เวลาผ่านไปไม่เท่าไร เสียงฝีเท้าของเล่อเจียงก็ดังขึ้นอีกครั้ง เล่อเจียงเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาโยนกล่องไม้เล็กๆ กล่องหนึ่งให้กับนายท่านเหลียง “ข้าสั่งคนให้ไปจัดการทั้งสี่คนนั้นแล้ว ของท่านก็ได้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนพาท่านไปส่งที่เมืองหลวงของหนานจ้าว”
นายท่านเหลียงเปิดกล่องไม้ออกดูแล้วจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็อย่าได้เสียเวลาอีกเลย พ่อบ้านกับองครักษ์ของข้าเล่า”
เล่อเจียงส่งเสียงเหอะด้วยความดูแคลน “พ่อบ้านของท่าน ยามนี้ยังขาแข้งอ่อนเดินไม่ไหวอยู่เลย ยิ่งองครักษ์นั่นยิ่งไร้ประโยชน์ใหญ่ ตอนลงมาตกหน้าผาลงก้นเหวไปแล้ว คนจงหยวนนี่ไม่ได้เรื่อง!”
“เจ้า!” นายท่านเหลียงข่มอารมณ์โกรธไว้ “ข้ารู้แล้ว รีบส่งข้าไปหนานจ้าวโดยเร็ว”
“ดีมาก” เล่อเจียงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ท่านพักผ่อนไปก่อน อีกเดี๋ยวค่อยออกเดินทาง”
ด้านนอกห้อง เยี่ยหลีหันมองหานหมิงซี หานหมิงซีส่ายเงียบๆ ที่ก้นเหวมีศพอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่ล้วนเป็นโครงกระดูที่โดนลมโดนฝนมาหลายวันแล้ว มิได้มีศพของเจิ้งขุยอยู่ในนั้น เกรงว่าเจิ้งขุยคงมิได้พลาดท่าตกลงเหว แต่คงถูกคนหนานเจียงพวกนี้กำจัดทิ้งเสียแล้ว
บัณฑิตขี้โรคมิได้รีบร้อนลงมือจัดการนายท่านเหลียง ด้วยเพราะคนหนานเจียงสองคนที่ถูกยาพิษตายนั้นถูกคนพบเข้าเสียแล้ว วังใต้ดินที่เคยเงียบสงบจึงเปลี่ยนเป็นอึกทึกวุ่นวายขึ้นทันที
นายท่านเหลียงออกเดินทางไปพร้อมผู้คุ้มกันอย่างแน่นหนา คณะเยี่ยหลีทั้งสี่คนจึงได้แต่กระจายตัวกันไปหลบการค้นหาขององครักษ์ทั้งหลายเพื่อเตรียมตัวหนีออกไป แน่นอนว่าองครักษ์ลับสามไปทางเดียวกับเยี่ยหลี หานหมิงซีจึงได้แต่ไปกับบัณฑิตขี้โรคด้วยความไม่เต็มใจนัก
“คุณชาย พวกเรา…”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “พวกเราอย่าเพิ่งไป ลองเข้าไปดูก่อน” เมื่อไม่มีบัณฑิตขี้โรคและหานหมิงซีที่คอยขัดแข้งขัดขา ทั้งสองย่อมทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น พวกเขาเข้าไปข้างในวังใต้ดินด้วยความระมัดระวัง วังใต้ดินแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก แบ่งออกเป็นเพียงเจ็ดแปดห้องเท่านั้น ทั้งสองค้นห้องไปได้สามสี่ห้อง ก็ยังไม่พบสิ่งของที่เป็นประโยชน์ ท้ายสุดจึงหันไปมองห้องที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในสุด ห้องนั้นไม่เหมือนกับห้องอื่น ประตูใหญ่ของห้องนั้นปิดอยู่อย่างแน่นหนา ทั้งยังมีคนหนานเจียงติดอาวุธสองคนยืนอารักขาอยู่ด้านหน้าด้วย เยี่ยหลีเหลือบมององครักษ์ลับสาม ส่งสัญญาณมือให้เขาอย่างรวดเร็ว เจ้าไปซ้าย ข้าไปขวา
