ดูเหมือนคนหลังม่านบังตาจะอึ้งไป ภายในห้องเงียบไปอยู่พักใหญ่ แล้วจึงมีเสียงหัวเราะอย่างได้ใจดังขึ้น ชายหนุ่มหลังม่านบังตาลุกยืนขึ้น พร้อมหัวเราะเสียงดัง “เยี่ยหลี ข้าประมินเจ้าต่ำไปจริงๆ” ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากหลังม่านบังตารูปร่างสูงใหญ่กำยำ ใบหน้าอันหล่อเหลาถึงแม้จะยิ้มแต่กลับให้ความรู้สึกเลือดเย็น หากไม่ใช่ม่อจิ่งหลีแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่งตัวตรง มองม่อจิ่งหลีนิ่ง “คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างก็ประเมินท่านอ๋องต่ำไปเช่นกันมิใช่หรือ”
ม่อจิ่งหลีหัวเราะเยาะ “เจ้าดูจะไม่ตกใจเอาเสียเลย ดูท่าเจ้าคงจะไม่ใช่หนึ่งในนั้น” เยี่ยหลีได้แต่ย่นคิ้ว มองหน้าม่อจิ่งหลี “ดูแล้วข้าก็น่าจะเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน หากไม่เช่นนั้นก่อนหน้านี้ข้าคงไม่ทำให้ท่านอ๋องโกรธหรอก และคงไม่…ตกอยู่ในสภาพนี้” ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน เดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยหลีก่อนกดสายตาลงจ้องมองนาง “เจ้านึกเสียใจแล้วหรือ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เป็นอริกับข้าไม่มีทางมีจุดจบที่ดีไปได้ ม่อซิวเหยาก็ช่วยเจ้าไม่ได้เช่นกัน”
“ท่านอ๋องเคยให้โอกาสข้าเลือกหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ในความคิดของท่าน การที่ท่านยกเลิกงานแต่งงานและทำลายชื่อเสียงของข้าถือเป็นบัญชาจากฟ้าดิน แต่การที่ข้าได้พบกับสิ่งที่ดีกว่า นั่นถือเป็นการตบหน้าท่านหรือ หลีอ๋อง…ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร”
“เหอะ!” ม่อจิ่งหลีสะบัดแขนเสื้อก่อนถอยออกไป สายตาที่จ้องมองเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและลุแก่อำนาจ “เยี่ยหลี เจ้ายั่วโมโหข้าเก่งจริงนะ!”
เยี่ยหลีถอนหายใจ ยกมือที่อ่อนแรงขึ้น “ท่านอ๋องทำลับๆ ล่อๆ เช่นนี้มานานแล้ว ตอนนี้บอกข้าได้หรือยังว่าจับข้ามาด้วยเหตุใด”
“เจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครตั้งแต่เมื่อใด” ม่อจิ่งหลีไม่ตอบคำถาม แต่ถามนางกลับแทน
เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องนี้หรือ…ในเมืองหลวงคนที่มีความแค้นกับข้ามีไม่มากนัก คนที่มีความแค้นกลับข้าซ้ำยังกล้าจับคนจากในวัง ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ แต่เขายังยอมที่จะเสี่ยงและยังทำสำเร็จด้วยนั้น ข้าคิดไปคิดมาก็ดูเหมือนจะมีแต่ท่านอ๋องเพียงคนเดียว” ม่อจิ่งหลีดูจะไม่อารมณ์ร้อนและโกรธง่ายเหมือนในเวลาปกติ เมื่อได้ยินที่เยี่ยหลีพูดเขากลับเดินไปนั่งลงอีกด้านหนึ่ง แล้วหันมองเยี่ยหลีด้วยท่าทีสบายๆ “เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าข้ายอมที่จะเสี่ยง” เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ “เกิดเรื่องกับชายาติ้งอ๋องตอนอยู่ในวัง ไม่ว่าฮ่องเต้จะเป็นคนทำหรือไม่ แต่อย่างไรก็ถือเป็นความรับผิดชอบของพระองค์ ต่อให้ตำหนักติ้งอ๋องไม่ไปหาเรื่องฮ่องเต้ แต่เกรงว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักและประชาชนคงจะต้องมองฝ่าบาทเปลี่ยนไป มิใช่หรือ”
