เยี่ยหลีลอบถอนใจเบาๆ เยี่ยอิ๋งเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยจริงๆ ดูท่าความสามารถในการอบรมของเสียนเจาไท่เฟยจะห่างชั้นกับเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่พอดูทีเดียว “เมื่อเหนื่อยก็ต้องรู้จักพักผ่อนให้มากๆ ไม่ว่าอย่างไรสุขภาพก็สำคัญที่สุด หากไม่มีสุขภาพที่ดีแล้วก็เท่ากับไม่มีอันใดเลย” เยี่ยหลีเอ่ยเตือนนางเสียสองประโยค ก่อนกลับไปตอบคำถามของเยี่ยอิ๋ง “พี่สะใภ้ใหญ่ไปอยู่ที่วัดเสียหลายปีแล้ว ไว้ข้ากลับไปนี่จึงค่อยเข้าไปคารวะนาง ส่วนไท่เฟยรองนั้น…” เมื่อคิดถึงไท่เฟยรองที่มีนิสัยแปลกประหลาดแล้ว เยี่ยหลีก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ชายารองของท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องพบหน้ากันบ่อยนัก”
เยี่ยซานรีบพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นในตำหนักติ้งอ๋องก็มีเพียงพี่สามกับท่านอ๋องเป็นประมุขกันสองคนเท่านั้นใช่หรือไม่” เมื่อพูดจบประโยค ไม่เพียงเยี่ยซาน เยี่ยเจิน และเยี่ยหลินเท่านั้นที่นึกอิจฉา แม้แต่เยี่ยอิ๋งก็ยังอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาอิจฉามาที่นาง ในตำหนักที่ไม่มีผู้ใหญ่มาคอยกดหัว ไม่มีพวกพี่สะใภ้น้องสะใภ้ หรือแม้แต่น้องเขยให้ต้องคอยรับมือ ช่างเป็นบ้านในฝันของเจ้าสาวทุกคนที่เพิ่งแต่งงานออกไปจริงๆ แต่เมื่อคิดถึงสภาพของม่อซิวเหยา เยี่ยอิ๋งก็กลับมารู้สึกว่าเสมอกันแล้ว หากเทียบกับการออกไปไหนแล้วผู้คนจะคอยหัวเราะเยาะหรือไม่ก็เห็นใจแล้ว การที่อยู่บ้านแล้วถูกรังแกบ้างก็ยังถือว่าพอทนได้มิใช่หรือ
“ดูแล้วน้องสามกับท่านอ๋องมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน น้องสามช่างมีวาสนานัก” เยี่ยเจินถอนใจเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเบา
เยี่ยอิ๋งดูไม่ค่อยเชื่อถือนัก จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ติ้งอ๋องเป็นคนอารมณ์ดีเช่นนั้นจริงหรือ ได้ยินคนพูดกันว่า โดยทั่วไปคนพิการมักมีอารมณ์แปลกๆ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ท่านอ๋องไม่ใช่คนคบหาด้วยยาก” ม่อซิวเหยาอารมณ์ดีหรือไม่นั้นนางไม่รู้ แต่ ณ ตอนนี้พวกเขาปรองดองกันดีก็พอแล้ว
เยี่ยอิ๋งรู้ว่าเยี่ยหลีไม่ค่อยพอใจกับคำพูดนางสักเท่าไร แต่ไหนแต่ไรมานางไม่คุ้นเคยกับการก้มหัวให้เยี่ยหลี จึงทำให้บรรยากาศโดยรอบอึดอัดขึ้นทันที เมื่อเยี่ยเจินเห็นท่าทีของทั้งสอง จึงรีบเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง “อีกไม่กี่วันในวังก็จะจัดงานเลี้ยงส่งคณะทูตจากแคว้นต่างๆ แล้ว น้องสาม น้องสี่ได้รับจดหมายเชิญกันหรือยัง”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ยังเลย”
เยี่ยหลินหัวเราะ “คณะทูตจากแคว้นต่างๆ ก็มาเพื่ออวยพรพี่สามกับท่านอ๋องในงานมงคลสมรสทั้งนั้น ต่อให้คนอื่นไม่ไป อย่างไรท่านอ๋องกับพี่สามก็ต้องไป แต่ว่าเหตุใดพี่ใหญ่จึงรู้เรื่องนี้เร็วกว่าพี่สามกับพี่สี่อีกเล่า”
