ นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า คำว่ามีเสน่ห์และงดงามนี่จะสามารถนำมาใช้อธิบายถึงตัวนางได้เช่นนี้
“งามจริง หลีเอ๋อร์เองก็ตะลึงเช่นกันใช่หรือไม่” ฮว่าเทียนเซียงเอ่ยพร้อมยิ้มอย่างล้อเลียน
เยี่ยหลีถลึงตาใส่นางเสียทีหนึ่ง ก่อนฮว่าฮูหยินจะอมยิ้มพร้อมดันสาวๆ ทั้งหลายให้ออกไปด้านนอก “เอาเถิด ทุกคนออกไปกันก่อน ให้เจ้าสาวได้พักสักหน่อย อีกเดี๋ยวคณะรับตัวเจ้าสาวก็คงมาถึงแล้ว” ทุกคนต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับเยี่ยหลีอีกครั้งก่อนเดินออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มยินดี เหลือเพียงสวีฮูหยินที่รั้งอยู่เป็นคนสุดท้าย จนกระทั่งสวีฮูหยินส่งสมุดบางๆ เล่มหนึ่งให้เยี่ยหลีพร้อมเอ่ยสั่งการให้อ่านให้ละเอียดด้วยสีหน้าปลื้มปริ่มแล้ว จึงค่อยเดินออกไปเป็นคนสุดท้าย เยี่ยหลีได้แต่นั่งอึ้งมองสมุดเล่มที่อยู่ตรงหน้าเงียบๆ นางแทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในคืออันใด เยี่ยหลีนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนยืนขึ้นนำสมุดเล่มนั้นไปใส่ไว้ใน**บที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน
[1] ยามโฉ่ว เท่ากับช่วงเวลาประมาณ 1.00 – 2.59 น.