วันนี้องครักษ์ลับสามและสี่ ได้เข้าใจคำว่าชายาติ้งอ๋องว่าเกินคำว่าสตรีไปแล้ว พระชายาขี่ม้าเป็นหรือ เรื่องนี้ยังไม่เท่าไร พระชายามีวิชาต่อสู้หรือ เรื่องนี้ก็ยังไม่เท่าไร เพราะพวกเขารู้ตั้งแต่อยู่ที่ตำหนักแล้ว แต่ใครสามารถบอกพวกเขาได้บ้างว่า เหตุใดพระชายาจึงต้องพาชายอกสามซอกมาบุกรังโจรหรือ เอาเถิด ตอนนี้ที่นี่ไม่มีโจรอยู่แล้ว ตั้งแต่คืนที่พระชายาถูกจับตัวไป คุณชายเฟิ่งซานก็ได้พาหน่วยเฮยอวิ๋นมากวาดล้างรังโจรบนยอดเขาที่ชื่อเฮยอวิ๋นเสียจนราบคาบหมดแล้ว พวกสหายเฮยอวิ๋นฉีทั้งหลายต่างไม่พอใจ พวกโจรป่าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบังอาจตั้งชื่อยอดเขาว่าเฮยอวิ๋น แล้วยังกล้าทำให้ท่านอ๋องโกรธอีก นี่ไม่ได้เป็นการทำให้ชื่อเฮยอวิ๋นเสื่อมเสียหรือ
เมื่อเห็นเยี่ยหลีขี่ม้าไปได้กว่าร้อยลี้ จากนั้นก็ลงเดินเท้าขึ้นภูเขา โดยไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย ทำให้องครักษ์ลับที่กลายเป็นองครักษ์ไม่ลับรู้สึกหัวเสียเป็นอย่างมาก เยี่ยหลีหันกลับไปมองทั้งสอง ก่อนเลิกคิ้วด้วยควาไม่เข้าใจ “ทำไมหยุดเดินเสียเล่า เหนื่อยแล้วหรือ”
ทั้งสองส่ายหน้าราวกับตีกลอง องครักษ์ลับสามรวบรวมกำลังใจถามขึ้นว่า “พระชายา พวกเรามาทำอะไรกันที่นี่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันกลับไปมองทั้งสองคนพร้อมยิ้ม “ปีนเขา เดินเล่น เที่ยวนอกเมือง พักผ่อนหย่อนใจ จับพวกเจ้าไปขาย อย่างไหนดี”
“พระชายา…”
องครักษ์ลับทั้งสามและสี่ต่างเคยมาที่ยอดเขาเฮยอวิ๋นแห่งนี้ แต่เมื่อขึ้นมาบนเขาพวกเขาจึงได้รู้ว่าที่นี้ต่างกับคราวที่แล้วที่มาโดยสิ้นเชิง รังโจรบนภูเขาที่เคยมีอยู่เดิมไม่ได้ถูกทำลายไป แต่ค่ายกลและหลุมกับดักตั้งแต่ตรงนี้เป็นตนไปกลับถูกทำลายออกไปหมดแล้ว ทางเดินบนเขาก็เดินง่ายขึ้นมาก ถึงแม้สำหรับพวกเข้าจะมีวิชาที่แก่กล้าแล้วอาจไม่ถือว่าเป็นอะไรนัก แต่หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยทีแล้ว ในรังโจรยังไม่คนมาอาศัยอยู่อีกด้วย พวกเขาที่อยู่ไกลออกมามองเห็นกลุ่มควันไฟ พระชายาคงไม่ได้อยากเปลี่ยนที่ผืนนี้ให้ทำเรื่องผิดกฎหมายหรอกกระมัง หรือว่าบนยอดเขาเฮยอวิ๋นมีโจรป่าเพิ่มขึ้นอีกกลุ่มหนึ่ง แล้วพระชายาจึงคิดที่จะพาพวกเขามาทลายรังโจรนั้น
ทั้งสามเพิ่งเดินเข้าไปใกล้หน้ารังโจรได้ไม่เท่าไร ก็ได้ยินเสียงหมาเห่าขึ้น ไม่นานก็มีผู้เฒ่าอายุราวๆ หกสิบกว่าปีที่ยังดูแข็งแรงกระฉับกระเฉงเดินนำผู้เฒ่าอีกสองสามคนกับเด็กๆ ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นเป็นเยี่ยหลีทุกคนต่างก็อมยิ้มพร้อมออกมาต้อนรับ “คุณชายฉู่”
เยี่ยพลีพยักหน้า “ลุงหวัง ช่วงนี้สบายดีหรือไม่”
ผู้เฒ่าคนที่ถือไม้เท้าพยักหน้า “ลุงสบายดี โชคดีที่มีคุณชายคอยดูแล เชิญคุณชายด้านในก่อน”
เยี่ยหลีเชิญให้ผู้เฒ่าเดินนำเข้าไปก่อน เยี่ยหลีเดินอยู่ข้างหน้าพร้อมเอ่ยถามว่า “ข้ามาที่นี่ไม่ได้บ่อยนัก ลุงหวังอยู่ทางนี้สบายดีหรือไม่”
