เยี่ยหลีรู้สึกตัวขึ้นในความมืด รู้สึกเพียงหน้าผากที่ปวดตุบๆ เยี่ยหลีอดยิ้มขื่นๆ ออกมาไม่ได้ นางประมาทเอง ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่าม่อจิ่งฉีเกรงกลัวตำหนักติ้งอ๋อง แต่ยังมั่นใจว่าเขาไม่มีทางทำอันใดชายาติ้งอ๋องในเขตวังหลวงอย่างแน่นอน แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือ เยี่ยเย่ว์จะลงมือกับนาง เยี่ยหลีไม่ได้ลืมตาขึ้นในทันที นางนอนนิ่งๆ อยู่บนเตียงสักพัก เมื่อแน่ใจว่ารอบกายตนเองไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ดูเหมือนสถานการณ์จะดีกว่าที่คาดเดาไว้มากนัก อย่างน้อยนางก็ไม่ได้ถูกขังอยู่ในห้องขังที่มืดมิดไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่กลับได้มาอยู่ในห้องที่ดูไปแล้วตกแต่งได้ไม่เลวทีเดียว ภายในห้องตกแต่งตามแบบฉบับที่คุณหนูในเมืองหลวงชื่นชอบ ของที่วางประดับอยู่ภายในห้องก็ล้วนเป็นของมีราคาดูหรูหรา แม้แต่ผ้าโปร่งที่ติดไว้ตรงหน้าต่างยังเป็นผ้าโปร่งเยียนหลัวที่บรรดาคุณหนูในเมืองหลวงชื่นชอบเป็นที่สุด เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งพิงเสาเตียงแล้วได้แต่ยิ้มขื่นๆ นางรู้สึกว่าร่างกายตนเบาโหวง ดูท่า เยี่ยเย่ว์คงใส่ยาพิษที่มีฤทธิ์รุนแรงลงไป ถึงว่าอีกฝ่ายกล้าจับตัวนางมาอยู่ในห้องที่ไม่มีการคุ้มกันใดๆ เลย แม้แต่ผู้คุมสักคนก็ยังไม่มี คงมั่นใจว่าตอนนี้ร่างกายของนางจะไร้เรี่ยวแรง เกรงว่าแค่จะเดินไปให้ถึงประตูยังจะลำบากเลยกระมัง
มีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นด้านหลังม่านบังตา ก่อนที่ประตูจะถูกคนผลักออก พร้อมกับเด็กสาวในชุดสีเขียวยกบางอย่างเข้ามาข้างใน เมื่อเห็นเยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งอยู่ที่ขอบเตียง นางจึงยิ้มอย่างยินดี “แม่นาง ท่านฟื้นเสียที”
เยี่ยหลีมองนาง ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อย “ที่นี่คือที่ใดกัน ข้าหลับไปนานเท่าไร”
เด็กสาวในชุดสีเขียววางของในมือลงบนโต๊ะด้านข้าง นางยิ้มและพูดว่า “แม่นางมาที่นี่ก็หลับไปได้สองวันกว่าแล้ว แม่นางไม่มีอาหารตกถึงท้องมาสองวันคงจะหิวแล้วเป็นแน่ เสี่ยวอวิ๋นเตรียมโจ๊กไว้ให้ แม่นางจะรับก่อนหรือไม่” เยี่ยหลีมองเด็กสาวยกโจ๊กที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ มาไว้ตรงหน้าเยี่ยหลีนิ่งๆ เยี่ยหลีพยายามยกมือพร้อมเลิกคิ้วขึ้น “ข้าเป็นเช่นนี้จะกินได้อย่างไร” ที่ตอนนี้นางสามารถนั่งอยู่ได้ด้วยเพราะอาศัยว่านั่งพิงเสาอยู่ แม้แต่แรงที่จะยกมือยังรู้สึกว่าต้องใช้กำลังอย่างมาก แล้วจะมือหนึ่งถือถ้วยมือหนึ่งกินไปได้อย่างไร เด็กสาวในชุดสีเขียวยิ้มให้เยี่ยหลีอย่างรู้สึกผิด “เสี่ยวอวิ๋นลืมไป เสี่ยวอวิ๋นป้อนแม่นางก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีหลุบตาลง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นรบกวนแม่นางแล้ว”
