เมื่อถึงการแสดงร่ายรำ มีหญิงสาวในชุดสีสันสดใสปรากฏขึ้นในตำหนัก เยี่ยหลีถึงกับมองนางรำสาวที่งดงามเลิศล้ำด้วยความตกใจ ก่อนหันหน้าไปถามว่า “เหยาจีมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ม่อซิวเหยาหัวเราะเบา “น่าจะเชิญนางมาทำการแสดงในวังโดยเฉพาะกระมัง เหยาจีเติมโตมาในโรงละคร ฝีมือการร่ายรำถือว่าเป็นที่หนึ่งในเมืองหลวง ในงานวันเกิดของไทเฮาเมื่อปีที่แล้วยังเคยเชิญนางเข้ามาทำการแสดงในวังโดยเฉพาะ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ท่านอ๋องเห็นว่าอย่างไรบ้าง”
ม่อซิวเหยาตอบว่า “แน่นอนว่าย่อมดี อาหลีเล่า”
เยี่ยหลีหันกลับไปมองอีกพักใหญ่ ก่อนพยักหน้า “ก็ดีจริงๆ” ชื่อเสียงของเหยาจีนางก็เคยได้ยินมาหลายครั้ง ถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่แปลกประหลาดคนหนึ่งของเมืองหลวง นางเกิดและเติบโตในโรงละคร อาศัยฝีมือในการดีดฉินและการร่ายรำทำให้ชื่อลือเลื่องไปทั่วเมืองหลวง อายุยังไม่เต็มยี่สิบห้าปีดีก็ได้เป็นเจ้าของชิงเฉิงฝาง หอนางโลมอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง คบค้าสมาคมกับผู้มีอิทธิพลมากมาย ได้ยินว่าคุณชายมู่หยาง ทายาทของท่านมู่หยางโหวก็คือเพื่อนสนิทของนาง คุณชายสามตระกูลเฟิ่งก็คบหากับนางฉันมิตร ในยุคสมัยนี้คงมีหญิงสาวประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ และเป็นตัวเองเช่นนี้ได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นนางรำอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง แน่นอนว่าย่อมเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตาตื่นใจ มองไปแล้วผู้ชายอย่างน้อยๆ เจ็ดในสิบคนต่างมีสีหน้าตะลึงงันด้วยกันทั้งนั้น ส่วนหญิงสาวทั้งหลายต่างก็มีสีหน้าทั้งอิจฉาและคับแค้นใจ และแน่นอนว่าย่อมมีสายตาที่ชื่นชมด้วยความจริงใจปนอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้น เมื่อการแสดงจบลง เหยาจีก็หายตัวไปนอกตำหนักโดยทันที เหลือเพียงกลิ่นหอมที่ทำให้คนเฝ้าฝันถึงเท่านั้น เมื่อเห็นผู้คนในตำหนักค่อยๆ มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เยี่ยหลีจึงยิ่งรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นไปอีก จึงหันไปบอกม่อซิวเหยาว่านางจะออกไปสูดอากาศข้างนอก แล้วเยี่ยหลีจึงพาชิงหลวนและชิงซวงค่อยๆ ถอยออกไปจากตำหนักเงียบๆ
นอกตำหนัก สายลมยามค่ำพัดอ่อนๆ พัดพาเอากลิ่นเหล้าที่ติดตัวนางออกไป เยี่ยหลีสูดหายใจลึกๆ ไม่ได้สนใจเสียงดนตรีที่ดังมาจากในตำหนักอีก วังหลวงในยามค่ำคืนดูจะเงียบสงบเป็นพิเศษ เยี่ยหลีเดินเรื่อยๆ ไปตามทางเดินเล็กๆ จิตใจที่ก่อนหน้านี้ร้อนรนค่อยๆ สงบลง ในขณะที่นางกำลังเดินไปนั่งยังศาลารับลมนั้นเอง ก็มีนางกำนัลไม่คุ้นหน้าเข้ามาขวางทั้งสามคนไว้ “บ่าวคารวะพระชายาติ้งอ๋องเพคะ”