ผู้เฒ่าตอบว่า “ที่นี่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทุกอย่างล้วนดีไปหมด เรื่องที่คุณชายสั่งไว้ พวกข้าได้ทำตามที่คุณชายต้องการมาเสมอ คุณชายจะลองไปดูก่อนหรือไม่ อ้อ…ตอนนี้ใกล้ถึงเวลากินมื้อเที่ยงแล้ว คุณชายเดินทางมาไกล คิดว่าคงยังไม่ได้กินข้าว หากไม่รังเกียจอาหารหยาบๆ ที่นี่ ก็ขอเชิญกินข้าวก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่” เยี่ยหลีออกมาตั้งแต่เช้าจึงยังไม่ได้กินข้าวจริงๆ จึงพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย ผู้เฒ่าดีใจเป็นอย่างมาก รีบสั่งให้คนไปเตรียมมื้อเที่ยงมาให้นาง ทั้งยังได้เชิญให้เยี่ยหลีเข้าไปพักผ่อนยังห้องที่ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้านด้วยตนเองอีกด้วย
“พระชายา…ที่นี่ เหตุใดที่นี่…” เมื่อผู้เฒ่าเดินหายไป องครักษ์สามก็รีบเอ่ยถามขึ้นทันที เพียงแต่คิดอยู่เป็นนานก็คิดไม่ออกว่าควรถามว่าอะไรดี
เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่บนเก้าอี้ “เจ้าอยากถามเรื่องที่นี่หรือ คราวที่แล้วที่ข้ามาเที่ยวที่นี่ รู้สึกว่าที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว จึงคิดหาทางซื้อมาไว้” ที่นี่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองหลวง ทั้งยังเป็นที่ที่ปลอดผู้คน พื้นที่ป่าบนภูเขาเช่นนี้ย่อมมีเจ้าของ เพียงแต่มีโจรป่าเข้ามายึดครองอยู่คนทั่วไปจึงไม่กล้าเข้ามายุ่ง องครักษ์สี่ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “พระชายาซื้อภูเขาลูกนี้มาเพื่อการใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ที่นี่ดูแล้ว…ก็ไม่ได้มีค่าอะไร” ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้หรือพืชพันธุ์บนภูเขาต่างก็ดูไม่มีค่าอะไรนัก และภูเขาลูกนี้ก็ดูไม่มีเหมืองเงินเหมืองทองอยู่อีกด้วย
เยี่ยหลีกะพริบตา “เดิมที่ข้าก็ไมได้คิดที่ว่ามันจะมาสร้างมูลค่าอะไรอยู่แล้ว ภูเขาลูกนี้เป็นเพียงภูเขาธรรมดาๆ เพียงแต่บนภูเขาและตีนเขามีหนึ่งหมู่บ้านกับบ้านเรือนสามสี่หลังเพิ่งขึ้นมาเท่านั้น”
“ตีนเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามนึกได้ว่าที่ไม่ไกลจากตีนเขามีหมู่บ้านขนาดไม่เล็กนักอยู่จริง
องครักษ์ต่างไม่ใช่คนหัวทื่อ พวกเขาย่อมรู้ดีว่าต่อให้หมู่บ้านที่ตีนเขาเป็นของพระชายา แต่สิ่งที่พระชายาให้ความสำคัญย่อมเป็นของที่อยู่บนภูเขาแน่นอน มิเช่นนั้นคงไม่ปีนเขาขึ้นมาโดยเฉพาะ ดวงตาสองคู่มองคุณชายรูปงามตรงหน้าเงียบๆ เยี่ยหลีได้แต่พับพัดที่ทำให้ดูสง่างามลง “เอาเถิด กินข้าวเสียก่อนแล้วข้าจะพาพวกเจ้าไปดู ไม่เชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่รู้จักยึดถือจรรยาบรรณของอาชีพองครักษ์ลับ หากพวกเจ้าไม่รู้ล่ะก็ ข้าจะสอนพวกเจ้าจนกว่าจะรู้ด้วยตนเอง” องครักษ์ลับสามและสี่อดขนลุกขึ้นมาไม่ได้ แล้วจึงตอบออกไปตามสัญชาตญาณว่า “ข้าน้อยเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกินมื้อกลางวันที่ค่อนข้างเรียบง่ายเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีหันไปเอ่ยขอบคุณผู้เฒ่าก่อนจะพาองครักษ์ลับทั้งสองออกเดินไปทางหลังเขา
