เมื่อจัดการไล่เยี่ยอิ๋งไปได้แล้ว เยี่ยหลีถึงได้ถอนหายใจออกมายาวๆ อุตส่าห์ทนคุยไร้สาระอยู่กับเยี่ยอิ๋งเป็นครึ่งค่อนวัน แต่กลับถามอะไรที่ได้เรื่องออกมาไม่ได้เลย
“คุณชายเฟิ่งซาน หากฟังจนพอแล้วก็เชิญออกมาเถิด” เยี่ยหลีปรายตามองยอดไม้ของต้นไม้ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“หึหึ…” บนยอดไม้ที่มีใบไม้รกครึ้มค่อยๆ ถูกแหวกออก ปรากฏชุดหรูหราสีแดงออกมาให้เห็น “พระชายาติ้งอ๋อง พบกันอีกแล้ว ช่างเป็นวาสนาเสียจริง เพียงแต่…พระชายารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้าน้อย” เยี่ยหลีปรายตามองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากคุณชายเฟิ่งซานไม่แต่งชุดสีฉูดฉาดเป็นที่สะดุดตาเช่นนี้ ทั้งยังกลิ่นหอมฟุ้งเตะจมูกนั่นอีก”
“กลิ่นฟุ้งเตะจมูกหรือ” หางตาเฟิ่งจือเหยากระตุกขึ้นทันที ยกแขนเสื้อตนขึ้นดม กลิ่นใหม่ล่าสุดของร้านซูเหอไจนี้เป็นกลิ่นดอกอวี้หลันที่อ่อนที่สุดแล้ว จะถึงขั้นฟุ้งเตะจมูกได้อย่างไร หากไม่อยู่ใกล้ก็ไม่มีทางได้กลิ่น เขาเป็นคุณชายที่มีรสนิยมดีหรอกนะ ไม่ใช่พวกทึ่มคร่ำครึที่สาดผงหอมไปทั่วตัวพวกนั้นเสียหน่อย เมื่อเห็นสีหน้าบึ้งตึงของเฟิ่งจือเหยาแล้ว เยี่ยหลีก็ก้มหน้าลงยิ้มน้อยๆ เฟิ่งจือเหยามองสำรวจการแต่งกายของตน ก็พบว่าไม่มีสิ่งใดที่ทำลายภาพลักษณ์คุณชายเจ้าเสน่ห์ของเขาเลยแม้แต่น้อย จึงสรุปเอาเองว่าที่ตนถูกจับได้คงเป็นเพราะเยี่ยหลีบังเอิญเห็นชายเสื้อของตนเข้า เขายิ้มอย่างหลงไหลในตนเอง “ไม่คิดเลยว่าพระชายาจะใส่ใจในตัวข้าน้อยถึงเพียงนี้ เพียงแค่เห็นชายเสื้อเพียงนิดเดียวก็สามารถเดาได้แล้วว่าเป็นข้าน้อย ช่าง…เป็นเกียรติยิ่งแล้ว…”
“คุณชายเฟิ่งซาน” เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ “ไม่มีใครเคยสอนท่านหรือว่าภรรยาของสหายไม่ควรเกี้ยว หรือว่า…ข้าควรเอาคำพูดของท่านไปบอกท่านอ๋องดี อีกอย่าง ที่ข้ามั่นใจว่าเป็นคุณชายเฟิ่งซานก็เพราะทั้งเมืองหลวงนี้นอกจากชายหนุ่มที่แต่งงานใหม่ๆ แล้ว ไม่มีชายหนุ่มคนใดที่จะแต่งตัวได้…ตุ้งติ้งเช่นนี้”
กึก…รอยยิ้มของเฟิ่งจือเหยาแข็งค้างอยู่บนในหน้า หากจับไว้ไม่มั่นอีกเพียงนิดเดียวคงได้ตกลงมาจากต้นไม้เสียแล้ว เขายักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ก่อนยกมือขึ้นนวดใบหน้าที่แข็งค้างของตน “เอาเถิด เฟิ่งซานสำนึกผิดแล้ว ขอพระชายาโปรดอภัย”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างใจดี เฟิ่งจือเหยาเมินหน้าไปทำสีหน้าบิดเบี้ยว ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าเหตุใดม่อซิวเหยาจึงได้แต่งงานกับเยี่ยหลี คนศีลไม่เสมอกันคงอยู่ด้วยกันไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่เล่นละครเก่งเท่าเยี่ยหลีมาก่อน และแน่นอนว่าไม่เคยเห็นชายคนไหนเปลี่ยนสีหน้าได้เก่งเท่าม่อซิวเหยาเช่นกัน “จะว่าไป…ที่พระชายาพูดเมื่อสักครู่ช่างวิเศษจริงๆ การแต่งงานเป็นหลุมศพของความรักหรือ อืมอืม” เมื่อคิดถึงสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่ เฟิ่งจือเหยาก็รู้สึกกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าอาเหยาจะรู้ถึงความคิดของชายาของตนหรือไม่