องครักษ์ลับสามพยักหน้า ทั้งสองใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนตัวไปใกล้หน้าประตู จากนั้นจึงได้เข้าไปจับตัวองครักษ์ทั้งซ้ายและขวาพร้อมๆ กัน องครักษ์ลับสามหักคออีกฝ่ายอย่างไร้สุ้มเสียง เยี่ยหลีมององครักษ์ที่ค่อยๆ ล้มลงในมือ แล้วจึงขมวดคิ้วนำร่างไปหลบซ่อนไว้ยังที่ลับตาคน
เยี่ยหลีเหลือบมองประตูหน้าที่ลงกลอนอยู่ นางขมวดคิ้วแล้วจึงยื่นมือไปดึงปิ่นทองที่ประดับอยู่บนศีรษะมาบิดออกเบาๆ ก่อนดึงเข็มทองแหลมเล็กออกมางัดแงะอยู่สามสี่ทีก็มีเสียงคลิกดังขึ้นจากแม่กุญแจอันใหญ่นั้น เยี่ยหลีพยักหน้าให้องครักษ์ลับสามที่ยืนหลบมุมอยู่ แล้วจึงผลักประตูเปิดออกเล็กน้อยแล้วแทรกตัวเข้าไป องครักษ์ลับสามคุกเข่าลงมองสำรวจบรรยากาศโดยรอบที่ดูเงียบสงบด้วยความระมัดระวัง ผ่านไปครู่ใหญ่เยี่ยหลีจึงได้แทรกตัวกลับออกมา แล้วจัดการลงกลอนประตูอีกครั้ง
คงด้วยเพราะก่อนหน้านี้ฟากของหานหมิงซีและบัณฑิตขี้โรคเรียกความสนใจของกำลังทหารได้มากพอควร เยี่ยหลีกับองครักษ์ลับสามจึงรู้สึกว่ากำลังคนที่ออกค้นหานั้นน้อยลงไปมาก พวกเขาเดินตามรอยสัญลักษณ์ที่หานหมิงซีทิ้งไว้ ไม่ทันครึ่งเค่อดี ทั้งสองคนก็เห็นแสงสว่างของปากถ้ำที่ส่องมาทางด้านหน้า ขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้กลิ่นดอกไม้อันตรายหอมลอยมาตั้งแต่อยู่ห่างจากปากถ้ำอีกพอสมควร ซึ่งเป็นกลิ่นเดียวกับที่พวกเขาได้กลิ่นเมื่อตอนอยู่บนเขา
องครักษ์ลับสามหยิบยาเม็ดออกจากกระเป๋าที่หน้าอกออกมาส่งให้เยี่ยหลี เยี่ยหลีบี้ยาเม็ดนั้นแล้วยกขึ้นดม แล้ว ก่อนหัวเราะขึ้นเบาๆ “เอามาจากบัณฑิตขี้โรคหรือ”
เมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ด้วย สีหน้าองครักษ์ลับสามดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก เขายิ้มด้วยสีหน้าภูมิใจ “ถูกแล้วขอรับ บนตัวเขามาพิษอยู่มากเกินไป ข้ากลัวจะหยิบมาผิดจึงมิกล้าหยิบติดมามากนัก นี่เป็นยาที่ก่อนหน้านี้เขาเอาให้พวกเรา น่าจะออกฤทธิ์ได้ประมาณหนึ่งชั่วยามครึ่งขอรับ”