จากนั้นไม่นาน องครักษ์ลับสามและสี่ก็ได้เข้าใจว่า เหตุใดพระชายาถึงได้บอกพวกเขาว่านางต้องการแรงงาน ตั้งแต่หน้าผ้าด้านหลังภูเขาเรื่อยลงไปนั้น มีหุบเขาที่ใหญ่โตมโหฬารอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้า ถึงแม้จะเป็นตอนกลางวันแสกๆ แต่ยังยังได้ยินเสียงหมาป่าเห่าหอนมาจากที่ไกลๆ มีสถานที่เช่นนี้อยู่ใกล้เมืองหลวงด้วยหรือ เยี่ยหลีพาพวเขาเดินต้นไม้ในป่าทึบอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พบกับกลุ่มคนที่กำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง คนพวกนี้กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการสร้างบ้านพักธรรมดาๆ หลังหนึ่ง กับของบางอย่างที่พวกเขาเห็นอยู่ในสนามฝึกซ้อมที่ตำหนัก กับข้าวของอื่นๆ ที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ที่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจที่สุดคือ หลายวันนี้พวกเขาติดตามพระชายามาโดยตลอด แต่ไม่เคยเห็นพระชายาทำเรื่องอันใดเลย แล้วที่นี่มันอะไรกัน
คนที่เข้ามาทักทายพวกเขาคือชายร่างกำยาอายุประมาณสามสิบปี เมื่อเขาเห็นเยี่ยหลีก็รีบเข้ามาต้องรับทันที “คุณชายฉู่”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ทำไปถึงไหนแล้ว”
ใบหน้าชายร่างกำยำเต็มไปด้วยรอยยิ้มซื่อๆ “คุณชายท่านวางใจเถิด พวกเราจะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ล้วนทำตามที่ท่านสั่ง ท่านลองดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง” เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าด้วยความพอใจ “ข้าไปดูมาแล้ว พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ชายร่างกำยำยกมือขึ้นจับผม ยิ้มแล้วตอบว่า “ถึงพวกเราจะไม่รู้ว่าของเล่นพวกนี้ใช้ทำอะไร แต่คุณชายฉู่มีบุญคุณต่อพวกเรา ซ้ำยังให้งานพวกเราทำ พวกเราจะตั้งใจทำเพื่อท่านเป็นอย่างดีแน่นอนขอรับ” เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ต้องเกรงใจ พวกเจ้าก็อาศัยแรงในการหาเงิน วันนี้ข้านำแบบอันใหม่มาด้วย พวกเจ้าลองดูว่ามีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจหรือไม่ จะได้อธิบายให้ละเอียดขึ้น” เยี่ยหลีหยิบกระดาษม้วนหนาออกมาส่งให้เขา ชายร่างกำยำเปิดออกดูรอบหนึ่งพร้อมยิ้ม “คุณชายวาดออกมาได้ชัดเจนมาก ข้าจะนำไปให้พวกท่านอาจารย์ดู คุณชายจะไปด้วยกันหรือไม่”
“ข้ารอดูก่อนดีกว่า ไว้ให้พวกเขาทำงานเสร็จแล้วข้าค่อยตามไป”
ชายผู้นั้นเดินถือกระดาษไปด้วยความตื่นเต้น เยี่ยหลีจึงได้ปรายตามองทั้งสองคนที่มัวอึ้งอยู่ “อยากถามอะไรตอนนี้ถามได้เลย”
องครักษ์ลับสี่มองเยี่ยหลีแล้วถามขึ้นว่า “พระชายา…พระชายาจะสร้างสนามฝึกหรือพ่ะย่ะค่ะ” มีหลายอย่างที่เหมือนกับที่ตำหนักมาก
เยี่ยหลียิ้มพร้อมพยักหน้าด้วยความพอใจ “ตามีแวว เจ้าจะว่าข้ากำลังสร้างสวนสนุกที่น่าสนุกก็ได้”
งานอดิเรกของพระชายาช่างแปลกประหลาดนัก
“พระชายาหาที่นี่พบได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามถามขึ้น
“อ้อ ข้าไปถามใครบางคนว่าละแวกเมืองหลวงมีสถานที่ที่ลับตาคนและน่าสนุกอยู่หรือไม่ เขาแนะนำที่นี่ให้ ข้าเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งก็รู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลยจริงๆ”
องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้านบน “ที่นี่น่าจะง่ายต่อการบุกเข้ามานะพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อครู่พวกเขาลงมาจากหน้าผาได้เลย อีกทั้งคราวที่แล้วเจ้าของเทียนอี้เก๋อยังหลบหนีไปจากทางด้านล่างนี้ได้ด้วย แสดงว่าทางเข้าและทางออกไม่ได้มีเพียงทางเดียว เยี่ยหลียิ้ม “หากเจ้าพูดถึงทางเดินที่อยู่ข้างล่างนี้ล่ะก็ มันถูกข้าปิดตายไปหมดแล้ว หากต้องการที่จะออกจากป่าผืนนี้ไปได้ล่ะก็ ข้าสำรวจมาแล้ว ชายป่าผืนนี้ทั้งสี่ด้านอยู่ไกลออกไปประมาณห้าสิบลี้หรืออาจมากกว่านั้น ด้านหนึ่งด้านล่างเป็นหน้าผาที่ลึกยิ่งกว่านี้เสียอีก อีกทั้งในป่ายังมีหนองน้ำอยู่ด้วย มีพืชพันธุ์มีพิษอยู่สารพัดประเภท มีทั้งนกและสัตว์ป่าที่ดุร้าย พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าพื้นที่โดยรอบละแวกนี้ต่างวางยากันงูไว้ ช่างเป็นสนามล่าสัตว์ที่อุดมสมบูรณ์มากจริงๆ การที่จะหาพื้นที่ละแวกเมืองหลวงที่เป็นเช่นนี้นั้นไม่ง่ายนักเลยจริงๆ หากพวกเจ้าคิดจะลงมาที่นี่โดยใช้เส้นทางเดียวกับที่พวกเรามาจากข้างบนแล้ว…รอให้ที่สร้างเสร็จเสียก่อน ถนนเส้นนั้นก็จะหายไปด้วยเช่นกัน อีกอย่าง…หากไม่กลัวตายจะลองใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมาก็ยังได้”
องครักษ์สามกับสี่ต่างเขยิบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้ยินเยี่ยหลีพูดถึงการกระโดดลงมาที่นี่จากด้านบนแล้ว ดูจะหนักหนากว่าการบุกเข้ามาทางป่าเสียอีก
“พระชายาสร้างสถานที่เช่นนี้…ไปเพื่ออันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเอ่ยถามด้วยความยากลำบาก
เยี่ยหลียิ้มเต็มหน้าก่อนตอบว่า “ข้าไม่ได้บอกแล้วหรือ ไว้เล่นไง ในตำหนักมีข้อจำกัดเยอะเกินไป จนน่าเบื่อ รอให้ที่นี่สร้างเสร็จเสียก่อน หากข้านึกเบื่อก็จะมาเที่ยวที่นี่สักรอบ อารมณ์ข้าคงดีขึ้นมาก” สีหน้าองครักษ์สามและสีเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พวกเขาน่าจะรู้เสียนานแล้วว่าคนที่มีความสนใจพิเศษเช่นพระชายานี้ย่อมไม่ใช่คนปกติ คนทั้งเมืองหลวงต่างถูกพระชายาหลอกเสียแล้ว…ต่อให้ท่านอ๋องผู้เฒ่าฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งก็คงตกใจกับความห้าวหาญของลูกสะใภ้คนนี้อยู่ดีกระมัง
เยี่ยหลีมองการตกแต่งโดยรอบด้วยความพอใจ ก่อนรอยยิ้มในดวงตาของนางจะหายไป วันเวลาคงไม่สงบสุขเช่นนี้ไปตลอด ดังนั้นนางจึงไม่อาจทำตัวเป็นชายาติ้งอ๋องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวและไม่กังวลใจกับเรื่องใดๆ เลยได้จริงๆ พี่ใหญ่เดินทางไปชายแดนทางตอนใต้แล้ว ส่วนพี่สามก็เข้าค่ายทหารไปแล้ว…หากไม่เพราะคาดเดาว่าความปั่นป่วนอันร้ายแรงในอนาคตนั้นยากจะหลบเลี่ยงได้แล้ว ท่านลุงใหญ่ไม่มีทางให้พี่ใหญ่ยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องในราชสำนักเป็นแน่ ชื่อเสียงคุณชายชิงเฉินนั้นยิ่งใหญ่เกินไป และตระกูลสวีก็ไม่ต้องการชื่อเสียงที่มากไปกว่านี้แล้ว เช่นนั้น…ก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายขึ้น นางก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเสียก่อน เพื่อที่ในอนาคตนางจะได้สามารถปกป้องคนในครอบครัวของนางได้ ด้วยวิธีของนาง
…