ชิงหลวนเข้ามาบังเยี่ยหลีไว้ด้วยความหวาดระแวง ก่อนถามว่า “เจ้าเป็นใคร”
นางกำนัลคนนั้นโค้งตัวลง “บ่าวเป็นนางกำนัลของตำหนักเยี่ยเจาอี๋เพคะ เยี่ยเจาอี๋ให้มาเชิญพระชายาติ้งอ๋องไปที่ตำหนักเหยาหวาเพคะ”
เยี่ยเย่ว์กำลังตั้งครรภ์จึงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงในคืนนี้ด้วย เมื่อตอนบ่ายก็ได้ให้นางกำนัลมาเชิญนางแล้วทีหนึ่ง ตอนนั้นเยี่ยหลีได้บอกปัดไปอ้อมๆ เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าเยี่ยเย่ว์กำลังคิดอะไร แต่ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกัน แต่นางก็ไม่ได้คิดจะให้ตระกูลเยี่ยมาใช้นางหาประโยชน์ได้ง่ายๆ ที่สำคัญคือสิ่งที่เยี่ยเย่ว์คิดนั้นไม่ค่อยจะเข้าท่าเอาเสียเลย หากนางระวังหน่อย รู้จักรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี จนคลอดบุตรออกมาได้แล้ว ก็จะมีที่ให้พึ่งพิง หากไม่คิดอยากได้ในสิ่งที่ไม่มี ถึงแม้จะพบหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่เยี่ยหลีกลับคิดว่า เยี่ยเย่ว์ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอย่างที่ตระกูลเยี่ยเข้าใจ
“วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าไปบอกเยี่ยเจาอี๋ทีว่าหากมีเรื่องอันใด ไว้อีกสองวันข้าเข้าวังมาค่อยมาพบนางอีกที วันนี้เอาไว้ก่อนเถิด”
นางกำนัลคนนั้นสีหน้าดูร้อนรน “พระชายาโปรดอภัยด้วย เจาอี๋เหนียงเหนียงมีเรื่องด่วนที่จะต้องปรึกษากับพระชายาจริงๆ เพคะ”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ต่อให้มีเรื่องด่วนจริง เกรงว่าปรึกษากับข้าก็คงไม่มีประโยชน์ จริงสิ ตอนนี้มารดาของเยี่ยเจาอี๋เองก็อยู่ในวังเช่นกัน เช่นนั้นให้ข้าส่งคนไปเชิญนางมาให้ เจ้าว่าดีหรือไม่”
“พระชายา เจาอี๋เหนียงเหนียงเชิญให้พระชายาเข้าเฝ้าคนเดียวเพคะ!” นางกำนัลคนนั้นกล่าว
เมื่อพูดว่าเข้าเฝ้าก็ดูจะเป็นการบังคับนางเสียแล้ว เยี่ยหลีหน้าขรึมลง หัวเราะเสียงเย็นทีหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่า ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ ข้าจำเป็นต้องไปเข้าเฝ้าเจาอี๋คนหนึ่งด้วย!” นางเน้นเสียงคำว่าเข้าเฝ้า ฐานะชายาติ้งอ๋องสูงส่งยิ่งนัก ต่อให้อยู่ในวังยังต้องทำความเคารพเพียงฮองเฮาและไทเฮาเท่านั้น ต่อให้เป็นกุ้ยเฟยนางยังต้องคำนับเพียงครึ่งท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจาอี๋ธรรมดาๆ คนหนึ่งเลย หากได้พบหน้ากันจริงๆ กลับต้องเป็นเยี่ยเย่ว์เสียด้วยซ้ำที่จะต้องคารวะเยี่ยหลีครึ่งท่าเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อตำหนักติ้งอ๋อง
“คือ…บ่าวพูดผิดไปแล้ว พระชายาโปรดอภัยด้วย เยี่ยเจาอี๋มีเรื่องด่วนจริงๆ ขอให้พระชายาเห็นแก่ความเป็นพี่น้องไปพบสักครั้งเถิดเพคะ”
เยี่ยหลีมองนางกำนัลด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “จะว่าไป ข้าก็เคยไปที่ตำหนักเหยาหวา แต่ดูไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย” นางกำนัลคนนั้นฝืนยิ้ม “บ่าวหน้าตาธรรมดาๆ พระชายาอาจจะจำไม่ได้เพคะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ไม่หรอก ข้ามั่นใจว่าในบรรดานางกำนัลข้างกายหกคน และนางกำนัลที่คอยรับใช้ในตำหนักอีกแปดคนไม่มีเจ้าอยู่ในนั้น หรือว่าเยี่ยเจาอี๋ใช้ให้สาวใช้ปัดกวาดมาเชิญข้ากัน”
“บ่าว…” นางกำนัลผู้นั้นสีหน้าร้อนรน หมุนตัวจะเดินกลับ เยี่ยหลีส่งสายตาไปให้ชิงหลวน ชิงหลวนก้าวขึ้นหน้าไปก่อนสับเข้าที่ท้ายทอยของนางโดยแทบจะไม่ต้องใช้แรง ร่างนางกำนัลคนนั้นอ่อนระทวยลงกับกองพื้นโดยทันที
“พระชายา” ชิงอวี้ย่นคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหลีเพื่อรอรับคำสั่ง
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วจู่ๆ กันหมุนตัวหันไปมองพุ่มไม้ริมทาง “ใครน่ะ”
“พระชายาติ้งอ๋อง” มีร่างบางร่างหนึ่งเดินออกมา ใบหน้างดงามดูสงบนิ่งขึ้นภายใต้แสงจันทร์
“แม่นางเหยาจี” เยี่ยหลีกล่าว “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เหยาจียิ้มสบายๆ “ข้ามิบังอาจ ชายาติ้งอ๋องเรียกข้าว่าเหยาจีก็พอเพคะ”
เหยาจีเดินขึ้นหน้ามา เหลือบมองนางกำนัลที่ไม่ได้สติอยู่ที่พื้นแล้วจึงเลิกคิ้วขึ้น “พระชายาติ้งอ๋อง นี่คือ…”
เยี่ยหลียิ้ม “เมื่อสักครู่แม่นางเหยาจีก็ได้ยินแล้วมิใช่หรือ ไม่มีอะไรหรอก ในวังหลวงอันกว้างใหญ่มักมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นได้เสมอมิใช่หรือ” นางโบกมือไปทางด้านหลัง ก็มีเงาคนในชุดดำประหนึ่งภูติผีปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเยี่ยหลีทันที
“พระชายา”
เยี่ยหลีชี้ไปที่พื้น “พาตัวนางไปที อย่าทำให้คนอื่นตื่นตกใจ” เงาดำนั้นแบกร่างนางกำนัลขึ้น แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็หายไปในความมืดทันที
“ได้ยินเฟิ่งซานพูดถึงนานแล้วว่าพระชายาติ้งอ๋องจัดการอะไรได้เด็ดขาด วันนี้ได้เห็นกับตา สมดังคำร่ำลือจริงๆ” เหยาจีเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“คุณชายเฟิ่งซานเคยพูดเรื่องข้ากับท่านหรือ” นางจำได้ว่า ตนไม่ได้สนิทสนมกับคุณชายเฟิ่งซานผู้โด่งดังแห่งเมืองหลวงสักเท่าใดนัก
เหยาจียกมุมปากขึ้นยิ้ม เลื่อนสายตามองไปทางอื่น “เฟิ่งซานชื่นชมในตัวพระชายามาก เหยาจีชื่นชมในสายตาของเขามาโดยตลอด วันนี้มีโอกาสได้พบพระชายาถือว่ามีบุญอย่างมาก”
เยี่ยหลีหลุบตาลงยิ้ม “ได้พบแม่นางที่เป็นนางรำอันดับหนึ่งแห่งชิงเฉิงฝางก็เป็นบุญของเยี่ยหลีเช่นกัน”
