พวกชิงหลวนซึ่งเดินตามหลังเยี่ยหลี เห็นคุณหนูของตนที่มักมีท่าทีนุ่มนวลอยู่เป็นนิจ ตอนนี้กลับมีสีหน้าบูดบึ้ง เดินสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกมา ทำให้พวกนางอดที่เหลือบมองกันไม่ได้ ศาลากลางน้ำอยู่กลางทะเลสาบไกลจากฝั่งมากเกินไป พวกนางไม่ได้ยินสิ่งที่ท่านอ๋องกับพระชายาคุยกันเลย
ชิงสยาเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจว่า “หรือว่าท่านอ๋องรังแกพระชายา”
ชิงซวงหน้าขรึมลงทันที “อันใดนะ ท่านอ๋องรังแกคุณหนูหรือ”
ชิงหลวนและชิงอวี้รีบจับชิงซวงไว้ก่อนที่นางจะอาละวาด ชิงหลวนอดเบ้ปากไม่ได้ นางเคยเห็นฝีมือของพระชายามาแล้วกับตา นางสามารถล้มชายกำยำได้อย่างง่ายดายโดยไม่ทันได้หายใจ กับท่านอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น จะรังแกพระชายาได้หรือ
ชิงอวี้หยุดคิดเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวไปถามอาจิ่นก็แล้วกัน เขาต้องรู้เป็นแน่”
ชิงซวงเบ้บาก “เขาก็อยู่ที่ฝั่งเหมือนพวกเรา จะรู้ได้อย่างไร”
ชิงสยาเห็นด้วย “เขาติดตามท่านอ๋องมาตั้งแต่เล็กๆ ย่อมรู้แน่ว่าท่านอ๋องทำอันใดให้พระชายาโกรธ รีบเดินเถิด พระชายาเดินไปไกลแล้ว”
เยี่ยหลีเร่งฝีเท้าเดินกลับไปยังเรือนของตน ในใจนึกก่นด่าม่อซิวเหยาเสียไม่มีชิ้นดี นางตาบอดไปแล้วจริงๆ ถึงได้คิดว่าเขาเป็นคนสุภาพ ถึงขั้นเคยคิดว่าเขาไม่ประสาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ที่แท้เจ้าคนบ้านั่นก็เล่นละคร…ไม่สิ เล่นตลกกับนาง! หึง! หึง…เจ้าทึ่มเอ๊ย นางจะไปหึงอันใดกับชายหนุ่มที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไร อย่างดีก็แค่ไม่ชอบเห็นคนอื่นอยากได้ของของนางก็เท่านั้นเอง
“พระชายานี่เป็นอันใดไปเพคะ” เมื่อกลับถึงเรือน เว่ยหมัวมัวที่เดินออกมารับ เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเยี่ยหลีก็รีบเอ่ยถามทันที นับตั้งแต่จากคุณหนูที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกไปก็นานหลายปี เว่ยหมัวมัวจึงทุ่มเทความเป็นห่วงเป็นใยขาดหายไปนานให้กับเยี่ยหลีทั้งหมด เป็นห่วงทั้งความรู้สึกและสุขภาพของนางมากกว่าใคร
เมื่อหมัวมัวเอ่ยถามเช่นนี้เยี่ยหลีกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ด้วยรู้ตัวว่าตนเองออกอาการมากเกินไป จึงไม่กล้าพูดว่าตนถูกม่อซิวเหยาเล่นตลกใส่ จนเดินงอนหนีออกมา นางรีบจับมือเว่ยหมัวมัว “แม่นม ข้าไม่ได้ให้ท่านพักผ่อนหรือ เหตุใดท่านถึงได้มาคอยดูแลข้าทั้งวันเช่นนี้ ระวังเถิด หลานตัวน้อยของท่านจะจำท่านไม่ได้เสีย”
ครอบครัวของหลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวต่างติดตามเยี่ยหลีเข้ามาอยู่ในตำหนักอ๋อง และเยี่ยหลีก็ให้คนในครอบครัวที่เป็นชายซึ่งพอใช้การใช้งานได้ไปเป็นหลงจู๊คอยดูแลร้านค้าและบ้านพักอาศัยข้างนอก ส่วนผู้หญิงก็ให้ทำงานอยู่ที่เรือนของตน ปกติจึงพยายามไม่ให้ทั้งสองต้องมาคอยดูและรับใช้ตนมากนัก โดยเฉพาะหลินหมัวมัวที่อายุไม่น้อยแล้ว หากมาคอยตามนางที่ยังสาวไปไหนต่อไหน คงไม่ใช่งานเบาๆ เป็นแน่
เว่ยหมัวมัวมองหน้านางด้วยความเสียใจ “คุณหนูเป็นผู้ใหญ่แล้ว รำคาญแม่นมแล้วใช่หรือไม่เพคะ”
“แม่นม…” เยี่ยหลีถึงกับปวดหัว มาไม้นี้อีกแล้ว! แต่ยังดีที่ช่วยเปลี่ยนเรื่องไปได้ นางจูงเว่ยหมัวมัวเข้าไปข้างใน เยี่ยหลีเอ่ยปลอบโยนเว่ยหมัวมัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนทำให้นางค่อยยิ้มออกได้
“พระชายา อาจิ่นมาเพคะ” ชิงซวงเข้ามารายงาน ใบหน้างามงอง้ำ ดูท่าคงไปโกรธอันใดอาจิ่นเข้า
“ให้เขาเข้ามาเถิด” เยี่ยหลียิ้มอย่างล้อเลียน “ใครไปทำให้ซวงเอ๋อร์ของเราโกรธเข้าเสียแล้ว”
ชิงซวงกระทืบเท้าหน้าแดง “คุณหนู! ก็อาจิ่นที่สมควรตายนี่อย่างไรเล่าเพคะ ถือว่าตนเป็นคนสนิทท่านอ๋อง วันวันเอาแต่ทำหน้าตาย อย่างกับมีใครไปติดหนี้เขาสักห้าร้อยตำลึงแล้วไม่คืนอย่างนั้น”
เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “ชิงซวง เจ้าไปหาเรื่องเขาเองละสิ อาจิ่นแค่เป็นคนไม่ค่อยพูดเท่านั้น ยังห่างไกลจากคนหน้าตายมากนัก” ม่อจิ่งหลีต่างหากถึงจะเรียกว่าคนหน้าตาย กับอาจิ่นอย่างมากก็แค่เป็นคนขรึมๆ ไม่ค่อยพูด หน้านิ่งๆ ที่ยังพอมีแววอ่อนให้เห็น ยังเทียบกับพี่รองไม่ได้ด้วยซ้ำ
อาจิ่นถือกล่องเดินเข้ามา เหลือบมองชิงซวงด้วยใบสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ ชิงซวงรู้ดีว่าตนนินทาคนอื่นทั้งยังให้เขาได้ยินเต็มสองหูเช่นนี้ จึงรู้สึกละอายใจไม่น้อย จึงหันหน้าหนีไปเสีย เยี่ยหลีลอบยิ้มในใจ แต่สีหน้าที่มองอาจิ่นด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจิ่น มีเรื่องอันใดหรือ” อาจิ่นวางกล่องลงบนโต๊ะ ก่อนเดินถอยออกไปสองก้าว “ท่านอ๋องสั่งให้อาจิ่นนำของสิ่งนี้มาให้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำให้พระชายาโกรธ พระชายาเป็นคนใจกว้าง ขออย่าได้ถือโทษโกรธท่านอ๋องเลยพ่ะย่ะค่ะ” ประโยคที่พูดอย่างติดๆ ขัดๆ นั้น ทำให้เยี่ยหลีรู้ทัน จึงส่งยิ้มให้อาจิ่น “อาจิ่น ประโยคสุดท้ายนั่นใครสอนให้เจ้าพูดหรือ”
อาจิ่นหน้าแดงขึ้นทันที ได้แต่นิ่งอึ้งมองเยี่ยหลีอย่างไม่รู้จะทำเช่นใดดี ทั้งพระชายาและท่านอ๋องต่างก็เป็นคนฉลาด พูดโกหกต่อหน้าพวกท่านถึงอย่างไรก็ถูกจับได้ อาจิ่นจดจำเรื่องนี้ไว้ในใจ
เยี่ยหลีอมยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ท่านอ๋องของเจ้าไม่มีทางพูดเช่นนี้ อีกอย่างข้าไม่ได้โกรธอันใด ของนี่ข้ารับไว้แล้ว เจ้ากลับไปเถิด”