“ยอดเยี่ยม” ทั้งสองกินยาเข้าไปคนละเม็ด แล้วองครักษ์ลับสามจึงได้เดินไปสำรวจที่ปากถ้ำก่อน หันกลับมาโบกมือให้เยี่ยหลี ทั้งสองแทรกตัวออกจากปากถ้ำไปด้วยความระมัดระวัง แต่กลับต้องตกตะลึงกับภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผืนดินข้างหน้าถูกปกคลุมไปด้วยดอกไม้สีแดงสด ปากถ้ำนั้นอยู่ห่างจากหุบเขาไม่ถึงสองเมตรดี ที่หุบเขาด้านล่างเต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงสด และดูเหมือนด้านล่างดอกไม้เกือบทุกดอกจะมีงูสีแดงคาดคำอยู่ดอกละตัวอีกด้วย บางตัวถึงขั้นขึ้นมาเลื้อยเล่นอยู่ตามก้านดอกไม้และตัวดอกไม้อีกด้วย
เยี่ยหลีนึกเข้าใจความรู้สึกของหานหมิงซีที่หลังจากลงมาที่นี่แล้วเหตุใดถึงได้หลุดปากก่นด่าออกมาเสียยกใหญ่ สถานที่ประหลาดเช่นนี้ช่างทำให้คนรู้สึกหนาวเข้ากระดูกขึ้นมาได้จริงๆ แต่การที่คนหนานเจียงไม่คิดวางกำลังอารักขาตรงทางออกเปิดออกมายังสถานที่อันตรายเช่นนี้ ก็ไม่ถือว่าพวกเขาประมาทจนเกินไปนัก
“ข้ามไปได้หรือไม่” เยี่ยหลีชี้ไปยังหน้าผาฝั่งตรงข้าม
องครักษ์ลับสามเหลือบมองแล้วจึงพยักหน้า “น่าจะไม่มีปัญหาขอรับ”
“ระวังหน่อย หากตกลงไปใครก็คงช่วยไม่ได้”
หากตกลงไปในทะเลดอกไม้นั้น คงถูกดอกไม้กับงูพวกนั้นกลืนกินจนไม่เหลือแม้แต่ซากศพโดยทันที
องครักษ์ลับสามขมวดคิ้ว “คุณชายจะข้ามไปอย่างไรขอรับ” เขาสามารถใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามไปได้ แต่หากพาอีกคนไปได้เกรงว่าคงจะข้ามไปไม่ไหว ด้วยวิชาตัวเบาของคุณชายเองก็คงไม่แข็งแกร่งพอที่จะพาตนเองข้ามไปเช่นกัน ที่ตรงนี้เตี้ยเกินไปจนเชือกใช้การได้ไม่ดีนัก หากพลาดพลั้งเพียงนิดก็สามารถถูกงูที่พร้อมจะล้อมเข้ามาพวกนั้นฉกเข้าได้ทันที
เยี่ยหลีได้แต่ถอนหายใจ “ที่บ้าๆ นี่มันน่าปวดหัวเสียจริง แต่หากสามารถออกไปได้ ก็ถือว่าที่เสี่ยงมาคราวนี้คุ้มค่ายิ่งนัก เจ้าข้ามไปก่อน ข้าจะไปทางอื่น”
องครักษ์ลับสามไม่ยอมขยับตัว ถึงแม้เขาจะรู้ว่าพระชายาเก่งกาจนัก แต่เขายังดูไม่ออกจริงๆ ว่ามีทางอื่นสามารถไปได้อีก จะรออยู่ที่นี่ก็ไม่ปลอดภัย ถึงแม้ที่นี่ตอนนี้จะไม่มีคน แต่มิได้หมายความว่าจะไม่มีคนผ่านมาเลย
เยี่ยหลีเห็นท่าทางแข็งขืนขององครักษ์ลับสามแล้ว จึงได้แต่โบกมือให้เขา “เอาเถิด ข้าจะข้ามไปก่อน เจ้ารออยู่ที่นี่ไว้ข้าข้ามไปได้แล้วเจ้าค่อยข้ามตามไป พวกเจ้านี่จะดื้อกันไปทำไมนักนะ”
องครักษ์ลับสามเอ่ยเสียงขรึมว่า “พวกเราเป็นองครักษ์ลับของคุณชายก็ย่อมถือเอาการอารักขาคุณชายมาเป็นอันดับแรก”
เยี่ยหลีได้แต่กลอกตามองฟ้า “ขอบใจ แต่หากเจ้าเชื่อในตัวข้ามากกว่านี้ก็จะดีหรอก”
จนเมื่อท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง เยี่ยหลีจึงอาศัยกริชในมือเป็นตัวช่วยปีนขึ้นหน้าผาไป ขึ้นไปได้ไม่เท่าไร ก็หันกลับลงมามององครักษ์ลับสามที่ปีนตามขึ้นมา “เจ้าทำอะไรน่ะ”