ม่อจิ่งหลีอารมณ์ดีขึ้นอีกมาก เขาเลิกคิ้วกล่าวว่า “ไม่เลว คราวนี้เสด็จพี่คงเสียหน้าไปหมดแล้ว เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าม่อซิวเหยาต้องการให้ข้ากับเสด็จพี่ต่อสู้กันเพื่อที่เขาจะเป็นคนได้ประโยชน์ แต่ข้าจะให้เขาโผล่หัวออกมาก่อน ชายาติ้งอ๋องหายตัวไปจากในวัง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังนั่งเฉยอยู่ได้! เจ้าดูสิ…หลายวันนี้เขาสร้างเรื่องให้ฮ่องเต้ไม่น้อยเลยนะ”
“ท่านอ๋องยินดีมากหรือ”
“หรือว่าข้าไม่ควรยินดี” ม่อจิ่งหลีปรายตามองเยี่ยหลี “ม่อซิวเหยาคิดว่าข้าจะเป็นเด็กโง่ที่ให้เขาคอยกลั่นแกล้งได้ง่ายๆ เหมือนตอนเด็กๆ ไปตลอดหรือ ตอนนี้ต่อให้เขารู้ว่าเสด็จพี่ไม่ได้เป็นคนทำแล้วเขาจะทำอันใดได้ ไม่ว่าจะเพื่อชื่อเสียงหรือหน้าตาของติ้งอ๋อง อย่างไรเขาก็ต้องหาเรื่องเสด็จพี่แทนข้า” เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “หากเขารู้ว่าท่านอ๋องเป็นคนทำเล่า”
“เจ้าคิดว่าข้าจะให้โอกาสนั้นแกเขาหรือ”
ข้าคิดว่าตอนนี้เขาคงเริ่มสงสัยเจ้าแล้วต่างหาก เยี่ยหลีตอบในใจ
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากรู้เลยนะว่าข้าคิดจะทำเช่นไรกับเจ้า” ม่อจิ่งหลีมองสำรวจเยี่ยหลีแล้วขมวดคิ้ว เยี่ยหลีเลื่อนสายตาขึ้นมองเขา “ใช้ข้าข่มขู่ม่อซิวเหยาหรือ ข้าคิดว่า…ข้ายังไม่สำคัญขนาดนั้น” ม่อจิ่งหลีมองสำรวจนางอีกครั้ง ก่อนพยักหน้า “พูดตามจริง ข้าเองก็ยังนึกสงสัยว่าเจ้ามีคุณค่าในใจม่อซิวเหยาเพียงไร ดังนั้น ข้าคงยังไม่เอาตัวประกันไปแลกเปลี่ยนกับม่อซิวเหยา อีกอย่าง…ข้าเพิ่งนึกวิธีที่น่าสนุกกว่านั้นขึ้นมาได้”
“ข้ารอฟังอยู่” เยี่ยหลีมองเขาด้วยท่าทีเฉยเมย
ท่าทีเฉยเมยของเยี่ยหลีไม่ได้ทำให้ความตื่นเต้นของม่อจิ่งหลีลดลง สายตาของเขากวาดไปทั่วร่างเยี่ยหลีด้วยความพอใจ ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลงพูดว่า “คราวที่แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบสาวงาม ข้ายังจำทุกอย่างได้ชัดเจน อันที่จริงตอนนั้นข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น แต่ตอนนี้…จู่ๆ ข้าก็คิดว่ามันเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย หากวันหนึ่งคนทั้งใต้หล้าได้รู้ว่าชายาของม่อซิวเหยากลายเป็นผู้หญิงของข้า…เจ้าว่าจะเกิดอันใดขึ้น” เขาหัวเราะขึ้นอย่างได้ใจ ประหนึ่งจินตนาการเห็นภาพในอนาคตที่สวยงาม
ถึงตอนนั้นคนปัญญาอ่อนอย่างเจ้าคงได้ถูกม่อซิวเหยาฆ่าตาย…
เยี่ยหลีไม่นึกสงสัยเลยว่า ม่อซิวเหยาสามารถนำเลือดของศัตรูมาล้างมลทินทั้งหลายบนตัวนางออกไปได้อย่างสะอาดหมดจดแน่นอน หากคนคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพอย่างม่อซิวเหยา ทั้งยังเคยผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นมาแล้วยังสามารถยืนหยัดโดยไม่ล้มลงได้ ทั้งยังสามารถลอบวางแผนยุทธศาสตร์ได้อย่างนั้นแล้ว เช่นนั้นเขาต้องสามารถทำในสิ่งที่เขาต้องการทุกอย่างได้อย่างแน่นอน คนประเภทนี้ต่างหากถึงจะเป็นศัตรูที่น่ากลัว