“เสี่ยวอวิ๋นเป็นเพียงสาวใช้ที่ไว้คอยเรียกใช้งานเท่านั้น แม่นางไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก” สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นหัวเราะได้อย่างน่าเอ็นดู นางนั่งอยู่ข้างเตียวแล้วยกถ้วยโจ๊กขึ้นป้อนเยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้เยี่ยหลีจะไม่ชอบใจที่ตนถูกดูแลประหนึ่งคนป่วยหนัก แต่นางจะไม่มีทางทรมานเองเด็ดขาด หิวมาสองวันแต่ไม่ยอมกินข้าวด้วยเพราะกลัวเสียหน้านั้น ถือเป็นการหาเรื่องใส่ตัว ส่วนสาวใช้ที่บอกว่าตนเองเป็นสาวใช้ที่ไว้คอยเรียกใช้คนนี้ หากนางเชื่อว่านางเป็นเพียงสาวใช้ธรรมดาๆ นางคงซื่อบื้อเต็มทน
เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว พละกำลังของเยี่ยหลียังคงไม่กลับมา เสี่ยวอวิ๋นเรียกสาวใช้อีกคนให้เข้ามาเก็บชามกับตะเกียบออกไป ส่วนตนเองกลับเดินไปเดินมาทำนั่นทำนี่อยู่ในห้อง เยี่ยหลีมองท่าทางเหมือนยุ่งวุ่นวายแต่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำอันใดของนางแล้วจึงได้พูดขึ้นเรียบๆ ว่า “หากเจ้าไม่รู้จะทำอันใดจะหาที่นั่งนั่งลงก็ได้นะ เจ้าเดินไปเดินมาเช่นนี้ข้าเวียนหัวไปหมด” เสี่ยวอวิ๋นไม่มีท่าทีประดักประเดิดที่ตนถูกจับได้เลยแม้แต่น้อย นางหัวเราะแหะๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายของพวกเรากลัวว่าแม่นางอยู่คนเดียวแล้วจะเบื่อ เลยอยากให้เสี่ยวอวิ๋นมาอยู่เป็นเพื่อน” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “คุณชายของพวกเจ้ามีน้ำใจแล้ว ฝากขอบคุณเขาแทนข้าด้วย” เสี่ยวอวิ๋น พยักหน้า ก่อนกะพริบตาปริบๆ อย่างขี้เล่น “ได้ยินคุณหนูพูดเช่นนี้ คุณชายจะต้องดีใจมากแน่ๆ”
เยี่ยหลีเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอันใด นางนั่งพิงหัวเตียงอยู่เงียบๆ ฟังเสี่ยวอวิ๋นพูดนั่นเล่านี่ให้ฟังโดยไม่ได้เอ่ยขัด สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวอวิ๋นคนนี้คงได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเป็นแน่ หากคิดจะเค้นอันใดออกจากปากนางคงเป็นไปได้ยาก และมีแต่จะทำให้นางนึกระวังตัวขึ้น ในเมื่อตอนนี้นางยังไม่มีแรงที่จะขยับร่างกาย เยี่ยหลีจึงไม่คิดที่จะเหนื่อยทำเช่นนั้น
นางอยู่ในห้องอย่างสงบเรียบร้อยมาอีกสองวัน แววตาระแวดระวังและป้องกันตัวที่หลบซ่อนอยู่ในสายตาที่แม่นางเสี่ยวอวิ๋นมองเยี่ยหลีก็เริ่มหายไปทีละน้อย เมื่อกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีจึงเอ่ยถามขึ้นอย่างใจลอยว่า “ข้าอยากออกไปเดินเล่นเสียหน่อย ได้หรือไม่ ข้านอนมาสองวันจนรู้สึกว่าร่างกายจะแข็งเป็นหินอยู่แล้ว”
