ภายในคุกใต้ดินที่มืดสลัว เปลวไฟภายในห้องทำให้เกิดเป็นเงาคนขึ้นที่กำแพงวูบไหวตามแสงไฟ ยิ่งทำให้คุกใต้ดินที่อึมครึมอยู่แล้วยิ่งดูลึกลับขึ้นไปอีก เฟิ่งจือเหยาซึ่งยังคงอยู่ในชุดผ้าไหมสีแดงสดที่ดูทั้งดุดันและหรูหรา กำลังนอนแผ่อยู่บนเก้าอี้เพียงตัวเดียวในคุกใต้ดินอย่างเกียจคร้าน ฟังเสียงโอดครวญที่ออกจะไม่เสนาะหูด้วยความพอใจ เทียบกับสองสามปีนี้ที่ผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายแล้ว สามสี่วันที่วุ่นวายนี้ทำให้เขาพอใจมากจริงๆ
“พูดมาเถิด เหตุใดเจ้าจึงบุกเข้าตำหนักติ้งอ๋องดึกๆ ดื่นๆ”
ตรงกลางห้อง ชายในชุดดำคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้บนกรอบไม้ บนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล กำลังจ้องมาที่เขาอย่างโกรธแค้น “เฟิ่งจือเหยา เจ้าเป็นคนของติ้งอ๋อง!”
“หือ รู้จักข้าด้วยหรือ ดูท่าเจ้าคงเป็นคนต้าฉู่สินะ” เฟิ่งจือเหยากระพริบตาหงส์ของตนน้อยๆ เกิดความสนใจขึ้นมาทันควันจนต้องลุกขึ้นนั่งมองคนตรงหน้า “ใครส่งมา วังหลวง ฮ่องเต้ของพวกเราหรือท่านในตำหนักจางเต๋อ หรือว่าถูกส่งมาจากจวนไหน”
“เหอะ!” คนที่ยอมพลีชีพกว่าครึ่งล้วนเป็นพวกกระดูกแข็งกันทั้งนั้น ต่อให้ใช้วิธีทรมานอย่างไรก็ไม่สามารถให้พวกมันคายความจริงออกมาได้ แค่คำพูดของเฟิ่งจือเหยาเพียงไม่กี่ประโยคย่อมไม่มีทางทำให้มันเปิดปากได้
เฟิ่งจือเหยาหรี่ตาลงด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะคอยดูว่ากระดูกเจ้ากับเครื่องลงทัณฑ์ของข้าอันใดจะแข็งกว่ากัน! จัดการต่อ!”
เพี๊ยะ…!
แส้ที่ปลายเป็นตะขอแหลมคมทิ้งรอยแผลลงบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้นต่อไป เฟิ่งจือเหยามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาขรึม
เสียงรถเข็นค่อยๆ เคลื่อนที่ใกล้เข้ามา เฟิ่งจือเหยาหมุนตัวไปมองเห็นม่อซิวเหยาเข้ามา ก็รีบยืนขึ้นต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม “ในเวลาแบบนี้ ไม่อยู่เป็นเพื่อนภรรยาใหม่ แต่กลับมาอยู่ที่นี่ทำไมกัน”
ม่อซิวเหยาไม่ตอบ แต่เลิกคิ้วมองเขาแล้วกล่าวว่า “สารภาพแล้วหรือ”
เฟิ่งจือเหยาหยิบม้วนสมุดที่วางอยู่ขึ้นมา “เมื่อคืนจับคนมาได้สี่กลุ่ม ทั้งหมดเจ็ดคน หนึ่งในนั้นมาจากเป่ยหรง อีกหนึ่งมาจากหนานจ้าว มีสองคนที่ฉวยโอกาสเข้ามาร่วมผสมโรงด้วย ส่วนอีกสามคนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมสารภาพ คนจากเป่ยหรงนั้นคิดจะมาขโมยตัวเจ้าสาวไปเพื่อให้ตำหนักติ้งอ๋องเสื่อมเสีย ส่วนคนจากหนานจ้าวนั่นมาลองดูลาดเลาว่าพอมีโอกาสจะขโมยกระบี่หลั่นอวิ๋นไปได้หรือไม่ ส่วนอีกสองคนคิดฉวยโอกาสจะเข้ามาขโมยของ ส่วนเจ้านี่…จับมาได้คนแรกและเป็นคนที่มีฝีมือดีที่สุด ข้าสงสัยว่ามันมาเพื่อลอบสังหาร เพียงแต่ยังไม่รู้เป้าหมายของการลอบสังหาร คิดว่าคงไม่ได้มาเพื่อลอบสังหารเจ้า”