องครักษ์ลับสามตอบเสียงขรึมว่า “ข้าติดตามคุณชายขอรับ”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากทำเช่นนี้หรือ หากข้ามีวิชาตัวเบาเช่นเจ้าข้าก็คงกระโดดข้ามไปแล้ว” นางปรายตามององครักษ์ลับสามอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนเงยหน้าขึ้นปีนต่อไป
องครักษ์ลับสามปีนตามขึ้นมาจนทันเยี่ยหลี “หน้าผานี้มีความสูงอย่างน้อยๆ ก็หนึ่งร้อยกว่าจั้ง หากคุณชายคิดจะปีนขึ้นไปคงลำบากน่าดูนะขอรับ”
เยี่ยลีหัวเราะเบาๆ “ใครว่าข้าจะปีนขึ้นไปจนสุดเล่า ขึ้นไปอีกหน่อยก็ใช้ได้แล้ว ตรงนั้นมีหินก้อนหนึ่งที่ยื่นออกมา ตรงนั้นไง”
องครักษ์ลับสามเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ห่างไปไม่ไกลมีก้อนหินก้อนหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นักยื่นออกมา จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว คุณชาย เช่นนั้นข้าข้ามไปก่อน”
“ระวังด้วย” เยี่ยหลีเอ่ยสั่งขึ้น
องครักษ์ลับสามพยักหน้า แล้วจึงแตะเท้าซ้ายลงบนหน้าผา ก่อนพุ่งตัวทะยานออกไป แต่อาจด้วยเพราะท่าทางการปีนหน้าผาเมื่อครู่ ทำให้บินข้ามไปได้ครึ่งทางก็ดูกำลังส่งหมดลง ถึงแม้จะสามารถลงไปใช้แรงส่งจากดอกไม้ด้านล่างได้ แต่หากเกิดงูกัดขึ้นมา พวกเขาในตอนนี้คงไม่สามารถหายามาถอนพิษได้
เยี่ยหลีอุทานขึ้นทีหนึ่ง ก่อนขว้างกริชในมือไปใต้เท้าขององครักษ์ลับสาม องครักษ์ลับสามแตะเท้าลงบนกริชก่อนทะยานตัวขึ้นอีกครั้ง ตัวเขาลอยขึ้นลงอยู่สองสามทีก็ขึ้นไปถึงเขาอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อเสียกริชเล่มหนึ่งไป เยี่ยหลีจึงต้องใช้เวลามากขึ้นในการปีนขึ้นไปยังหินที่ยื่นออกมาก้อนนั้น หินก้อนนั้นไม่ใหญ่มากนัก ถึงแม้เยี่ยหลีจะพยายามยืนให้ชิดติดกับขอบหน้าผาแล้ว แต่ก็ยังยืนได้อย่างหมิ่นเหม่เต็มที หินก้อนนี้น่าจะเป็นหินก้อนใหญ่ที่งอกยื่นออกมาจากหน้าผา พอเยี่ยหลีขึ้นมายืนบนหินได้อย่างมั่นคงแล้ว นางสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ก่อนหยิบเชือกออกมาจากห่อผ้า แล้วจึงนำปลายเชือกด้านหนึ่งผูกเข้ากับปลอกปลายธนูแล้วยิงออกไปอีกฝั่ง
องครักษ์ลับสามที่อยู่อีกฟากรับปลายเชือกไว้ แล้วนำไปหาจุดที่สามารถยึดไว้ได้อย่างแน่หนา ก่อนกระตุกเชือกเป็นสัญญาณให้เยี่ยหลีว่าพร้อมแล้ว เยี่ยหลีหาที่ทางฝั่งตนยึดเชือกเอาไว้ ออกแรงดึงอยู่สองสามทีแล้วจึงไถลตัวลงไปตามเชือกเส้นนั้น