อาจิ่นถอยกลับไปเงียบๆ เยี่ยหลีเปิดกล่องดูอย่างอารมณ์ดี ในกล่องเป็นภาพอย่างที่นางคิดไว้ เมื่อสักครู่นางยังคิดอยู่ว่าจะไปหาข้ออ้างใดเพื่อให้ได้รูปนี้กลับมาดี ไม่คิดเลยว่าม่อซิวเหยาจะให้อาจิ่นนำมาให้รวดเร็วเช่นนี้ นางกางภาพออกลงบนโต๊ะ เยี่ยหลีจ้องมองหญิงสาวในภาพแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ในหัวมีคำพูดของม่อซิวเหยาดังขึ้น… “ข้าคิดว่านี่ถึงจะเป็นอาหลี”
“สวยจังเลย…” ชิงซวงที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น “คุณหนู ภาพนี้ท่านอ๋องเป็นคนวาดหรือเพคะ สวยจังเลยเพคะ”
เว่ยหมัวมัวเองก็ยิ้มอย่างพอใจยิ่ง “ท่านอ๋องมีใจให้คุณหนูแล้ว ดูท่า นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่จะดูคนไม่ผิดจริงๆ หึหึ…”
เยี่ยหลีไม่ได้พูดอันใด แค่ภาพภาพเดียวจะอันใดกันเชียว
เพียงชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ต้องกลับบ้านเดิมแล้ว สามวันที่เยี่ยหลีอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องนี้ถือว่านางปรับตัวได้ดีมากทีเดียว แม้แต่หลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวที่ก่อนหน้านี้นึกหนักใจ ยังเบาใจไปได้มาก เหลือก็เพียงเรื่องที่ท่านอ๋องและพระชายายังไม่ได้ร่วมหอกันเท่านั้นที่ทำให้หมัวมัวทั้งสองไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่คนที่เป็นกังวลและไม่พอใจในเรื่องนี้ไม่ได้มีเพียงพวกนางเท่านั้น ซุนหมัวมัวของตำหนักติ้งอ๋องเองก็เช่นกัน ซุนหมัวมัวเองก็เห็นม่อซิวเหยามาตั้งแต่เล็กๆ รู้จักนิสัยเจ้านายของตนเป็นอย่างดี กับพระชายาคนใหม่ก็ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่พอใจ ถึงขั้นเคยส่งสัญญาณให้หลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวช่วยคิดหาทาง บ่าวเล็กบ่าวใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋องต่างให้ความเคารพคุณหนูของตนกันอย่างพร้อมเพรียง รอเพียงให้คุณหนูกลับมาจากการกลับบ้านเดิมก็จะได้เข้าดูแลตำหนักติ้งอ๋องอย่างเป็นทางการ แล้วหมัวมัวทั้งสองจะมีเรื่องอันใดให้ไม่พอใจอีกหรือ ดังนั้นเมื่อตอนกลับบ้านรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกนางจึงสดใสเสียจนแทบจะมีดอกไม้บานออกมา
ตระกูลเยี่ยให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ ไม่เพียงเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อที่พาเยี่ยซาน เยี่ยหลินและเยี่ยหรงออกมาต้องรับเท่านั้น แม้แต่คนที่แต่งงานออกไปแล้วอย่างเยี่ยเจินและเยี่ยอิ๋งก็ได้พาสามีของตนกลับมาด้วย ที่เยี่ยอิ๋งกลับมาร่วมงานด้วยนั้นเยี่ยหลีไม่แปลกใจเท่าไร แต่เยี่ยเจินที่เป็นชายารองของหนานโหวซื่อจื่อสามารถพาหนานโหวซื่อจื่อกลับมาเป็นเพื่อนตนได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าคิดไม่น้อย เข้ามาถึงก็พบเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทันที เยี่ยหลีถูกพี่ๆ น้องๆ พาไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวทันที ส่วนม่อซิวเหยาอยู่คุยกับเจ้ากรมเยี่ยและม่อจิ่งหลีอยู่ที่ห้องโถงใหญ่
เรือนชิงอี้เซวียนที่เยี่ยหลีเคยอยู่ยังคงเก็บไว้ให้นาง พี่น้องสาวๆ จึงมานั่งคุยกันอยู่ที่โต๊ะม้าหินในเรือนชิงอี้เซวียน เยี่ยเจินมองบรรดาสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วหันมองชุดสีม่วงอ่อนของเยี่ยหลี บนศีรษะนางเสียบแซมด้วยเครื่องประดับมุก บนติ่งหูมีต่างหูมุกห้อยอยู่ ข้อมือสวมกำไลข้อมือหยกลายดอกบัวชั้นดี เจ้าตัวอยู่ในอารมณ์นิ่งๆ ทั้งยังอมยิ้มอยู่ในหน้าอีกด้วย ทำให้ดูมีความสูงส่งกว่าตอนที่อยู่บ้านนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะถอนใจด้วยนึกอิจฉา “ดูท่าน้องสามจะอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างสบายใจดีใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีแย้มยิ้ม “ลำบากพี่ใหญ่ต้องเป็นห่วงแล้ว เรียบร้อยดีทุกอย่าง”
เยี่ยซานคอยจับแขนเยี่ยหลีถามโน่นนี่ไม่ได้หยุด เช่นว่า ตำหนักติ้งอ๋องใหญ่หรือไม่ สวยงามหรือไม่ ในตำหนักมีใครอยู่บ้าง น่าคบหาหรือไม่ เป็นต้น เยี่ยหลีเองก็ไม่ได้รีบร้อนตอบ รอจนนางถามจนพอใจแล้วจึงค่อยเลือกคำถามข้อที่ตอบได้มาตอบ เยี่ยซานยังไม่ได้คำตอบที่ตนพอใจ จึงอยากจะเอ่ยปากถามต่อ แต่ก็ถูกเยี่ยหลินที่นั่งอยู่ข้างๆ ดึงเอาไว้เสียก่อน จึงได้หยุดปากด้วยความผิดหวัง
“ได้ยินว่าในตำหนักติ้งอ๋องยังมีพระชายาคนก่อนกับไท่เฟยรองอยู่หรือ พี่สามได้พบแล้วหรือไม่” ด้วยเมื่อครู่เยี่ยซานเอ่ยปากถามไม่ได้หยุด ทำให้เยี่ยอิ๋งไม่มีโอกาสได้พูดเลย ทำได้เพียงนั่งหน้านิ่งเฉยอยู่อีกด้านหนึ่ง เพิ่งมีโอกาสได้มองเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยถามก็ตอนนี้เอง
เยี่ยหลีมองดูเยี่ยอิ๋งด้วยความตกใจ ก่อนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “น้องสี่ช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยดีหรือเปล่า” ช่วงเวลาเพียงไม่นาน เยี่ยอิ๋งดูเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ดูนางผ่ายผอมและบอบบางลงไปยิ่งกว่าเดิมจนเกือบต้องลมไม่ได้เสียแล้ว แต่ก่อนเมื่อสมัยที่ยังอยู่ตระกูลเยี่ย ถึงแม้เยี่ยอิ๋งจะดูบอบบางแต่อันที่จริงแล้วหวังซื่อบำรุงนางเป็นอย่างดี สีหน้ามีเลือดฝาด ดูมีเสน่ห์อยู่เสมอ แต่มาตอนนี้เลือดฝาดบนใบหน้านั้นกลับหายไป ทั้งยังดูเงียบเชียบลงกว่าแต่ก่อนไม่น้อย ถึงแม้ใบหน้าจะมีสีสันจากการปัดแก้ม แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดความสวยเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องประทินโฉมเหมือนแต่ก่อน
แววตาเยี่ยอิ๋งเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนหลุบตาลงต่ำ “ลำบากให้พี่สามต้องเป็นห่วงแล้ว ข้าเพียงแต่เหนื่อยเล็กน้อยเท่านั้น”