เยี่ยหลีไม่นึกกลัวเลยแม้แต่น้อย นางพยักหน้าอย่างจริงจัง “คุณชายเฟิ่งซานควรเชื่อข้า คำพูดประโยคนี้เป็นคำพูดเด็ดที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เชื่อว่าคุณชายเฟิ่งซานเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของข้า มิเช่นนั้นเหตุใดคุณชายที่อายุเท่านี้แล้วจึงยังไม่แต่งงาน”
ปากเสีย! ข้ากับม่อซิวเหยาอายุเท่ากันหรอก
เฟิ่งจือเหยายกมือลูบจมูก ก่อนยิ้มขื่นๆ “ข้าก็คิดอยากจะลงหลุมอยู่ แต่เสียดายที่อีกฝ่ายไม่ชอบข้า” ใบหน้าหล่อเหลาตามสมัยนิยมมีแววขมขื่นปรากฏขึ้นชั่วแวบหนึ่ง กับคนที่อกหัก รักเขาข้างเดียว หรือแอบรักแล้ว เยี่ยหลีไม่รู้จะปลอบใจอย่างไรดี ได้แต่พูดว่า “ใต้ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ มีที่ใดที่ไม่มีหญ้างามอยู่บ้าง” เฟิ่งจือเหยาประสานมือให้นางด้วยสีหน้าขื่นๆ เป็นการบอกว่าขอบคุณที่ปลอบใจ เยี่ยหลีไม่อยากไปกวนใจเขาให้ขุ่นอีก “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนคุณชายแล้ว ขอตัว”
“นี่…” เมื่อเห็นหญิงสาวหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่ลังเล ทำให้เฟิ่งจือเหยาถึงกับอึ้งไป “ท่านอ๋องของท่านให้ข้ามาดูท่าน บอกให้ท่านระวังตัวด้วย”
“ขอบคุณมาก” ระวังหรือ เยี่ยหลีนิ่งคิดระว่างที่ค่อยๆ เดินจากมา
เฟิ่งจือเหยาปล่อยให้ใบไม้กลับมาปิดบังร่างของตนเองอีกครั้งโดยแรง ปากก็ได้แต่พร่ำบ่นไม่หยุด “ข้ากลายเป็นตัวอะไรไปแล้วนี่ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ยังต้องใช้ข้า เป็นห่วงนักก็มาดูเองไม่ได้หรือไร ม่อซิวเหยา สิ่งที่เจ้าตอบแทนข้าขอให้มันคุ้มค่ากับที่ข้าทำเพื่อเจ้าเถิดนะ มิเช่นนั้น…”
พอกลับเข้ามาในสวนดอกไม้ หวาเทียนเซียงก็จับมือฉินเจิงและมู่หรงถิงเข้ามาหาด้วยความยินดี “หลีเอ๋อร์ เจ้าสบายดีหรือไม่” ฉินเจิงจับมือเยี่ยหลีพร้อมถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง หวาเทียนเซียงหัวเราะ “เจิงเอ๋อร์ ข้าบอกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่ากังวัลใจไปเอง นางคนนี้จะไม่สบายดีได้หรือ ตอนนี้ในเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าพระชายาติ้งอ๋องห้าวหาญเพียงใด เพียงแค่ขู่ก็ทำให้องค์หญิงซีหลิงขวัญเสียจนลงไปคุกเข่าร้องไห้อยู่กับพื้นได้แล้ว”
“อาหลี ใช้ได้เลยนะนี่” มู่หรงถิงตบบ่าเยี่ยหลีพร้อมเอ่ยชื่นชมเสียงดัง พร้อมด้วยรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง “น่าเสียดายจริงเชียว เรื่องวันนั้นข้ากลับไม่ได้เห็นกับตา อาหลี ไว้วันไหนว่างๆ เรามาประลองธนูกันเถิด” เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกมือไปมา “พอเถิด ก็แค่ขู่แม่นางน้อยเท่านั้น ข้ามิกล้าประลองธนูกับบุตรสาวแสนรักของท่านแม่ทัพมู่หรงหรอก เช่นนั้นจะไม่เท่ากับไม่เจียมตนหรือ” แต่มู่หรงถิงไม่เชื่อนาง “เหอะ ข้าไม่เชื่อหรอก! สรุปก็คือ ต้องประลองให้ได้!”