เสี่ยวอวิ๋นลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนตอบตกลง เรียกสาวใช้สองคนให้เข้ามาช่วยประคองเยี่ยหลีออกไปเดินวนอยู่ในสวน
หลังจากผ่านไปสองวัน ในที่สุดเยี่ยหลีก็ได้ก้าวออกจากห้องเสียที จึงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกๆ เพื่อทำความคุ้นเคยกับอากาศใหม่ๆ จากเดิมที่นึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ก็รู้สึกดีขึ้นมากทันที ปล่อยให้สาวใช้ทั้งสองคนประคองตนเดินเล่นในสวนดอกไม้เล็กๆ เยี่ยหลีมองสำรวจเรือนหลังนี้ไปเรื่อยเปื่อย เรือนหลังนี้ไม่ใหญ่นัก นางมองเห็นกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาที่ดูจะเพิ่งแตกหน่อใหม่ เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “พยุงข้าไปนั่งในสวนหน่อยเถิด คุณชายของพวกเจ้าตอนนี้ไม่อยู่หรือ” เยี่ยหลีชี้ไปยังโต๊ะม้าหินที่อยู่ด้านหน้า สาวใช้ทั้งสองดูจะได้รับการกำชับมาก่อนแล้ว พวกนางตอบรับสัญญาณมือของเยี่ยหลี ก่อนจะพยุงนางไปนั่งลงข้างโต๊ะม้าหิน แต่ไม่ยอมเปิดปากตอบคำถามนาง ซึ่งเยี่ยหลีไม่ได้สนใจ นางเอนตัวพิงเข้ากับโต๊ะแล้วกวาดตามองสำรวจต้นไม้ต่างๆ ภายในสวน
ตอนนี้เพิ่งเข้าช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจึงยังไม่มีภาพดอกไม้ที่แข่งกันอวดโฉมจนบานสะพรั่งไปทั่ว พื้นที่ทางตอนเหนือหนาวเย็นกว่าพื้นที่ทางตอนใต้ ต้นไม้หลายชนิดเพิ่งกำลังจะแตกหน่อ เยี่ยหลีทำทีเป็นสนใจดอกไม้เล็กๆ ที่เหลืองกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในแปลงดอกไม้และอยู่ใกล้กับตัวนางที่สุด นางโน้มตัวลงยื่นมือจะไปเด็ด ก็มีมือเรียวที่เย็นเล็กน้อยยื่นมาคว้ามือนางไว้ เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเป็นเสี่ยวอวิ๋นที่จู่ๆ นางก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้านาง เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เสี่ยวอวิ๋นหัวเราะ “แม่นาง ดอกไม้เล็กๆ พวกนี้ดูสวยงามก็จริง แต่พวกมันมีพิษ ดังนั้นถ้าจะให้ดีท่านอย่าไปแตะต้องพวกมันเลย”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว มองดอกเล็กๆ ที่อยู่กันเป็นกลุ่ม “ข้าเห็นว่าทั้งสวนดอกไม้นี้มีเพียงดอกนี้ที่บานแล้ว ถึงแม้จะดูไม่สะดุดตาแต่กลับดูงดงามนัก ไม่คิดว่ามันจะมีพิษ”
เสี่ยวอวิ๋นพูดด้วยท่าทีภาคภูมิใจว่า “บางครั้งดอกไม้ที่ดูไม่สะดุดตา ก็ยิ่งมีพิษที่รุนแรง เทียบกับดอกไม้ที่สีสันสวยสดสะดุดตา แค่มองก็ทำให้คนรู้สึกระแวดระวังตัวแล้วนั้น ดอกไม้ที่ไม่สะดุดตาประเภทนี้ต่างหาก ถึงจะเป็นลูกรักที่แท้จริง” เยี่ยหลีอมยิ่มพร้อมส่ายหน้า “ดอกไม้ที่มีพิษจะถือว่าเป็นลูกรักได้อย่างไร หากแม่นางเสี่ยวอวิ๋นชื่นชอบดอกไม้ ที่ตำหนักของข้ามีปลูกดอกหลันพันธุ์ดีไว้สามสี่กระถาง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดอกไม้บานพอดี ไว้ข้าจะยกให้เสี่ยวอวิ๋นกระถางหนึ่ง” ดวงตาของเสี่ยวอวิ๋นมีประกายตาแปลกๆ ขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “เสี่ยวอวิ๋นลืมไปเลย ฐานะของแม่นางสูงศักดิ์ ย่อมไม่นึกชอบของที่ไม่สะดุดตาพวกนี้ เพียงแต่ดอกไม้ทั้งหลายที่อยู่ในสวนนี้ล้วนมีอันตราย หากแม่นางชอบ พรุ่งนี้เสี่ยวอวิ๋นจะให้คนมาเปลี่ยนดอกไม้ในสวนให้เป็นดอกไม้ที่แม่นางชอบแทน”
เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า “เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก ดอกไม้ดอกหญ้าที่แปลกตา ก็มีความสวยงามเฉพาะตัวของมัน ดอกไม้ดอกหญ้าทั่วไปก็มีความธรรมดาในแบบของมัน” อีกอย่างข้าก็ไม่ได้คิดที่จะอยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว ดังนั้นคงไม่ต้องลำบากเจ้าให้ต้องรื้อสวนดอกไม้นี่ใหม่หรอก”
เสี่ยวอวิ๋นยิ้ม “คุณชายได้สั่งไว้ว่าให้พวกบ่าวดูแลแม่นางให้ดี แม่นางชื่นชอบสิ่งใดบอกเสี่ยวอวิ๋นมาได้เลย หากให้คุณชายรู้ว่าแม่นางใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไม่สะดวกไม่สบายแล้ว บ่าวคงแย่แน่”
ดวงตาคู่งามของเยี่ยหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะยังไม่เคยพบคุณชายของเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเขา ถ้าเช่นนั้น…เดิมทีข้ามีนัดกับ…สามีของข้าว่าปีนี้จะไปดูดอกเถาด้วยกัน ตอนนี้เกรงว่าคงจะไม่ได้ไปแน่แล้ว ข้ารบกวนแม่นางหน่อยได้หรือไม่ หากดอกเถาเริ่มบานสะพรั่งแล้ว แม่นางช่วยเด็ดกลับมาให้ข้าสักสามสี่ดอกได้หรือไม่” เสี่ยวอวิ๋นดูจะคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เยี่ยหลีร้องขอจะเป็นเรื่องธรรมดาๆ เช่นนั้น จึงยิ้มรับอย่างใจกว้าง “ย่อมได้สิ เสี่ยวอวิ๋นรับประกันว่าแม่นางจะต้องได้ดูดอกเถาที่บานเป็นดอกแรกของปีนี้อย่างแน่นอน แม่นางอยากได้อันใดอีก เสี่ยวอวิ๋นจะให้คนนำกลับมาให้พร้อมกันเลย” เมื่อเห็นเสี่ยวอวิ๋นรับปากในสิ่งที่นางขอ รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีจึงดูจริงใจขึ้นมาก “หากเป็นไปได้ช่วยข้านำแป้งกลับมาได้ด้วยหรือไม่ ข้าอยากได้แป้งจากร้านที่ดีที่สุด แป้งที่มีกลิ่นดอกม่อลี่ก็แล้วกัน”
“ดอกม่อลี่หรือ” เสี่ยวอวิ๋นอึ้งไป เยี่ยหลีจึงหัวเราะอย่างรู้สึกผิด “ดอกไม้ประเภทนี้ค่อนข้างธรรมดา แต่ข้าชอบกลิ่นหอมประเภทนี้ รบกวนแม่นางเสี่ยวอวิ๋นแล้ว”
เสี่ยวอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่หรอก หากเป็นของที่แม่นางต้องการ เสี่ยวอวิ๋นจะหากลับมาให้แม่นางให้ได้”
เยี่ยหลียิ้ม “เช่นนั้นรบกวนแม่นางด้วย”
เมื่อมองส่งเสี่ยวอวิ๋นไปแล้ว เยี่ยหลีจึงนั่งพิงโต๊ะหินสบายๆ สูดหายใจเข้าออกรับอากาศบริสุทธิ์ ในดวงตาที่มีรอยยิ้ม ค่อยๆ เลื่อนไปยังดอกไม้ดอกหญ้าในแปลงดอกไม้ที่ดูน่าหดหู่พวกนั้น แล้วรอยยิ้มในแววตาของนางก็ยิ่งมีความยินดีมากขึ้น