ชายคนนี้ถูกองครักษ์จับไว้ได้ขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในงานเลี้ยงตอนที่ม่อซิวเหยาไปยังห้องหอเป็นเพื่อนเจ้าสาว ดังนั้นเป้าหมายที่คิดจะมาลอบสังหารคงจะเป็นแขกคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในงานเป็นแน่
“คนต้าฉู่หรือ” ม่อซิวเหยาหันไปถามชายหนุ่มที่ถูกแขวนอยู่
เฟิ่งจือเหยาเอามือลูบคาง “มันรู้จักข้า ต้องเป็นคนต้าฉู่แน่นอน” คุณชายสามตระกูลเฟิ่งเช่นเขามีชื่อเสียงโด่งดังก็จริง แต่ก็จำกัดอยู่เพียงในต้าฉู่และอยู่เพียงในเขตเมืองหลวงเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรคุณชายเจ้าเสน่ห์ที่จะถูกขับออกจากตระกูลและไม่มีสิทธิ์ในการสืบทอดอำนาจอย่างเขา ก็ไม่ค่อยน่าสนใจในสายตาคนภายนอกอยู่แล้ว
“จัดการต่อ หากเค้นอันใดออกมาไม่ได้จริงๆ ก็ฆ่าทิ้งเสีย” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเรียบๆ “ทางฟากเยียหลี่ว์ผิงเล่า” เฟิ่งจือเหยาชี้มือไปทางห้องข้างๆ โดยไม่ได้สนใจม่อซิวเหยาอีก แต่กลับสนใจมองชายชุดดำตรงหน้าพร้อมหัวเราะหึๆ ขึ้น
ชายในชุดดำรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างทันที เขาย่อมรู้ดีว่าเมื่อถูกจับได้แล้วก็ยากนักที่จะมีชีวิตรอดกลับไป แต่เมื่อมาได้ยินติ้งอ๋องกล่าวว่าหากเค้นอันใดออกมาไม่ได้ก็ฆ่าทิ้งเสียด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ประหนึ่งเขากำลังพูดว่าวันนี้อากาศดีอย่างไรอย่างนั้น ก็ทำให้เขาอดรู้สึกใจสั่นขึ้นมาไม่ได้ ติ้งอ๋องไม่ใช้คนพิการไร้ประโยชน์ที่ทำอันใดไม่ได้อย่างที่คนนอกเข้าใจกันเป็นแน่!
เฟิ่งจือเหยาพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้าว่า “อันที่จริงสำหรับข้าแล้ว เจ้าจะพูดหรือไม่พูดก็ไม่ต่างอันใดกันหรอก เพราะถึงอย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี แต่หากเจ้าสารภาพข้าจะให้เจ้าตายอย่างสบายๆ แต่หากไม่สารภาพก็ไม่เป็นไร ก็จะได้ลองของเล่นใหม่ของข้าพอดี สองปีมานี้นี่น่าเบื่อจะตาย” นัยน์ตาชายผู้นั้นปรากฏแววตื่นกลัว แต่ยังคงปากแข็งไม่ยอมสารภาพ เฟิ่งจือเหยาไม่ได้สนใจ โบกมือให้คนที่ยืนรออยู่ลงมือ จากนั้นก็เดินเอ้อระเหยไปทางห้องที่ม่อซิวเหยาหายเข้าไป
อีกห้องหนึ่งดูจะสบายกว่าห้องแรกมาก อย่างน้อยก็เป็นห้องที่สะอาดสะอ้าน ไม่มีกลิ่นประหลาดหรือกลิ่นคาวเลือด เป็นห้องขังที่ลูกกรงทำจากเหล็กกล้าและแบ่งห้องนั้นออกเป็นสองส่วน องค์ชายจากเป่ยหรงที่เมื่อคืนยังพูดจาเหิมเกริม มาบัดนี้กลับมาอยู่ในห้องลูกกรงเหล็กฝั่งหนึ่ง และกำลังจับลูกกรงถลึงตามองม่อซิวเหยาด้วยแววตาโกรธแค้น
“ม่อซิวเหยา ไอ้คนพิการ เจ้าบังอาจนักกล้าส่งคนไปจับองค์ชายอย่างข้า!”