“เยี่ยหลี เจ้าคิดว่านี่เป็นความคิดที่ไม่เลวหรือไม่” สายตาที่ม่อจิ่งหลีมองเยี่ยหลีมีแววขบขัน ประหนึ่งกำลังมองแมวตัวหนึ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงอย่างไรอย่างนั้น “จะว่าไปที่ข้ายกเจ้าให้ม่อซิวเหยาข้าเองก็นึกเสียใจไม่น้อย แต่นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่ดีเอง หากเจ้าไม่ตั้งใจแกล้งทำเป็นคนธรรมดาทั่วไปเพื่อหลอกข้าแล้ว ข้าจะตัดใจทิ้งเจ้าแล้วไปแต่งงานกับเยี่ยอิ๋งที่ไม่ได้เรื่องได้ราวนั้นทำไม ตอนนี้แบบนี้ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ทุกอย่างก็เป็นเหมือนก่อนหน้านี้ เจ้ายังคงเป็นของข้าได้อยู่” ระหว่างที่พูดนั้น ร่างของม่อจิ่งหลีก็ค่อยเอนเข้าหาตัวเยี่ยหลี ร่างกายอันใหญ่โตของเขายิ่งทำให้เยี่ยหลีดูอ่อนระโหยโรยแรงยิ่งขึ้นไปอีก
“ท่านอ๋อง ข้าไม่แนะนำให้ท่านทำเช่นนี้” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยเสียงใสอย่างไพเราะ ม่อจิ่งหลีหัวเราะเสียงต่ำ “ข้าไม่ต้องการความเห็นของเจ้า เจ้าแค่เชื่อฟังข้าก็พอแล้ว เยี่ยหลี ถึงแม้เจ้าจะทำให้ข้าไม่พอใจมาโดยตลอด แต่ข้าเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง จะไม่ถือโทษเจ้า” เยี่ยหลียิ้มเย็น ก่อนค่อยๆ ยกมือขึ้นวางลงบนไหล่ของม่อจิ่งหลี มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ หายใจออกเบาๆ “จริงหรือ ถ้าเช่นนั้น…หากข้ากรีดลงไปเช่นนี้ท่านอ๋องก็จะไม่โทษข้าใช่หรือไม่”
มือเย็นน้อยๆ ค่อยๆ วางลงบนคอของม่อจิ่งหลี มองจากภายนอกดูเหมือนเยี่ยหลีนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วยื่นมือออกไปโอบกอดลำคอของม่อจิ่งหลีไว้ เพียงแต่ตอนนี้ที่ควรเป็นฉากพลอดรักหวานชื่นกลับทำให้คนรู้สึกถึงแรงอาฆาต ม่อจิ่งหลีรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า มีของมีคมบางอย่างกำลังจ่ออยู่ที่ลำคอของเขา ออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถแทงทะลุลงไปได้ทันที เยี่ยหลียิ้ม “ข้าขอเตือนท่านว่าอย่าได้ผลีผลาม เมื่อครู่ข้าเพิ่งใช้เวลาดึงดอกไม้ดอกหญ้าในสวนไปพอสมควร หากข้าเกิดแทงทะลุลำคออันสูงส่งของท่านเข้า ไม่รู้ว่าแม่นางเสี่ยวอวิ๋นนั้นจะมาช่วยท่านอ๋องถอนพิษทันหรือไม่”
“เยี่ยหลี!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันเอ่ยเสียงต่ำในลำคอ
เยี่ยหลีเลิกคิ้วใส่เขา ก่อนยกมือข้างที่ว่างอยู่มาโบกไปมาตรงหน้าเขา เล็บยาวและแข็งแรงที่ได้รับการดูแลมาอย่างดี ในซอกเล็บมีน้ำจากดอกเฟิ่งเซียนทาอยู่บางๆ แต่สิ่งที่ยื่นออกมาจากขอบเล็บนั่นต่างหากที่ทำให้คนรู้สึกตัวชา “เยี่ยหลี ต่อให้เจ้าทำรายข้า เจ้าก็หนีออกไปไม่ได้” ม่อจิ่งหลีข่มความโกรธในใจลง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “ท่านพูดเหมือนกับว่า หากข้าไม่ทำร้ายท่านแล้วท่านจะปล่อยข้าไปอย่างนั้น”
“เยี่ยหลี หากตอนนี้เจ้าปล่อยข้า ข้าจะไม่ถือสาเจ้า!” ม่อจิ่งหลีเอ่ยเตือนเสียงขรึม
นิ้วเรียวที่กดอยู่บนคอลงน้ำหนักเพิ่มอีกเล็กน้อย ซึ่งสามารถทำให้ม่อจิ่งหลีหุบปากลงได้ เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ท่านอ๋อง ข้าล่ะเกลียดความคิดเองเออเองของท่านเช่นนี้เสียจริง หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พูดคุยกัน”
“เจ้าฝันไปเถิด!” ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย หากเป็นคนอื่นอาจคิดพนันกับข้าว่าใครมือไวกว่ากัน แต่ข้าคิดว่าท่านคงไม่พนันกับข้าหรอก เพราะท่าน…ไม่อยากตาย ท่านยังอยากมีชีวิตอยู่เพื่อให้แผนคิดการณ์ใหญ่ของเจ้านั้นสำเร็จ มิใช่หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ
ม่อจิ่งหลีถอนหายใจยาวๆ กดข่มความโกรธในใจลง “เจ้าจะเอาอย่างไร”
“ไม่เอาอย่างไร” เยี่ยหลียังคงยิ้มน้อยๆ มือที่ว่างอยู่ยกขึ้นดีดนิ้ว “องค์รักษ์ลับหนึ่ง สอง สาม สี่”
“ข้าน้อยคารวะพระชายา”
ประตูถูกคนเปิดออก ร่างๆ หนึ่งวูบเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูลงอีกครั้ง ร่างอีกร่างหนึ่งค่อยๆ ลอยลงมาจากเพดานห้อง เข้ามาล้อมม่อจิ่งหลีไว้ซ้ายขวาคนละด้าน “องครักษ์ลับหนึ่ง องครักษ์ลับสาม คารวะพระชายา”
เยี่ยหลีพยักหน้าอย่างพอใจ “อีกสองคนเล่า”
องครักษ์ลับสามตอบว่า “อาสองกับอาสามอยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”
“หาข้าพบตั้งแต่เมื่อไร” เยี่ยหลีถาม
“เมื่อวานตอนบ่ายพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รักษ์ลับหนึ่งกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “พระชายา ท่าน…ปล่อยหลีอ๋องก่อนดีหรือไม่” องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เขาไม่เห็นภาพที่พระชายากับหลีอ๋องที่อยู่กันอย่างใกล้ชิดเช่นนี้
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้น “ท่านอ๋อง”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเยาะหยัน “ปล่อย”
เยี่ยหลีปล่อยมือ มีกระบี่สองอันเล็งอยู่ทางด้านหลัง เชื่อว่าหากม่อจิ่งหลียังไม่ได้บ้าก็คงรู้ว่าจะต้องเลือกทำเช่นไร ทันทีที่เยี่ยหลีเอามือออกจากท้ายทอยเขา ม่อจิ่งหลีก็ยืนขึ้นก่อนถอยไปจ้องหน้าองครักษ์หนึ่งและสาม “พวกเจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
“เดินเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสามตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
ม่อจิ่งหลีหรี่ตาลง ในใจนึกประเมินความสามารถขององครักษ์ลับทั้งสองคนนี้ใหม่ องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องเขาพอรู้อยู่บ้าง แน่นอนว่าย่อมเป็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจ แต่ที่เรือนนี้เขาวางกำลังคอยดูแลไว้อย่างแน่นหนา พวกมันมีกันเพียงแค่สี่คนแต่กลับลอบเข้ามาได้โดยไม่มีเสียงใดๆ เลย
“พระชายา ตอนนี้…” องครักษ์หนึ่งเหลือบตามองพี่น้องที่พึ่งพาไม่ได้ของตน ก่อนเดินหน้ามาถามขึ้น
เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น บิดตัวไปมา “บอกองครักษ์สองและสี่ เราไปกันได้แล้ว อ้อใช่สิ รบกวนท่านอ๋องไปส่งพวกเราด้วยก็แล้วกัน”
“ยาของเสี่ยวอวิ๋นไม่ออกฤทธิ์กับเจ้าหรือ” ม่อจิ่งหลีจ้องมองนาง เยี่ยหลีส่ายหน้า “ออกฤทธิ์สิ แต่นี่เลยช่วงเวลาออกฤทธิ์มาแล้ว” แต่นางจะไม่บอกเขาว่า ตนได้ใช้หญ้าที่ดึงออกมาจากในสวนมาทำยาถอนพิษหรอกนะ ถึงแม้จะไม่ถูกกับพิษที่นางโดนสักเท่าไร แต่ยาสลายกล้ามเนื้ออ่อนแรงก็คงไม่ต่างกันมากนัก
“เมื่อครู่…”
เยี่ยหลีแย้มยิ้ม มองม่อจิ่งหลีอย่างอารมณ์ดี “หากเมื่อครู่ท่านผลีผลามทำอันใดเข้า ข้าคงจะตัดแขนทั้งสองข้างของท่านทิ้ง ส่วนนี่…ท่านไม่ต้องเป็นห่วงไป บนมือข้าไม่มียาพิษ คิดว่าข้าไม่กลัวจะทำตัวเองเป็นแผลหรือ”
ม่อจิ่งหลีนิ่งไปครู่ใหญ่ ในที่สุดก็กัดฟันพูดว่า “ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้!”
“อันที่จริงท่านอ๋องไม่ต้องรีบร้อนบอกว่าตนเองแพ้หรอก เพราะข้าก็ยังไม่ชนะ ส่วนตอนนี้ เชิญท่านอ๋อง”
“เหอะ!”
…