องค์หญิงเตรียมตัวพร้อมแล้วจริงอย่างที่เขาว่า ไปถึงหน้าประตูเรือนได้ไม่ทันไรก็มีสาวใช้ประจำตัวองค์หญิงมาเชิญทั้งสองเข้าไปด้านใน องค์หญิงกำลังนั่งดื่มชาอยู่บนที่นอน เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาใบหน้าพระองค์ก็ยิ้มแย้มขึ้นทันที พระองค์หันไปกวักมือเรียกม่อซิวเหยา “ซิวเหยา รีบเข้ามาให้ป้าดูหน่อยเร็ว สะใภ้ของซิวเหยาด้วย มา มาเร็วเข้า” ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีเดินเข้าไปทำความเคารพ “ถวายพระพรเสด็จป้า”
องค์หญิงยื่นมือมาดึงเยี่ยหลีให้นั่งลงข้างกายตน เมื่อมองสำรวจโดยละเอียดแล้วจึงได้พยักหน้าติดต่อกันหลายครั้งด้วยความพอใจ “ดีๆๆ นี่สิถึงจะเป็นสะใภ้ที่ดีของตำหนักติ้งอ๋อง ข้ามองดูแล้วรู้สึกชอบใจยิ่งนัก ครั้งนี้ถือว่าฮ่องเต้จัดการได้ดีทีเดียว ซิวเหยาต้องครองคู่กับหลีเอ๋อร์ให้ดีนะ หากกล้าทำเรื่องกวนใจอันใดให้เยี่ยหลีโกรธ ข้าจะจัดการเจ้าเอง!”
ม่อซิวเหยาไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ “เสด็จป้า…”
เยี่ยหลีลอบยิ้มมองท่าทีประหนึ่งตกที่นั่งลำบากของม่อซิวเหยาซึงยากจะได้เห็นอย่างสุขใจ องค์หญิงจับมือเยี่ยหลีอย่างเป็นกันเอง “หลีเอ๋อร์ เจ้าไม่รู้อะไร เจ้าเด็กคนนี้ตอนเด็กๆ เจ้าเล่ห์จะตาย ไม่เล่นซนสักวันเป็นไม่มี ขาดก็แค่พระบิดาเขายังไม่โกรธจนเป็นลมไปเท่านั้น หลายปีนี้ค่อยสุขุมขึ้นมาก โตแล้วค่อยรู้เรื่องขึ้นบ้าง พวกเจ้าสองคนสามีภรรยาอยู่ด้วยกันดีๆ หากโดนรังแกอะไรก็รีบไปหาข้า ข้าจะช่วยจัดการให้เจ้าเอง”
องค์หญิงผูไมตรีได้ง่ายกว่าที่นางคิดไว้มากนัก อาจเป็นได้ว่าเพราะพระองค์อายุมากแล้วจึงชื่นชอบเด็กๆ พระองค์จึงไม่มีทีท่านิ่งๆ หน้าตายอย่างที่ใครเขาว่ากันให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูเป็นกันเองเสียยิ่งกว่าฮูหยินผู้เฒ่าตระกูลเยี่ยเสียอีก
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เป็นพระกรุณาเพคะเสด็จป้า ซิวเหยาไม่กล้ารังแกหลีเอ๋อร์หรอกเพคะ” เมื่อได้ยินชื่อที่เยี่ยหลีเรียกขานเขา องค์หญิงก็ตาเป็นประกายยิ่งดูดีพระทัยขึ้นไปอีก จับมือเยี่ยหลีเล่าวีรกรรมสมัยเด็กของม่อซิวเหยาให้เยี่ยหลีฟังไม่หยุด ม่อซิวเหยาที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วย มุมปากกระตุกไม่หยุดอย่างยากนักจะได้เห็น จะเอ่ยห้ามก็ไม่ได้ จะออกไปก็ไม่ควร ทำได้เพียงนั่งฟังองค์หญิงขายวัยเด็กของตนให้เยี่ยหลีฟัง โดยมีเยี่ยหลีคอยส่งสายตาทั้งแปลกใจและขบขันมาให้เป็นระยะๆ
องค์หญิงดูจะไม่ได้สนใจความรู้สึกของม่อซิวเหยาหรือจิตใจของเยี่ยหลีเลยแม้แต่น้อย ถึงขั้นเอ่ยถึงเรื่องซูจุ้ยเตี๋ยที่เป็นหญิงในดวงใจของม่อซิวเหยาเมื่อสมัยเด็กๆ อีกด้วย