“เรื่องเมื่อสักครู่ข้าจะเก็บเป็นความลับ” เหยาจีกะพริบตาคู่งาม ใบหน้าอันเย้ายวนดูมีแววขี้เล่น
เยี่ยหลียิ้ม “ขอบคุณมาก ดึกแล้วเหตุใดแม่นางจึงยังอยู่ที่นี่”
เหยาจีได้แต่ถอนใจ “มีบางคนและบางเรื่องที่น่ารำคาญเหลือเกิน ข้าแค่มาหาที่หลบเท่านั้น ไม่คิดว่าจะมีวาสนาได้พบกับพระชายา”
เยี่ยหลีเข้าใจโดยทันที เหยาจีมีใบหน้าที่งดงามจับจิตจับใจ คงถูกใจคนเข้าไม่น้อย เพียงแต่กล้าที่จะตอแยนางในวังหลวงเช่นนี้ ดูท่าว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา “หรือให้ข้าให้คนไปส่งแม่นางออกจากวังดีหรือไม่”
สีหน้าเหยาจีเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “เช่นนั้นข้าขอบคุณพระชายามาก”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” เยี่ยหลีหันไปสั่งการกับชิงอวี้ แล้วจึงเอ่ยขอตัวกับเหยาจี เดินกลับไปยังตำหนักใหญ่ที่ยังคงมีการแสดงอยู่
เมื่อม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีเดินกลับมา จึงส่งสายตาสงสัยไปให้ เยี่ยหลีส่ายหน้าบอกว่าตนไม่เป็นอะไร แล้วเดินไปนั่งลงข้างม่อซิวเหยา หลังจากเอ่ยกระซิบเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอุทยานเมื่อครู่ให้ม่อซิวเหยาฟังคร่าวๆ ม่อซิวเหยาจึงพยักหน้า “อีกเดี๋ยวข้าจะส่งคนไปสืบความ คืนนี้อาหลีอยู่ข้างกายข้าไว้ดีกว่านะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า แล้วจึงเพิ่งรู้สึกได้ว่าบรรยากาศภายในตำหนักใหญ่ดูจะแปลกกว่าตอนที่นางออกไปเสียอีก เสียงดนตรีและการแสดงเงียบลงแล้ว สายตาของทุกคนต่างเหลือบมองไปทางคณะทูตจากแคว้นซีหลิงและหนานจ้าวเป็นพักๆ แม้แต่ตอนที่เยี่ยหลีเข้ามายังมีไม่กี่คนที่สังเกตเห็น
ฮว่าเทียนเซียงยิ้มแปลกๆ ส่งมาให้เยี่ยหลี ก่อนลอบใช้คางชี้ไปทางแคว้นซีหลิง เยี่ยหลีมองตามไป กลับเห็นว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นแห่งแคว้นซีหลิงกำลังตาแดงร้องไห้อยู่ วันนี้ดูท่าจะไม่ใช่วันดีขององค์หญิงหลิงอวิ๋น ผ่านไปไม่เท่าไรก็มีเรื่องให้ร้องไห้อีกแล้ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” เยี่ยหลีกระซิบถาม
ม่อซิวเหยายิ้มเยือกเย็น “เจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อบอกว่าแคว้นซีหลิงต้องการที่จะสานสัมพันธ์กับต้าฉู่ด้วยการแต่งงาน ยังพูดไม่ทันจบ…องค์หญิงหลิงอวิ๋นก็รีบพูดปฏิเสธ สุดท้าย…ฮ่องเต้เห็นด้วยที่จะสานสัมพันธ์กับแคว้นซีหลิงด้วยการแต่งงาน แต่องค์หญิงหลิงอวิ๋นจะไม่ได้แต่งเข้าวัง”
“จากนั้นเล่า”
“จากนั้นหนานจ้าวก็ได้ส่งหนังสือจากท่านอ๋องแห่งหนานจ้าว ว่ายินยอมที่จะให้องค์หญิงซีสยาแต่งงานมาอยู่ที่ต้าฉู่”
“…”
“ความหมายของฮ่องเต้คือ องค์หญิงซีสยาแต่งเข้าวัง ส่วนองค์หญิงหลิงอวิ๋นให้แต่งงานกับหลีอ๋อง”
…