ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 71-3 จูบเบาๆ

ในโถงดอกไม้ มู่หรงถิงมองสำรวจการตกแต่งที่โอ่อ่าของห้องโถงใหญ่อย่างตื่นตาตื่นใจ แต่เมื่อหันไปเห็นเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งจิบน้ำชาสบายๆ อยู่ ก็ไม่ลืมที่จะหันไปถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ “ข้ามาเพื่อลาอาหลี เจ้าจะทำหน้าหนาขอตามมาด้วยไปทำไมกัน” เหลิ่งเฮ่าอวี่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ถิงเอ๋อร์ ข้ากับพระชายาติ้งอ๋องอย่างไรก็ถือว่าเคยมีวาสนาได้พบหน้ากันหนึ่งครั้ง เจ้ามาบอกลา แล้วข้ามาบอกลาบ้างไม่ได้หรือ” มู่หรงถิงพูดด้วยความรำคาญว่า “เหลิ่งเฮ่าอวี่ ข้ามาเพราะท่านพ่อต้องไปหย่งโจวแล้วข้าต้องไปด้วย คุณชายเช่นเจ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้วจะตามไปด้วยทำไมกัน ระวังเจ้าจะเหนื่อยตายเสียตั้งแต่ครึ่งทาง” เหลิ่งเฮ่าอวี่กะพริบตาปริบๆ มองนางด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “ถิงเอ๋อร์นี่เจ้ากำลังเป็นห่วงข้าหรือ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เพื่อถิงเอ๋อร์แล้วไม่ว่าเส้นทางจะลำบากลำบนเพียงใดข้าก็จะยืนหยัดต่อไปให้ได้”

 

 

           “เหลิ่งเฮ่าอวี่! เจ้าไปตายเสียไป!” มู่หรงถิงถูกเหลิ่งเฮ่าอวี่คอยตามตอแยมาหลายปี แต่กลับพบว่าตนเองนั้นมักประเมินความหนาของหน้าคนผู้นี้ต่ำไปตลอด ใบหน้าเรียวโกรธจนหน้าแดง และอดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้าเร่าๆ เหลิ่งเฮ่าอวี่มองคู่หมั้นที่โกรธจัดอย่างอารมณ์ดี ยังคงยิ้มตาหยีและนั่งจิบชาต่อไป ในแววตาที่หลุบลงอยู่ครึ่งหนึ่งนั้น มีแววปล่อยวางอยู่ ในสายตาของถิงเอ๋อร์ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่เป็นแต่กินดื่มเที่ยวเล่นอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางที่จะดีไปกว่าพี่ใหญ่ที่มีความสามารถโดดเด่นได้ มีเพียงตอนที่เขาทำให้ถิงเอ๋อร์โกรธเท่านั้นที่เขาจะรู้สึกว่าตนเองมีตัวตนที่ไม่เหมือนคนอื่นอยู่ในสายตาของนาง

 

 

           “อะแฮ่มๆ…มู่หรง ใครทำให้เจ้าโกรธหรือ ถึงได้อารมณ์เสียเช่นนี้” เยี่ยหลีเดินเข้ามาในโถงดอกไม้ช้าๆ อมยิ้มมองมู่หรงถิงที่โกรธจัดอยู่ มู่หรงถิงจึงได้นึกขึ้นได้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตน และไม่ใช่สถานที่ภายนอก แต่เป็นตำหนักติ้งอ๋องที่ผู้ดีมีอำนาจทั้งหลายในเมืองหลวงต่างต้องสำรวมกิริยา แต่ก็ยังอดโกรธไม่ได้ จึงหันไปถลึงตาใส่เหลิ่งเฮ่าอวี่ก่อนพูดอย่างโกรธๆ ว่า “นอกจากเจ้านี่แล้วจะมีใครได้อีก ทำให้ข้าต้องเสียมารยาทเช่นนี้”

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่ลุกยืนขึ้นทำความเคารพ “คารวะพระชายา”

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “คุณชายเหลิ่งไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งเถิด” ส่วนนางดึงมู่หรงถิงให้ไปนั่งด้วยกันอีกด้านหนึ่ง แล้วยกมือคือหยิกแก้มมู่หรงถิงที่ยังดูโกรธอยู่ “มู่หรงมาที่ตำหนักติ้งอ๋องตอนนี้ เพื่อมาบอกลาข้าหรือเปล่า” มู่หรงถิงมองนางด้วยความประหลาดใจ “ไม่คิดว่าคนเก็บตัวเช่นเจ้าจะข่าวไวเช่นนี้ ข้าก็เพิ่งได้ข่าวเมื่อช่วงบ่ายเมื่อวานเช่นกัน แต่เวลากระชั้นมาก พรุ่งนี้ท่านพ่อก็ต้องออกเดินทางแต่เช้า ข้าจึงต้องอาศัยวันนี้ที่ยังพอมีเวลามาบอกลาเจ้าก่อน”