เยี่ยเจินหัวเราะ “งานครั้งนี้ฮ่องเต้มอบหมายให้ท่านซื่อจื่อของข้าเป็นผู้รับผิดชอบ ข้าย่อมรู้ก่อนเป็นธรรมดา”
เยี่ยซานตาเป็นประกาย “เช่นนั้นพี่ใหญ่จะได้ไปด้วยหรือไม่”
เยี่ยเจินพยักหน้าอย่างทั้งเขินอายและยินดี “ซื่อจื่อท่านบอกแล้วว่าคราวนี้จะพาข้าเข้าวังไปด้วย” พูดจบก็หันไปมองเยี่ยหลีด้วยความซาบซึ้งใจ ที่หนานโหวซื่อจื่อตัดสินใจให้นางที่เป็นชายารองเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงด้วย คงเพราะนางเพิ่งได้เป็นพี่สาวของพระชายาติ้งอ๋องเป็นแน่ ถึงแม้จะเป็นเพียงชายารอง แต่ทุกวันนี้เยี่ยเจินเริ่มรู้สึกว่าตนพอมีที่ยืนในตำหนักหนานโหวบ้างแล้ว เพราะต่อให้เป็นชายาเอกของซื่อจื่อก็ยังไม่มีน้องสาวที่เป็นเจาอี๋หนึ่งคนและพระชายาเอกอีกสองคนหรอก เมื่อมองจากจุดนี้ หากตนสามารถคลอดทายาทชายออกมาได้ ต่อไปอาจมีโอกาสต่อสู้เพื่อความเป็นใหญ่กับชายาซื่อจื่อเลยก็เป็นได้
“เหอะ ต่อให้พี่ใหญ่ได้ไป แต่เจ้าก็คงไม่ได้ไปหรอก” เยี่ยอิ๋งมองเยี่ยซานด้วยความดูแคลน ก่อนเอ่ยวาจาเชือดเฉือน เยี่ยซานหน้าแดงขึ้นทันที พูดอย่างอายๆ ว่า “พี่สี่ ข้า…ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” เยี่ยอิ๋งไม่แม้แต่จะหันไปมองนาง “ใครจะไปสนใจว่าเจ้าคิดเช่นไร ก็แค่คนบางคนไม่รู้แจ้งถึงฐานะของตนเอง”
“ท่านพี่!” เยี่ยซานตาแดง มีน้ำตาเอ่อคลออยู่ในดวงตา สุดท้ายทำได้เพียงลุกขึ้นวิ่งออกไป คำพูดของเยี่ยอิ๋งรุนแรงไม่น้อย แม้จะพูดกับเยี่ยซาน แต่เยี่ยหลินเองก็ทำตัวไม่ถูกไปด้วย เมื่อเห็นเยี่ยซานวิ่งไกลออกไปจึงลุกขึ้นเดินตามออกไปอีกคน แม้แต่สีหน้าของเยี่ยเจินเองก็พลอยดูไม่ดีไปด้วย
เยี่ยหลีมองเยี่ยอิ๋งด้วยความแปลกใจ ก่อนหันมองเยี่ยเจิน เยี่ยเจินได้แต่ถอนใจก่อนพูดเสียงเบาว่า “น้องสี่ เจ้าอารมณ์ไม่ดีก็อย่าได้ไปลงกับน้องหกเลย”
เยี่ยอิ๋งกำผ้าเช็ดหน้าในมือพร้อมยิ้มเยาะ “ข้าอารมณ์ไม่ดีหรือ พี่ใหญ่ ท่านลองถามดูสิหากเป็นพี่สามนางจะอารมณ์ดีหรือไม่”
“บ่าวคารวะคุณหนูทั้งสาม ฮูหยินผู้เฒ่าให้มาเชิญพระชายาติ้งอ๋องไปพูดคุยด้วยเพคะ” สาวใช้จากหรงเล่อถังเข้ามารายงาน
เยี่ยอิ๋งปรายสายตามองเยี่ยหลีแล้วยิ้มเยาะ “พี่สามไม่ได้อยากรู้หรือว่าข้าเป็นอย่างไร ท่านไปเดี๋ยวก็รู้เอง”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ลุกขึ้นมองเยี่ยอิ๋ง “น้องสี่ นิสัยเช่นนี้ของเจ้าอยู่ที่บ้านนี้ก็ว่าไปอย่าง เมื่อแต่งงานออกไปแล้วยังเป็นเช่นนี้อีก…เจ้าคิดว่าฮูหยินยังจะคอยช่วยปกป้องเจ้าได้หรือ”
เยี่ยอิ๋งทำหน้าบึ้ง ก่อนเมินสายตาไปทางอื่นไม่พูดอันใดต่อ เยี่ยหลีก็ไม่ฝืน ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันโดยสายเลือด แต่กับพี่น้องสามสี่คนนี้ นางกลับรู้สึกห่างไกลกับคำว่าเป็นพี่น้องกันอยู่มาก และยิ่งเทียบไม่ได้กับลูกพี่ลูกน้องตระกูลสวีเลย หากเอ่ยเตือนได้ก็จะเอ่ยเพียงสองสามประโยค หากไม่ฟังนางก็จนใจ
เมื่อไปถึงหรงเล่อถัง เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ในโถงดอกไม้ด้วยชุดที่มีกลิ่นอายของความเป็นมงคล เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามาก็ยิ้มแย้มขึ้นทันที “หลีเอ๋อร์ รีบเข้ามาให้ย่าดูหน่อยเร็ว…”