“เอาล่ะ ถิงเอ๋อร์เจ้าพูดเรื่องอื่นได้หรือไม่ เจ้าอยากถูกท่านแม่ทัพมู่หรงไล่ตีอีกหรือ” ฉินเจิงพูดขึ้นด้วยความปวดหัว
มู่หรงถิงส่งเสียเหอะๆ ด้วยความไม่พอใจ “เจิงเอ๋อร์ เจ้านี่ชอบยกท่านพ่อมาขู่ข้า”
เยี่ยหลีมองฉินเจิงและหวาเทียนเซียงด้วยความสงสัย น่าเสียดายที่ทั้งสองถูกสายตาของมู่หรงถิงขู่ไว้จนไม่มีใครกล้าเปิดปากเล่าให้นางฟัง หวาเทียนเซียงลอบส่งสายตาไว้วันหลังค่อยคุยกันส่งให้นาง ส่วนฉินเจิงจับมือเยี่ยหลีพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่หลีเอ๋อร์แต่งงานไป นอกจากเทียนเซียงแล้วพวกเราไม่มีใครได้พบหน้าหลีเอ๋อร์เลยนะ” เยี่ยหลียิ้มอย่างรู้สึกผิด “ช่วงนี้ที่ตำหนักมีเรื่องนิดหน่อย ข้าเองก็ไม่ได้ออกไปไหน ไว้อีกสองสามวันพวกเจ้ามานั่งเล่นที่ตำหนักติ้งอ๋องไหมเล่า”
ทั้งสี่คนหาที่ที่คนน้อยนั่งลง พวกฉินเจิงทั้งสามต่างสอบถามถึงชีวิตแต่งงานใหม่ของเยี่ยหลีด้วยความเป็นห่วง เยี่ยหลีไม่อยากให้เพื่อนต้องเป็นห่วงจึงเลือกเรื่องที่น่าสนุกออกมาเล่าให้พวกนางฟัง หวาเทียนเซียงเอ่ยด้วยความอิจฉาว่า “อาหลีถือว่าโชคดีที่สุด พวกที่กลัวไม่กล้าแต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องพวกนั้นช่างไม่รู้จักคิด ดูสิชีวิตอาหลีตอนนี้สบายกายสบายใจเพียงใด แค่แต่งเข้าไปก็ได้เป็นประมุขหญิงของบ้านแล้ว คนก็น้อยไม่ต้องมีเรื่องให้แก่งแย่งชิงดีกัน อีกทั้งติ้งอ๋องไม่มีแม้แต่อนุ…” มู่หรงถิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เทียนเซียงพูดถูก ที่แท้ติ้งอ๋องก็เป็นคนดีจริงๆ” นางนึกเลื่อมใสในตำหนักติ้งอ๋อง
แววตาฉินเจิงที่มองเยี่ยหลียังดูมีความเป็นห่วงอยู่เล็กน้อย เยี่ยหลีอมยิ้มจับมือนางเพื่อบอกว่าตนสบายดี ฉินเจิงจึงได้พยักหน้า
เพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานพูดคุยกันอย่างออกรส เยี่ยหลีเองก็ผลักเรื่องกวนใจออกไปก่อนชั่วคราว ร่วมพูดคุยกับเพื่อนทั้งสามด้วยความสนุกสนาน จู่ๆ ก็มีเสียงแหลมร้องดังขึ้น มู่หรงถิงดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองไปรอบๆ ตามหาที่มาของเสียงด้วยความระแวดระวัง เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “ดูเหมือนจะดังมาจากที่นั่น”
ทั้งสี่หันมองหน้ากัน ทางด้านนั้นดูเหมือนจะเป็นที่พักของหญิงสาว คนที่ได้ยินเสียงร้องนี้ไม่ได้มีเพียงพวกนางสี่คนเท่านั้น อย่างน้อยๆ มีคนกว่าครึ่งสวนดอกไม้ที่ได้ยินเสียงนี้ ในตอนนั้นเริ่มมีหลายคนที่เดินไปทางนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้ว มู่หรงถิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “คราวนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวไม่เป็นอะไร แต่เป็นแขกที่มาเกิดเป็นอะไรขึ้นมาแทนหรือ งานแต่งงานของตำหนักหลีอ๋องคงไปขัดหูขัดตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ากระมัง” ฉินเจิงยกมือขึ้นปิดปากนางทันทีพร้อมถลึงตาดุใส่นางประหนึ่งจะบอกว่า “เรื่องพวกนี้พูดซี้ซั้วได้หรือ”