“อ้อ ข้านึกว่าองค์ชายเป่ยหรงถือวิสาสะเข้าไปอยู่ในที่ที่ไม่ควรจะอยู่จึงถูกคนของข้าจับมาเสียอีก” ม่อซิวเหยายิ้มมองเขาอย่างสุภาพและเยือกเย็น “แต่องค์ชายเป่ยหรงวางใจเถิด เห็นแก่ที่สองแคว้นของเรามีพรมแดนติดกัน ข้าจะไม่ทำร้ายแม้เส้นขนขององค์ชายเป็นแน่”
เมื่อสบกับสายตาที่เย็นเยียบของเขาแล้ว เยียหลี่ว์ผิงอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ จึงจับลูกกรงเหล็กเขย่าเต็มแรงด้วยความโกรธพร้อมตะโกนว่า “จะไม่ทำร้ายข้า แล้วที่เจ้าจับข้ามาขังไว้ที่นี่หมายความว่าอย่างไร ข้าจะต้องรายงานฮ่องเต้ของพวกเจ้าให้เขาตัดหัวเจ้าแน่!”
มุมปากม่อซิวเหยายกขึ้นเล็กน้อย “ภายในแคว้นเป่ยหรงเกิดเรื่องด่วนขึ้นเล็กน้อย อันที่จริง เช้าวันนี้ทูตจากแคว้นเป่ยหรงได้เข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้เพื่อขอลากลับ และได้ออกจากเมืองหลวงกันไปตั้งแต่บ่ายแล้ว”
เยี่ยหลี่ว์ผิงอึ้งไป “จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ายังอยู่ที่นี่ ใครจะกล้าไปไหน”
“องค์ชายเป่ยหรงไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กลับแคว้น อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับแคว้นเป่ยหรงด้วยตนเอง ส่งกลับไปให้…องค์รัชทายาท”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเยียหลี่ว์ผิงก็ดูแย่ขึ้นทันที ถึงเขาจะเป็นคนเลวอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ รัชทายาทกับเยียหลี่ว์เหยี่ย พี่ชายแท้ๆ ของเขานั้นไม่ลงรอยกัน ทั้งสองต่อสู้กันทั้งต่อหน้าและลับหลังมาหลายปี หากเขาตกไปอยู่ในมือของรัชทายาท เช่นนั้น…พี่เจ็ดจะต้องฆ่าเขาทิ้งเป็นแน่!
“ม่อซิวเหยา เจ้าคนสารเลว! พี่เจ็ดข้าจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างเยือกเย็น เงยหน้าขึ้นจ้องเขาก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “เยียหลี่ว์เหยี่ยกล้าส่งเจ้ามารังควานข้า ก็คงเตรียมใจไว้แล้วว่าให้เจ้ามาคราวนี้อาจจะไม่ได้กลับไป หรือว่า เรื่องเมื่อวานเป็นความตั้งใจของเป่ยหรงอ๋องอย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนี้ดูท่าว่าเขาก็คงไม่อยากได้ลูกคนนี้เสียแล้วกระมัง”
เยียหลี่ว์ผิงดูเหมือนจะคิดสิ่งใดออก หน้าจึงถอดสีลงทันที เขาจ้องม่อซิวเหยาด้วยสายตาดุดัน
“เจ้าพูดไร้สาระ! พี่เจ็ดไม่ทำเช่นนี้หรอก…” แต่น้ำเสียงเขาฟังดูไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย เขาโง่แต่เขายังไม่ได้บื้อ ตั้งแต่เล็กเขามักถูกคนล้อ แม้แต่พี่เจ็ดก็ยังว่าเขาโง่อยู่บ่อยๆ เสด็จพ่อก็ไม่ชอบเขา หรือว่าจะจริง…
เมื่อเห็นคนตรงหน้าใบหน้าซีดขาวไปทันที ไม่เหลือความเหิมเกริมได้ใจอย่างเมื่อวานอยู่อีก ปลายตาม่อซิวเหยามีแววคมกล้าขึ้น หากเป็นไปได้ เขาจะต้องให้องค์ชายเป่ยหรงตรงหน้านี้ตายอย่างศพไม่มีชิ้นดีอย่างแน่นอน ต่อให้ป่นเขาให้เหลือเพียงผุยผงก็ยังไม่อาจลบล้างความแค้นในใจเขาได้ น่าเสียดาย เจ้าซื่อบื้อนี่ดันเป็นองค์ชายแห่งเป่ยหรง ยังให้ตายตอนนี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับคนข้างนอกพวกนั้น ต่อให้เขาเกลียดพวกมันเพียงใด เคียดแค้นพวกมันเพียงใด แต่ต้องทำใจอดทนให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไป
ม่อซิวเหยาไม่อยากมองคนตรงหน้าอีก จึงหมุนตัวออกจากห้องขังนั้นไป เห็นเฟิ่งจือเหยากำลังยืนพิงกำแพงยิ้มแหะๆ มองเขาอยู่ “เจ้าคิดจะส่งเจ้าทึ่มนี้ไปให้รัชทายาทเป่ยหรงจริงๆ หรือ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “แค่เพียงเจ้าทึ่มนี่แน่นอนว่ายังไม่พอ ภายในสิบวันนี้ข้าไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดให้มันคายสิ่งที่มันรู้ออกมาให้หมด ลองดูว่ามีอันใดพอเป็นประโยชน์บ้าง แล้วนำทั้งหมดส่งให้เยียหลี่ว์หง”
“ไม่ว่าวิธีการใดหรือ”
“ใช่แล้ว วิธีการใดก็ได้ทั้งนั้น ข้าต้องการเพียงคำตอบ ต่อให้เขาทึ่มแค่ไหนแต่ก็เป็นถึงน้องชายแท้ๆ ของเยียหลี่ว์เหยี่ย ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่รู้อันใดเลย” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงขรึม “เมื่อเสร็จเรื่องแล้วเจ้ารู้ดีว่าจะต้องจัดการอย่างไร”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นไปอีก “เข้าใจแล้ว อันที่จริงเขาทึ่มมากทีเดียว ต่อให้ทึ่มกว่านี้อีกหน่อยก็ไม่น่าประหลาดใจอันใดจริงหรือไม่ ให้เยียหลี่ว์ผิงกับเยียหลี่ว์เหยี่ยกัดกันอย่างนั้นหรือ ข้าชอบความคิดนี้”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ “ฝากเจ้าด้วย”
“ท่านอ๋องค่อยๆ ไป เชิญไปสำราญใจกับชีวิตแต่งงานใหม่ของท่านเถิด”
เฟิ่งจือเหยามองส่งม่อซิวเหยาและอาจิ่น จนร่างของทั้งสองหายไปจากปากประตูคุก จึงหันไปมองคุกใต้ดินที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความอึมครึมแล้วยิ้มขึ้นอย่างพอใจ หูยังได้ยินเสียงร้องขอชีวิตดังลอยออกมา รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งสดใสขึ้นไปอีก เจ้าพวกคนโง่เอ๋ย ยั่วใครไม่ยั่ว ดันมายั่วม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาคนนี้ไม่มีความเมตตามาตั้งแต่สามขวบแล้ว นับตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นแม้แต่จิตใจก็ยังกลายเป็นสีดำไปด้วยแล้วอีก