 

 

           “มู่หรงก็ต้องไปหย่งโจวกับท่านแม่ทัพมู่หรงด้วยหรือ”

 

 

           มู่หรงถิงพูดด้วยความภาคภูมิใจว่า “แน่ล่ะ ท่านพ่อข้าต้องไปอยู่ชายแดนตัวคนเดียว ข้าจะไม่ตามไปคอยดูแลได้อย่างไร”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ท่านแม่ทัพมู่หรงเห็นด้วยที่จะให้เจ้าไปหรือ” มู่หรงถิงอายุไม่ถือว่าน้อยแล้ว อย่างช้าอีกสองปีนางก็จะต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านแม่ทัพมู่หรงไปประจำการที่ชายแดนคราวนี้ อาจไม่ได้กลับมาภายในสามปีหรือห้าปีทีเดียว มู่หรงถิงเหลือบมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่นั่งอยู่อีกด้าน ก่อนดึงหางเปียขึ้นมาจับเล่นพร้อมพูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่ออนุญาตแล้วล่ะ” ตอนแรกท่านพ่อไม่เห็นด้วยที่นางจะไปจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่ไปพูดอันใดกับท่านพ่อถึงทำให้ท่านพ่อเปลี่ยนใจได้ มู่หรงถิงนึกริษยาในใจว่า ไม่รู้ว่านางหรืออีตาบ้าเหลิ่งเฮ่าอวี่นั่นกันแน่ที่เป็นลูกแท้ๆ ของท่านพ่อ พอได้คุยกับเขาท่านพ่อก็ยอมเปลี่ยนใจทันที ส่วนตัวนางนั้นอ้อนวอนอยู่ทั้งคืนก็ยังไม่สำเร็จ

 

 

           เมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่พอใจของมู่หรงถิง เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงได้แต่ยกมือขึ้นลูบจมูก “พระชายา อันที่จริงข้าน้อยก็มาเพื่อบอกลาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ อีกไม่กี่วันข้าน้อยก็จะออกเดินทางลงใต้เช่นกัน”

 

 

           เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ “อ้อ คุณชายเหลิ่งก็ไปที่หย่งโจวเช่นกันหรือ”

 

 

           “มิได้ ข้าน้อยจะเดินทางไปหลิงโจวพ่ะย่ะค่ะ” เหลิ่งเฮ่าอี่เอ่ยยิ้มๆ “ที่หลิงโจวมีเรื่องการค้าที่ต้องไปจัดการนิดหน่อย บางทีอาจเลยไปถึงหนานจ้าวเลยก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าคุณชายใหญ่ตระกูลสวีเดินทางไปท่องเที่ยวที่หนานจ้าว หากมีวาสนาได้พบกัน ไม่รู้ว่าพระชายามีอันใดจะฝากไปถึงคุณชายสวีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงถิงส่งเสียงเหอะเบาๆ พร้อมปรายตามองเขาอย่างดูแคลน “เจ้าน่ะหรือทำการค้า หลายปีนี้เจ้ามีแต่เอาเงินตระกูลเหลิ่งออกไปเที่ยวเล่นวุ่นวายอยู่ข้างนอก มีการค้ากับเขาตั้งแต่เมื่อไร ท่านลุงเหลิ่งอนุญาตให้เจ้าออกไปไหนด้วยหรือ”

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่ฉีกยิ้มอย่างคนสำมะเลเทเมาส่งให้นาง “ถิงเอ๋อร์พูดถูก ท่านพ่อข้าคิดว่าข้าไม่เอาไหนเกินไปเสียแล้ว จึงได้ตัดสินใจไล่ข้าออกไปให้ตั้งตัวด้วยตัวเอง”

 

 

           “เอ่อ…” มู่หรงถิงไม่คิดเลยว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะถูกไล่ออกจากบ้าน นางเคยคิดว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะต้องให้ท่านลุงเหลิ่งกับพี่ใหญ่เหลิ่งเลี้ยงดูไปตลอดชีวิตเสียอีก ถึงแม้นางจะเกลียดความดื้อด้านของเหลิ่งเฮ่าอวี่ แต่เมื่อคิดว่าอีกหน่อยเขาจะต้องไปหลิงโจวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยวแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “เรื่องนั้น…ถ้าเจ้าอยู่ไม่ไหว มาที่ด่านซุ่ยเสวี่ยได้นะ ท่านพ่อข้าคงต้องการคนไม่น้อย…”

 

 