“พวกเราก็ไปดูกันหน่อยเถิด” หวาเทียนเซียงเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น เรื่องตื่นเต้นในตำหนักหลีอ๋อง ไม่ไปดูก็เสียเที่ยวแย่สิ
ส่วนที่เชื่อมระหว่างสวนดอกไม้กับเรือนหน้าเป็นส่วนของเรือนหลังเล็กอันวิจิตรงดงาม ซึ่งตำหนักหลีอ๋องจัดให้หญิงสาวที่มาร่วมงานมาพักผ่อนกันที่นี่ เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวนี้ มีเพียงประตูเดียวคือประตูที่เข้าจากทางสวนดอกไม้ จึงทั้งสามารถป้องกันไม่ให้แขกผู้ชายจากทางเรือนหน้ามาปะทะกับแขกผู้หญิงโดยบังเอิญ ทั้งยังกันไม่ให้แขกทั้งหลายเข้าไปรบกวนหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในตำหนักอีกด้วย ตอนที่พวกเยี่ยหลีทั้งสี่คนเดินไปถึงหน้าประตูก็มีคนจำนวนไม่น้อยเดินเข้าไปก่อนแล้ว เยี่ยหลียืนอยู่หน้าประตูมองสำรวจไปรอบๆ หวาเทียนเซียงเอ่ยถามเสียงเบาว่า “อาหลี มีอะไรหรือ” เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เสียงร้องของหญิงสาวเมื่อสักครู่ดังมากทีเดียว” ในเรือนเช่นนี้ หากเป็นเสียงที่เกิดขึ้นในห้อง ไม่มีทางดังไกลจนได้ยินไปถึงครึ่งสวนดอกไม้เด็ดขาด ดังนั้น สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ มีคนตั้งใจกรีดร้องอยู่ในบริเวณของเรือนเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน
“พวกเราไปอยู่ข้างหลังหน่อยเถิด เรื่องน่าตื่นเต้นเช่นนี้ไม่ต้องรีบไป” เยี่ยหลีพูดเสียงเบา
หวาเทียนเซียงมองนางด้วยความสงสัย ถึงแม้ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงพูดเช่นนี้ แต่นางก็ไม่ได้ขัดอะไร แต่จับมู่หรงถิงที่อยากพุ่งตัวเข้าไปใจจะขาดไว้คนละข้างเท่านั้น
“ตายแล้ว เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร” เพียงก้าวเข้าไปในศาลาดอกไม้ ก็มีหญิงสองคนรีบร้อนเดินหน้าแดงออกมาจากภายใน คนหนึ่งยังได้พูดว่า “ให้ใครไปตามเสียนเจาไท่เฟยมาเร็วเข้า”
ทั้งสี่หันมองหน้ากัน เกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆ
มู่หรงถิงพูดว่า “เจิงเอ๋อร์ พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกนี่ก่อน ข้าขอเข้าไปดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยหลีจับนางไว้ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “มู่หรง เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจิงเอ๋อร์กับเทียนเซียงเถิด ข้าเข้าไปดูให้เอง” เมื่อเห็นหญิงสาวที่หน้าแดงเป็นลูกผิงกั่วสองคนนั้นแล้ว เยี่ยหลีก็พอเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นภายในห้องนั้น ถึงอย่างไรนางก็เป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว หากให้มู่หรงถิงที่ยังไม่ได้ออกเรือนเข้าไปแล้วเกิดเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเข้า คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่
ฉินเจิงและหวาเทียนเซียงต่างก็เป็นคนฉลาด เมื่อลองคิดดูก็เข้าใจถึงความหมายของเยี่ยหลี หวาเทียนเซียงจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นพวกเรารอก่อนก็แล้วกัน” เรื่องตื่นเต้นเช่นนี้ไม่ต้องรีบร้อนไปดูหรอก