เยี่ยหลีเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองสำรวจเยี่ยหลี ก่อนพยักหน้าด้วยความพอใจ “หลายวันนี้อยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องพอคุ้นชินบ้างหรือไม่ พวกบ่าวที่ตำหนักใช้งานได้คล่องแคล้วดีหรือไม่ มีใครทำให้เจ้าลำบากใจหรือเปล่า”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ทำให้ท่านย่าเป็นห่วงแล้ว หลีเอ๋อร์สบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ บ่าวในตำหนักต่างให้ความเคารพเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าติดต่อกัน “เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นเจ้ากับท่านอ๋อง…”
“กับท่านอ๋องก็เข้ากันได้ดีเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีกล่าวตอบ
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามีท่าทีลำบากใจ มองเยี่ยหลีพักหนึ่งก่อนพูดว่า “ย่าหมายความว่า เจ้ากับท่านอ๋อง…เจ้ากับท่านอ๋อง พวกเจ้าคิดว่าจะมีลูกกันเมื่อไรหรือ ท่านอ๋องก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว”
เยี่ยหลีเขินอายเล็กน้อย ที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอึกอักอยู่เป็นนานก็เพราะอยากถามว่าพวกนางเข้าห้องหอกันหรือยังนี่เอง
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองจ้องเยี่ยหลี “เจ้าอย่าได้หลอกย่าเชียว หากย่ามองไม่ออกก็ถือว่าที่ใช้ชีวิตอยู่มานี้เสียเปล่าแล้ว เจ้ากับท่านอ๋องยังไม่ได้ร่วมหอกันใช่หรือไม่” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูจะเข้าใจดีว่าหลานสาวคนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับหลานสาวคนอื่นๆ นัก จึงพับความคิดที่จะพูดอ้อมค้อมไปอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถามขึ้นตรงๆ แทน
เรื่องนี้ก็ยังมองออกหรือ เยี่ยหลีคิดก่อนพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ท่านย่าไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้ากับท่านอ๋องต่างรู้สึกว่าเรายังไม่คุ้นเคยกันดีนัก คบหากันไปพักหนึ่งก่อนค่อย…ก็ยังไม่สาย อีกอย่างตอนนี้พวกเราก็เข้ากันได้ดีมาก จึงไม่ได้รีบร้อนอันใดเจ้าค่ะ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองสีหน้านิ่งเรียบปลอดโปร่งของเยี่ยหลีแล้วก็ได้แต่ลอบส่ายหน้าในใจ “เช่นนั้น…เรื่องในตำหนักท่านอ๋อง ท่านให้ใครจัดการหรือ”
“เรื่องภายนอกย่อมมีท่านอ๋องเป็นคนจัดการ ส่วนเรื่องภายในตำหนักเมื่อกลับไปแล้วก็จะให้ข้าเป็นคนจัดการเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีเอ่ยตอบ
สีหน้าเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าดูผ่อนคลายลง อย่างน้อยก็มีหลานสาวคนนี้ที่รู้จักคว้าอำนาจในตำหนักมาอยู่ในมือ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้จะทำเช่นไรกับเยี่ยหลีกับเยี่ยอิ๋งที่เป็นหลานสาวสายหลักสองคนนี้ดี เยี่ยอิ๋งที่ดูจะฉลาดแต่กลับไร้สมอง แต่งงานเข้าตำหนักหลีอ๋องไปก็ไม่รู้จักที่จะคว้าเอาอำนาจไว้ให้มั่น วันๆ เอาแต่ฟาดฟันกับเหล่าอนุด้วยความหึงหวง ทำให้ตนเองดูเป็นภรรยาที่ช่างโวยวาย เมื่อเทียบกันแล้ว เยี่ยหลีที่เพิ่งเผยความสามารถให้เห็นกลับฉลาดกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ดูจากท่าทีของบ่าวที่ติดตามมาจากตำหนักติ้งอ๋องที่มีต่อเยี่ยหลีก็รู้ได้แล้วว่านางอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องได้อย่างดีทีเดียว ทว่านางเมินเฉยต่อติ้งอ๋องจนเกินไป นางควรรู้ว่าถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นชายาเอก แต่หากอยากมีชีวิตที่สุขสบายไปชั่วชีวิต ถึงอย่างไรก็ยังต้องพึ่งพาติ้งอ๋องอยู่ดี
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไล่บ่าวที่คอยรับใช้ออกไป ก่อนจับมือเยี่ยหลีมาเอ่ยถามเสียงเบา “หลีเอ๋อร์ เจ้าพูดกับย่าตรงๆ นี่เป็นเพราะ…เป็นเพราะขาของท่านอ๋องใช่หรือไม่ เจ้าจึงได้…”
เยี่ยหลีไม่ตอบ จึงทำให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่คอยสังเกตอยู่มั่นใจในการคาดเดาของตน เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงถอนหายใจ “เด็กน้อยที่น่าสงสาร ย่ารู้ว่าเจ้าน่าสงสาร…แต่ในเมื่อเรื่องราวมันเป็นเช่นนี้ เจ้าเองก็แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องไปแล้ว จะทำเช่นไรได้ ต่อให้เจ้าเป็นชายาติ้งอ๋องแล้ว แต่ก็ยังต้องจับท่านอ๋องไว้ให้อยู่มือมิใช่หรือ ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องทายาท ขอเพียงเจ้ามีทายาทใครก็มาสั่นคลอนตำแหน่งเจ้าไม่ได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่ ท่านอ๋องมีอนุหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้า เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงยิ้มกว้างขึ้นไปอีก “เช่นนี้แล้วดูท่าท่านอ๋องจะให้ความสำคัญกับเจ้าพอดู ไม่มีอนุก็ยิ่งดี ขอเพียงให้เจ้ามีลูกกับท่านอ๋องได้ก่อน เรื่องในอนาคต…” เมื่อเห็นท่าทางพูดลำบากของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เยี่ยหลีที่ครุ่นคิดอยู่เป็นนานจึงได้เข้าใจความหมายของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า นางรู้สึกว่าเยี่ยฮูหยินต้องการจะบอกนางว่า ต่อให้นางไม่ชอบม่อซิวเหยาที่ขาพิการทั้งสองข้าง แต่ก็ต้องคลอดลูกชายให้ได้เสียก่อน ขอเพียงมีลูกชายแล้ว และหากนางรับม่อซิวเหยาไม่ได้จริงๆ ก็สามารถผลักเขาไปให้หญิงอื่นได้ ถึงอย่างไรนางก็มีฐานะเป็นชายา ขอให้มีทายาทก็เพียงพอแล้ว ความโปรดปรานของฝ่ายชายกว่าครึ่งนั้นหวังพึ่งพิงไม่ได้
เหตุใดนางจึงไม่นึกสงสัยว่าม่อซิวเหยาไม่สามารถเรื่องนี้กันนะ เยี่ยหลีมีความคิดร้ายๆ เกิดขึ้นในหัว
“ขอบพระคุณท่านย่าที่สั่งสอน หลีเอ๋อร์ทราบดีว่าต้องทำอย่างไรเจ้าค่ะ” เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าถ่ายทอดประสบการณ์ของตนต่อไป เยี่ยหลีจึงรีบเอ่ยปากรับคำ