           “ข้ารู้อยู่แล้วว่าถิงเอ๋อร์จะต้องเป็นห่วงข้า” เหลิ่งเฮ่าอวี่ยกมือขึ้นจับหัวใจพร้อมสีหน้าเมามายอย่างมีความสุข มู่หรงถิงโกรธจนทนไม่ได้ ขว้างลูกดอกตรงไปยังใบหน้าของเขา เหลิ่งเฮ่าอวี่เอียงหัวหลบเล็กน้อย ก่อนยกพัดพับในมือขึ้นสะบัดไปข้างๆ แล้วลูกดอกลูกนั้นก็กระเด็นลงไปตกอยู่ในแจกันดอกไม้ที่วางอยู่ข้างๆ ทันที เยี่ยหลีปิดปากหัวเราะอย่างขำขัน นางจับมือมู่หรงถิงไว้ “เอาเถิดมู่หรง ข้ามีจดหมายอยากให้คุณชายเหลิ่งนำไปให้พี่ใหญ่ด้วย คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ ท่านไปที่ห้องหนังสือด้วยกันทีได้หรือไม่”

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่ลุกยืนขึ้น “ข้าน้อยยินดี เชิญพระชายา”

 

 

           เยี่ยหลีหันไปเอ่ยขอโทษกับมู่หรงถิง ก่อนหันเรียกพวกชิงซวงให้เข้ามาอยู่คุยเป็นเพื่อนมู่หรงถิงแล้วจึงเชิญเหลิ่งเฮ่าอวี่ไปทางห้องหนังสือ มู่หรงถิงมองตามแผ่นหลังของเหลิ่งเฮ่าอวี่ไป ในใจนึกอึ้งไปเล็กน้อย เจ้านี่พอจริงจังขึ้นมาก็ดูไม่น่ารังเกียจสักเท่าไรนะ

 

 

           “คุณชายเหลิ่งเชิญนั่ง”

 

 

           ในห้องหนังสือ สีหน้ายิ้มระรื่นอย่างคุณชายเจ้าสำราญของเหลิ่งเฮ่าอวี่ค่อยๆ หายไป สีหน้าดูคมเข้มและจริงจังขึ้นหลายส่วน ประหนึ่งเปลี่ยนเป็นคนละคน ดูไม่ไร้พิษสงอย่างก่อนหน้านี้

 

 

           “ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามู่หรงถิงชอบคนแบบไหน เหตุใดจึงต้องทำท่าทางที่นางไม่ชอบด้วยเล่า” เยี่ยหลีนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ก่อนถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วพร้อมยิ้มขึ้น ในรอยยิ้มมีแววขมขื่นเล็กๆ “หากไม่เพราะเกิดความโชคดีโดยบังเอิญขึ้น ตัวตนเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่แท้จริงก็เป็นอย่างที่ทุกคนเห็นพ่ะย่ะค่ะ” ทุกบ้านต่างมีเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์ด้วยกันทั้งนั้น ตระกูลเหลิ่งเองก็คงไม่ใช่บ้านที่สะอาดเรียบร้อยอันใดนัก เยี่ยหลีจึงไม่ถามถึงเรื่องส่วนตัวของเหลิ่งเฮ่าอวี่อีก เพียงพูดขึ้นว่า “มู่หรงมีนิสัยร่าเริง แต่บางครั้งก็ชอบเอาชนะไปบ้าง คนที่นางชอบจึงเป็นคนที่เก่งกว่านาง ขอให้ท่านโชคดี”

 

 

           “ขอบคุณพระชายา” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยยิ้มๆ

 

 