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้าเข้าไปดูก่อนแล้วกัน” ที่นางกังวลที่สุดก็คือเยี่ยอิ๋งเด็กโง่คนนั้นนึกทำอะไรที่ไม่ควรทำขึ้นมา อีกอย่างนางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของชายาหลีอ๋อง ถึงตอนนี้แล้วหากนางจะยังนิ่งเฉยอยู่ก็คงดูกระไรอยู่ “ไม่ต้องกังวลไป พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เสียนเจาไท่เฟยน่าจะใกล้มาถึงแล้ว”
เมื่อหมุนตัวเข้าไปด้านใน หน้าประตูห้องๆ หนึ่งมีคนยืนอยู่หลายคน ทุกคนต่างยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าประหลาด ไม่รู้ว่าควรเข้าไปหรือถอยออกมาดี เยี่ยหลีมองสำรวจอยู่รอบหนึ่งก็เห็นว่าเป็นเด็กสาวกับหญิงสาวที่แต่งงานแล้วแต่อายุยังน้อยทั้งสิ้น ด้วยคนที่อายุมากหน่อยและมีฐานะสูงศักดิ์ต่างอยู่คุยเป็นเพื่อนเสียนเจาไท่เฟย ส่วนคนที่พอได้เรื่องได้ราวหน่อยต่างก็ไม่พูดคุยอยู่ตรงส่วนที่มีแขกอยู่มากทั้งนั้น คนที่เดินเล่นอยู่ภายนอกในเวลานี้กว่าครึ่งก็เป็นเด็กสาวกับหญิงแต่งงานแล้วที่อายุยังน้อยทั้งนั้น
เมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา ก็มีคนตั้งสติขึ้นมาได้ “พระ…คารวะพระชายาติ้งอ๋อง”
หญิงสาวคนหนึ่งเมื่อเห็นเยี่ยหลีก็รีบทำความเคารพทันที ถึงแม้กิริยาท่าทางจะดูเรียบร้อยสง่างาม แต่ก็มิอาจปิดบังสีหน้าเขินอายบนใบหน้าไว้ได้
“คารวะชายาติ้งอ๋อง” ทุกคนถึงได้ทำความเคารพตาม
เยี่ยหลีมองดูสีหน้าแปลกๆ ของทุกคน ทั้งได้ยินเสียงครางและเสียงหอบหายใจดังออกมาจากในห้องที่ปิดประตูอยู่ครึ่งหนึ่ง นางเดินขึ้นหน้าไปอย่างไม่รู้จะพูดอย่างไรดี นางเดินเข้าไปประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของทุกคน ก่อนหันมาพูดเสียงเรียบว่า “ออกไปก่อนเถิด อีกเดี๋ยวเสียนเจาไท่เฟยกับชายาหลีอ๋องก็คงจะมาถึงแล้ว” ทุกคนต่างหน้าแดงขึ้นด้วยความเขินอาย การแอบฟังนั้นเสียมารยาท ไม่ใช่ว่าพวกนางจะไม่รู้ แต่ด้วยสถานการณ์ประหลาดนี้ทำให้คิดอะไรไม่ออก แต่อย่างไรคงไม่อาจทำให้ทุกคนที่เข้ามาเงียบๆ และออกไปเงียบๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรอกระมัง
“พระชายากล่าวถูกแล้ว พวกเรารีบไปกันเถิด” หญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น คนอื่นๆ ก็ต่างทำตาม
ที่น่าเสียดายคือ มีคนไม่อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปเงียบๆ จู่ๆ ก็มีสาวใช้วิ่งร้องไห้เข้ามาจากที่ใดก็ไม่รู้ “องค์หญิง! องค์หญิงอยู่ข้างใน!”
ปัง! ประตูที่ถูกงับปิดไว้ ถูกสาวใช้ผู้นั้นผลักเปิดโดยแรง ทำให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอย่างชัดเจน
หญิงสาวที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนต่างตัวแข็งประหนึ่งก้อนหิน องค์หญิงหรือ สวรรค์…นี่พวกนางกำลังพบเจอเหตุการณ์อะไรอยู่กันนี่
เยี่ยหลีมองมือซ้ายที่ว่างเปล่าของตนนิ่ง ก่อนเก็บกลับเข้ามาเงียบๆ เอาเถิด เป็นนางที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง แต่สาวใช้ที่สมควรตายคนนั้นถึงขั้นกล้าสะบัดนางหลุด เป็นวรยุทธ์แล้วเก่งมากนักหรือ