เยี่ยหลีรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาดูไม่ได้มีท่าทีว่าจะเอ่ยห้ามองค์หญิง นางจึงทำได้เพียงฟังต่อไป ดูเหมือนองค์หญิงจะไม่สังเกตเห็นสีหน้าของหนุ่มสาวทั้งสอง จึงจับมือเยี่ยหลีก่อนหันไปพูดกับม่อซิวเหยาว่า “ข้าเคยพูดไว้แต่แรกแล้ว เด็กสาวตระกูลซูนั่นไม่เหมาะกับเจ้า ตอนนี้ดูหลีเอ๋อร์สิ เจ้าต้องยอมรับนะว่าข้ามองคนได้แหลมคมกว่าเจ้าเยอะทีเดียว เจ้าว่าจริงหรือไม่”
“เสด็จป้า…” ม่อซิวเหยายิ้มฝืนๆ “เสด็จป้า ข้ายังต้องพาอาหลีไปกราบไหว้ท่านพ่อท่านแม่ เรื่องนี้ท่าน…ไว้มีเวลาว่างค่อยคุยกับเยี่ยหลีเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่”
พระองค์หญิงก้มหน้าคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดจึงได้เอ่ยออกมาว่า “เจ้าพูดก็ถูก ไปยกน้ำชาให้พ่อแม่เจ้าก่อนก็แล้วกัน ให้ชื่อของเยี่ยหลีขึ้นไปอยู่ในบัญชีตระกูลนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ อีกเดี๋ยวข้าก็ต้องไปแล้ว อีกหน่อยหลีเอ๋อร์อย่าลืมมาเยี่ยมข้าบ้างก็แล้วกันนะ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เสด็จป้าอยู่ต่ออีกหลายวันหน่อยไม่ได้หรือเพคะ”
องค์หญิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ข้าแก่แล้ว ออกมานอกบ้านก็ไม่ค่อยชินนัก รอให้พวกเจ้าพ้นช่วงแต่งงานใหม่ไปก่อนแล้วค่อยไปพักที่ตำหนักข้าก็แล้วกันนะ”
ในเมื่อพระองค์หญิงเอ่ยเช่นนี้ ทั้งสองย่อมไม่กล้าขอให้พระองค์อยู่ต่อ ม่อซิวเหยาพาเยี่ยหลีไปจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ แล้วกลับมารับประทานอาหารกลางวันเป็นเพื่อนองค์หญิง แล้วจึงได้ส่งองค์หญิงออกจากตำหนักติ้งอ๋องไป
ช่วงบ่ายม่อซิวเหยาแยกไปในห้องหนังสือเพียงลำพัง เยี่ยหลีเองก็มีเรื่องอีกไม่น้อยที่จะต้องจัดการจึงกลับไปที่เรือนของตนเช่นกัน เมื่อได้มองตำหนักติ้งอ๋องที่กลับมาเงียบสงบอีกครั้งแล้ว เยี่ยหลีก็อดรู้สึกเหมือนฝันไปไม่ได้ เพียงชั่วเวลาแค่วันเดียว นางก็ย้ายจากจวนตระกูลเยี่ยมาอยู่ตำหนักติ้งอ๋องเสียแล้ว นี่นางแต่งงานและกลายมาเป็นพระชายาติ้งอ๋อง อีกทั้งยังประหนึ่งคุ้นเคยกับทั้งหมดที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ
ด้วยเพราะนางเพิ่งแต่งงานเข้ามาใหม่ พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายของตำหนักติ้งอ๋องจึงไม่ได้นำกุญแจและสมุดบัญชีกองมหึมามาถมให้นาง ดังนั้นสิ่งที่เยี่ยหลีต้องจัดการจึงมีเพียงคนในเรือนกับสินเดิมของตนเพียงเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงเรือน ซุนหมัวมัวกำลังคุยกับหลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวรอนางอยู่ เมื่อเห็นเยี่ยหลีกลับเข้ามาก็รีบเดินเข้ามาคารวะทันที “พระชายา”
เยี่ยหลียิ้มแล้วกล่าวว่า “ซุนหมัวมัวเป็นคนเก่าคนแก่ของท่านแม่ ทั้งยังเป็นคนที่ท่านอ๋องไว้วางใจ ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้หรอก”
ซุนหมัวมัวเอ่ยด้วยความระมัดระวัง “ขอบคุณพระชายาที่เมตตา บ่าวมิกล้าละเลยพิธีเพคะ ท่านอ๋องสั่งให้บ่าวหาคนมารับใช้พระชายา ขอเชิญพระชายาลองดูว่ามีใครที่เข้าตาให้เก็บไว้คอยเรียกใช้เถิดเพคะ” พูดจบนางก็หยิบรายชื่อจากแขนเสื้อมายื่นให้เยี่ยหลี สิ่งที่จดอยู่บนกระดาษคือคนที่ได้รับคัดเลือกให้เข้ามารับใช้ที่เรือนของเยี่ยหลี
ซุนหมัวมัวเอ่ยต่อว่า “สาวใช้ข้างกายพระชายาตอนนี้มีทั้งหมดสี่คน นอกนั้นจะต้องมีคนคอยดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและสำรับอาหารอย่างละสองคน เรื่องงานเย็บปักสี่คน สาวใช้ขั้นสองที่คอยรับใช้ในเรือนต้องมีทั้งหมดแปดคน และเป็นสาวใช้เด็กๆ ที่คอยทำงานใช้แรงงานอีกสิบหกคน สาวใช้ขั้นสองกับสาวใช้เด็กๆ นี่ให้หมัวมัวข้างกายพระชายาทั้งสองช่วยจัดการได้ แต่สาวใช้ที่จะคอยจัดการเรื่องเครื่องแต่งกายและสำรับอาหารนั้น พระชายาเป็นคนเลือกเองจะดีกว่าเพคะ”
ระหว่างที่พูดนั้น ก็มีสาวใช้แต่งกายเหมือนเด็กสาวหกคนเดินเข้ามา พร้อมทำความเคารพเยี่ยหลีอย่างนอบน้อม “คารวะพระชายา”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงอ่านรายชื่อที่ซุนหมัวมัวส่งมาให้ ในรายชื่อระบุชื่อ อายุ และประวัติครอบครัวของแต่ละคน สมาชิกในครอบครัวมีใครบ้างล้วนระบุไว้โดยละเอียด และทุกคนล้วนเป็นเด็กที่เกิดในตำหนักติ้งอ๋องทั้งสิ้น เยี่ยหลีพยักหน้า ก่อนส่งใบรายชื่อชุดหนึ่งให้หลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวไปจัดการเรื่องสาวใช้ขั้นสองและขั้นสาม ก่อนหันมายิ้มแล้วพูดกับซุนหมัวมัวว่า “คนที่ซุนหมัวมัวเป็นคนเลือก ข้าย่อมวางใจ” นางจึงเลือกสามสี่ชื่อขึ้นมาจากในรายชื่อนั้น เด็กสาวที่ถูกเลือกต่างรีบออกมาทำความเคารพและขอบคุณ เยี่ยหลีสั่งให้ชิงซวงไปนำถุงเงินที่บรรจุเหรียญเงินอยู่ไม่น้อยออกมาเป็นรางวัลให้กับทุกคนคนละถุง
เมื่อจัดการเรื่องสาวใช้เรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงเชิญให้ซุนหมัวมัวนั่งลงพูดคุยกัน แล้วก็เป็นอย่างที่ม่อซิวเหยาว่าไว้ว่านางจะเล่าทั้งหมดที่นางรู้ให้ฟัง
เยี่ยหลีลังเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “ซุนหมัวมัว ที่ตำหนักนี่…นอกจากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว ยังมีสตรีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่”
ซุนหมัวมัวอึ้งไป นางเข้าใจความหมายที่เยี่ยหลีต้องการถามอย่างรวดเร็ว จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “เรียนพระชายา นอกจากฮูหยินรองที่คอยรับใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่สองคนแล้ว ที่ตำหนักนี้ก็ไม่มีสตรีคนอื่นอยู่อีกเพคะ”
เยี่ยหลีมองซุนหมัวมัวที่ยิ้มแปลกๆ ด้วยความขัดใจ ก่อนพยักหน้าว่านางรู้แล้ว ม่อซิวเหยาไม่มีอนุคนอื่น นี่ถือเป็นเรื่องดี เพราะอย่างน้อยเรื่องปวดหัวที่นางต้องรับมือก็น้อยลงไปเยอะเลยทีเดียว หากไม่ได้คิดไปถึงเรื่องรำคาญใจอื่นๆ ที่นางอาจจะได้พบเจอในอนาคต เยี่ยหลีก็พบว่า ชีวิตในตำหนักติ้งอ๋องอาจสมบูรณ์แบบอย่างที่นางเคยวาดฝันไว้ก็เป็นได้ สามีภรรยาอยู่กันอย่างสมานสามัคคี ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของกันและกัน ไม่มีผู้อาวุโสในบ้านที่ต้องคอยไปคารวะเช้าเย็น ไม่มีสะใภ้คนอื่นๆ ให้ต้องคอยสู้รบปรบมือ แม้แต่อนุเล็กๆ ให้ต้องออกแรงหึงหวงก็ยังไม่มี หากชีวิตนางจะสงบราบเรียบเช่นนี้ไปตลอด นางคงต้องนึกซาบซึ้งใจที่ม่อจิ่งหลีถอนหมั้นและฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้นางเสียแล้ว
“ท่านอ๋อง” อาจิ่นมองม่อซิวเหยาที่กำลังจ้องหนังสือในมืออย่างใจลอยด้วยความประหลาดใจ อาจิ่นติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็ก ถึงแม้จะหัวช้าไปบ้างแต่กลับแยกออกว่าเมื่อใดที่ท่านอ๋องกำลังใช้ความคิด และเมื่อใดที่ท่านอ๋องกำลังใจลอย
ม่อซิวเหยามีประกายในตาแวบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองเขา “มีอะไรหรือ”
อาจิ่นนวดขมับด้วยความปวดหัวเป็นริ้ว “ท่านอ๋อง จะไปหาพระชายาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาวางหนังสือกลับลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนใจของอาจิ่นจึงยิ้มน้อยๆ “หัวหน้าพ่อบ้านม่อหรือซุนหมัวมัวที่ให้เจ้าถามกัน”
อาจิ่นเบิกตาโตขึ้นทันที ทั้งอาเขาและซุนหมัวมัวต่างบอกให้เขาเอ่ยถึงพระชายาต่อหน้าท่านอ๋องบ่อยๆ ให้หาโอกาสให้ท่านอ๋องและพระชายาใช้เวลาด้วยกันมากๆ แต่ตัวเขานั้นไม่รู้เลยว่าจะหาโอกาสนั้นได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อเห็นท่านอ๋องเหม่อลอยอย่างที่น้อยครั้งนักจะได้เห็นแล้ว แสดงว่าท่านไม่มีเรื่องอันใดที่ต้องทำ จึงใช้โอกาสนี้ถามท่านอ๋องว่าจะไปพบพระชายาหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วมิใช่หรือ
เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของอาจิ่น ม่อซิวเหยาถึงกับส่ายหน้ายิ้มๆ “เอาละ ไม่ต้องคิดแล้ว ตอนนี้อาหลีกำลังทำอันใดอยู่”
“ดูเหมือนจะกำลังจัดการกับของที่นำมาจากตระกูลเยี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็อย่าเพิ่งไปเลย รอให้นางจัดการให้เรียบร้อยก่อนแล้วกัน แขกเมื่อคืนนี้อยู่ที่ใด”
นัยน์ตาอาจิ่นฉายแววรำคาญใจ “ยังอยู่ที่คุกใต้ดินพ่ะย่ะค่ะ”
“ไปดูกันหน่อย”