           เมื่อได้มองชายหนุ่มที่ดูมีความสามารถคนนี้แล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่นึกทอดถอนใจ ใครๆ ต่างมองเห็นเพียงแค่คุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งฉิงอวี่ ว่ามีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและบู๊เพียบพร้อม และเป็นคนที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญ แต่กลับไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มที่ดูชื่นชอบการเที่ยวหอนางโลมและดื่มสุราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เอาแต่เอะอะมะเทิ่งอยู่แต่กับเพื่อนอันธพาลคนนี้ กลับมีธุรกิจของตำหนักติ้งอ๋องเกือบครึ่งหนึ่งที่คอยดูแลอยู่ในมือ จำนวนเงินที่ผ่านมือเขาในแต่ละวันมากพอที่จะทำให้ผู้ดีมีอำนาจทั้งหลายใจเต้นได้เลยทีเดียว เยี่ยหลีค่อยๆ ฝนหมึกก่อนยกพู่กันขึ้นเขียนตัวหนังสือลงไปสามสี่ตัว รอให้แห้งแล้วจึงพับส่งให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ทั้งที่ไม่ใส่ซองจดหมาย “หากท่านบังเอิญพบพี่ใหญ่ ฝากส่งจดหมายนี้ให้เขาด้วย หากไม่พบ ท่านจัดการตามสบายได้เลย” เหลิ่งเฮ่าอวี่เปิดออกอ่าน มั่นใจว่าตนเองอ่านข้อความที่เขียนอยู่ไม่เข้าใจแน่ๆ จึงเลิกคิ้วขึ้นก่อนเก็บจดหมายไว้ในช่องลับในแขนเสื้อพร้อมเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจอีก “ท่านอ๋องกับพระชายามีอันใดจะสั่งอีกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีคุณชายเหลิ่งคอยจัดการ ท่านอ๋องจึงวางใจมาตลอด ข้าก็ไม่มีอันใดจะสั่งแล้ว เพียงแต่ ก่อนหน้านี้เราคงประเมินม่อจิ่งหลีต่ำไปเสียแล้ว คุณชายเหลิ่งไปคราวนี้ระวังตัวให้ดีด้วย แน่นอนว่ารวมถึงความปลอดภัยของท่านแม่ทัพมู่หรงด้วยเช่นกัน ที่ท่านอ๋องเห็นด้วยให้คุณชายเหลิ่งไป คงเพราะคิดถึงเรื่องนี้ด้วยเป็นแน่” เหลิ่งเฮ่าอวี่พูดอย่างรู้สึกผิดว่า “ท่านอ๋อง…เห็นด้วยแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีมองเขาพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “มิเช่นนั้นแล้วคุณชายเหลิ่งคิดว่าที่ข้ามาพูดคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวจะด้วยเรื่องอันใดกันหรือ”

 

 

           สีหน้าเหลิ่งเฮ่าอวี่มีแววยินดี ก่อนหน้านี้เขายืนยันที่จะเดินทางไปทางใต้ ถึงแม้ท่านอ๋องจะไม่ได้ถึงกับโกรธจัด แต่สุดท้ายเขาก็ขัดคำสั่งท่านอ๋องอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกผิดและไม่สบายใจไม่น้อย เยี่ยหลีมองหน้าเขา “ท่านอ๋องสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้นอนพักอยู่ ในเมื่อเขาไม่ขัดขวางท่านนั่นย่อมหมายความว่าเขาเห็นด้วยกับแผนการณ์ของท่านแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ทางชายแดนใต้จากนี้ไปคงจะตึงเครียดมากเป็นแน่ ท่านไม่เหมือนกับเฟิ่งจือเหยา ท่านเดินทางไปทางใต้ตอนนี้ก็มีความเสี่ยงไม่น้อย” เฟิ่งจือเหยาตอนนี้ดูเหมือนคุณชายทั่วๆ ไป แต่เขาเหมือนกับม่อซิวเหยาตรงที่เขาเคยออกรบฆ่าฟันผู้คนมาตั้งแต่สมัยอายุยังน้อย ทำงานอันใดก็ล้วนทำอย่างลับๆ แต่ในมือเหลิ่งเฮ่าอวี่มีเงินจำนวนมหาศาลอยู่ น่าจะดึงดูดความสนใจคนได้ง่าย หากม่อจิ่งหลีหรือฝ่าบาทรับรู้ถึงความผิดปกติของเขาเมื่อใด เกรงว่าเขาคงจะถูกสังหารโดยทันที

 

 

           เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลีพูด เหลิ่งเฮ่าอวี่จึงรู้สึกสบายใจขึ้น “พระชายาโปรดวางใจ เฮ่าอวี่จะไม่ทำให้ท่านอ๋องเสียเรื่องแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ข้ามีความคิดที่จะทำการค้าเล็กๆ ทางชายแดนใต้มาหลายปีแล้ว ครั้งนี้ชายแดนใต้กำลังวุ่นวาย ก็ถือเป็นโอกาสเสียเลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           “คุณชายเหลิ่งรู้ว่าต้องทำอย่างไรก็ดีแล้ว พรุ่งนี้ท่านแม่ทัพมู่หรงก็จะออกเดินทางแล้ว คุณชายเหลิ่ง…”

 

 

           เหลิ่งเฮ่าอวี่ส่ายหน้า “ข้าน้อยอีกห้าวันถึงจะออกเดินทาง ล่องแม่น้ำไปทางใต้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เมื่อเยี่ยหลีเห็นว่าคุณชายเหลิ่งคิดรอบคอบดีแล้วจึงไม่ได้พูดอันใดอีก เพียงพูดกำชับอีกไม่กี่ประโยคแล้วจึงเชิญเหลิ่งเฮ่าอวี่ให้กลับไปพบมู่หรงถิงที่โถงดอกไม้ด้วยกัน

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset