จนเมื่อนางกำนัลถอยออกไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้เงยหน้าขึ้นถามองครักษ์ลับสองด้วยความรู้สึกผิดว่า “เจ้าว่า…องค์หญิงอันซีมีโอกาสที่จะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าหรือไม่” หากเกิดนางเป็นตัวต้นเหตุทำลายพรหมลิขิตของพี่ใหญ่เข้า คงวุ่นวายน่าดู นางไม่อยากกลายเป็นมือที่สามอย่างนางร้ายในละครน้ำเน่าเสียด้วย
องค์รักษ์ลับสองส่ายหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่มีทางขอรับ ถึงแม้ตระกูลสวีจะมิได้รังเกียจคนต่างเผ่า แต่หลายร้อยปีมานี้ ตระกูลสวีไม่เคยแต่งงานกับคนต่างเผ่ามาก่อน อีกอย่างองค์หญิงอันซีมีฐานะสูงส่งเป็นถึงรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว อย่างไรตระกูลสวีก็ไม่มีทางให้ประมุขตระกูลสวีคนถัดไปแต่งงานเข้ามาอยู่ที่แคว้นหนานจ้าวอย่างแน่นอนขอรับ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ด้วยนิสัยของคุณชายชิงเฉินแล้ว หากท่านมีใจให้องค์หญิงอันซีจริง ก็ไม่มีทางที่จะเรียกนางว่าเป็นสหายอย่างแน่นอนขอรับ”
เยี่ยหลีหันหน้าไปนั่งคิด ที่เขาพูดมาก็จริงอยู่ แต่หากเกิดนางเป็นคนทำลายพรหมลิขิตของพี่ใหญ่แล้ว คงบาปหนักไม่น้อย แต่จะว่าไปนางก็รู้สึกดีต่อองค์หญิงอันซีองค์นี้ไม่น้อย องค์หญิงหลายพระองค์ที่นางได้พบมา คนที่อายุยังน้อยนอกจากองค์หญิงที่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยอย่างองค์หญิงฉางเล่อแล้ว องค์หญิงอันซีพระองค์นี้ดูใช้ได้ที่สุดแล้ว หากเปลี่ยนเป็นองค์หญิงท่านอื่นๆ หากได้ยินว่านางเป็นคู่หมั้นของคนที่ตนมีใจให้แล้ว ไม่รู้ว่าพวกนางจะรับมือกับนางอย่างไร แต่ก็มิเสียแรงที่เป็นคนที่พี่ใหญ่นับเป็นสหาย
“คุณหนูวางแผนไว้อย่างไรขอรับ” องค์รักษ์ลับสองเอ่ยถาม
เยี่ยหลียิ้ม “ได้พักอยู่ในตำหนักขององค์หญิงก็ง่ายต่อการสืบความของพี่ใหญ่มิใช่หรือ”
องค์รักษ์ลับสองพูดว่า “แต่การจะเข้าออกตำหนักองค์หญิงนั้นไม่ค่อยสะดวกเท่าไรนัก หากจะออกไปไหนมาไหนคงถูกจำกัดไม่น้อย”
เยี่ยหลีส่ายหน้ายิ้มๆ “องค์หญิงอันซีคงไม่ถึงกับกักบริเวณคู่หมั้นของสหายหรอกกระมัง ตอนนี้เรื่องที่พี่ใหญ่หายไปอยู่ที่ใดนั้นสำคัญกว่า ถึงอย่างไรหลายวันมานี้องครักษ์ลับทั้งหลายต่างก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วพี่ใหญ่เดินทางไปที่ใด”
องค์รักษ์ลับสองก้มหน้าลงพูดด้วยความรู้สึกผิด “เป็นเพราะข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่”
เยี่ยหลียิ้มพร้อมโบกมือ “เรื่องนี้จะโทษพวกเจ้าได้อย่างไร หากสามารถรู้ทุกเรื่องได้อย่างกระจ่างแล้ว คงไม่มีคำว่าความลับอยู่ในโลกใบนี้ หวังก็แต่เพียง…ขอให้พี่ใหญ่ปลอดภัยไม่เป็นอันใดเท่านั้น” เมื่อคิดถึงสวีชิงเฉินที่ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใดแล้ว เยี่ยหลีก็อดที่จะรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้
ตำหนักองค์หญิงอันซีไม่ใหญ่นัก อาจด้วยเพราะหนานเจียงนั้นไม่มีการกันระหว่างชายหญิงอย่างเข้มงวดนัก ห้องของสวีชิงเฉินเองจึงอยู่ในเรือนเดียวกับเยี่ยหลี เยี่ยหลีมิได้คิดจะปกปิด นางถามอย่างเปิดเผยว่าห้องของสวีชิงเฉินอยู่ที่ใดแล้วออกเดินไปทันที เมื่อผลักประตูออก ภายในห้องได้รับการเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน ดูออกว่าถึงแม้สวีชิงเฉินจะมิได้อยู่ที่นี่หลายวันแล้ว แต่ก็ยังมีคนเข้ามาทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน ภายในห้องมีของของสวีชิงเฉินอยู่พอสมควร เยี่ยหลีลองค้นดูโดยละเอียด พบว่ามีเสื้อผ้า เครื่องประดับหยก พัดพับของสวีชิงเฉิน ทั้งยังมีของที่พกติดตัวอยู่ในห้องพัก เป็นบันทึกการเดินทางที่เอาไว้แก้เบื่อระหว่างเดินทางวางอยู่บนตู้อีกด้วย
บนโต๊ะที่วางอยู่ด้านหนึ่ง มีชุดน้ำชาเครื่องเคลือบสีขาวลายดอกไม้สีน้ำเงินที่สวีชิงเฉินชอบว่างอยู่ บนโต๊ะมีหนังสือ พู่กัน หมึก กระดาษและแท่งหมึกวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ เห็นได้ชัดว่าสวีชิงเฉินพักอยู่ที่นี่นานพอสมควร เยี่ยหลีเดินไปนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ แล้วจึงยื่นมือไปหยิบหนังสือออกมาก้มลงเปิดอ่าน
“คุณหนูฉู่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” เสียงองค์หญิงอันซีดังขึ้นที่หน้าประตู
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่านางกำลังขมวดคิ้วมองมาจากที่หน้าประตู เยี่ยหลีรีบลุกยืนขึ้น มองนางด้วยความไม่สบายใจ “ขอโทษด้วย ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้พี่ชิงเฉินเคยพักอยู่ที่นี่ เลยคิดที่จะมาดูเสียหน่อย แล้วเลย…หยิบหนังสือมาอ่านด้วย”
องค์หญิงอันซีเดินเข้ามา มองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยสายตาอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าก็ชอบอ่านหนังสือหรือ”
เยี่ยหลีหลุบตาลง พยักหน้าด้วยความเขินอายเล็กน้อย “พี่ชิงเฉินมีความสามารถเลิศล้ำ ข้าจึงอยากอ่านหนังสือให้มากอีกหน่อย…”
องค์หญิงอันซีพยักหน้า “คุณชายชิงเฉินเองก็ชอบอ่านหนังสือมาก ปกติหากมิมีเรื่องอันใดหนังสือก็ไม่เคยห่างมือ ตัวอักษรของทางจงหยวนข้าก็รู้เพียงเล็กน้อย ที่หนังสือพวกนี้เขียนว่าอย่างไรบ้างนั้นข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก”
เยี่ยหลีวางหนังสือในมือลง เอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าเคยได้ยินพี่ชิงเฉินพูดถึงท่าน องค์หญิงเป็นรัชทายาทหญิงแห่งหนานจ้าว ย่อมต้องสนใจแต่เรื่องใหญ่ๆ จะไม่สนใจพวกบทความ โคลงกลอนพวกนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
องค์หญิงอันซียิ้มอย่างใจกว้าง “ข้าเริ่มเรียนตัวหนังสือของจงหยวนช้า อ่านออกแค่พอคร่าวๆ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้สนใจแต่ก็อ่านไม่เข้าใจอยู่ดี ในเมื่อคุณหนูฉู่ชอบอ่านหนังสือ หนังสือในห้องหนังสือท่านสามารถหยิบไปอ่านได้ หนังสือพวกนี้เป็นของที่คุณชายชิงเฉินซื้อหามา วางไว้ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณองค์หญิงมาก องค์หญิง…” เยี่ยหลีมองหน้าองค์หญิงอันซี คิดอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้
องค์หญิงอันซีเลิกคิ้วมองนางเป็นสัญญาณให้นางพูดต่อ เยี่ยหลีเอ่ยถามขึ้นเสียงเบาว่า “ข้าอยากพบพี่ชิงเฉินโดยเร็ว เขามิได้เขียนจดหมายส่งกลับบ้านนานแล้ว ท่านได้โปรดบอกข้าได้หรือไม่ว่าก่อนที่เขาจะไปเขาได้บอกว่าจะไปที่ใด ข้าจะได้พาองครักษ์ออกตามหา”
องค์หญิงอันซีมองหน้านางอยู่พักใหญ่ แล้วจึงขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมบอกเจ้าว่าเขาไปที่ใด เพียงแต่…ตอนนี้ข้าเองก็กำลังหาเขาอยู่เช่นกัน”
เยี่ยหลีเอ่ยคาดเดาอย่างยินดีว่า “เช่นนั้น…เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะออกจากหนานเจียงแล้วเดินทางกลับจงหยวนแล้ว”
องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “ยังมีอีกหลายเรื่องในหนานเจียงที่เขายังจัดการไม่เรียบร้อย เขาไม่มีทางจากไปง่ายๆ อีกอย่าง หากเขาจะไปจากหนานเจียงจริง ก็น่าจะบอกข้าหรืออย่างน้อยทิ้งจดหมายส่งข่าวไว้ถึงจะถูก”
“เช่นนั้น…เช่นนั้นเขาอยู่ตกอยู่ในอันตรายหรือไม่!”
องค์หญิงอันซีมองหน้านางด้วยความลำบากใจ พักใหญ่จึงได้ส่ายหน้า “น่าจะ…ไม่นะ คุณชายชิงเฉินเป็นคนฉลาดหลักแหลม ไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นเขาน่าจะรับมือได้”
“แต่ว่า แต่ว่าพี่ชิงเฉินไม่มีวิทยายุทธติดตัว เขาเอาชนะหลินหานที่เป็นผู้ติดตามข้ามิได้ด้วยซ้ำ” เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจ
องค์หญิงอันซีจับมือนางพร้อมเอ่ยปลอบใจว่า “เชื่อข้าสิ เขาไม่เป็นอันใดหรอก ข้ารับประกันได้”
เยี่ยหลีตาเป็นประกายเล็กน้อย เงยหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังขึ้นมองนาง “จริงหรือ ท่านรับประกัน…”
องค์หญิงอันซีพยักหน้า “ข้าเอาฐานะขององค์หญิงแห่งหนานจ้าวเป็นประกัน เขาไม่มีทางเป็นอันใดเด็ดขาด เจ้าเพียงใจเย็นๆ รออยู่ที่นี่ อีกเดี๋ยวก็จะได้พบคุณชายชิงเฉินแล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ตกลง ข้าเชื่อพี่องค์หญิง เพียงแต่ ข้าก็อยากไปหาพี่ชิงเฉินด้วย!”
องค์หญิงอันซีได้แต่มองนางแล้วพูดว่า “แต่ต้องอยู่แต่ในเมืองหลวงนะ อย่าได้ออกไปที่ใดซี้ซั้ว หากคุณชายชิงเฉินกลับมาแล้วไม่พบเจ้า…”
“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณพี่องค์หญิงมาก”
เมื่อเดินออกจากประตูเรือน รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงอันซีก็ค่อยๆ หายไป ระหว่างที่เดินกลับเรือนของตน ก็หันไปถามคนที่เดินตามหลังมาว่า “เรื่องของคุณหนูฉู่ ไปสืบมาแล้วหรือยัง”
ชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาเอ่ยตอบเสียงต่ำว่า “เรียนองค์หญิง สืบแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณหนูฉู่เข้าเมืองมาเมื่อวานตอนฟ้าใกล้มืด พอเข้าเมืองมาก็ได้เข้าพักยังโรงเตี๊ยมที่มีชื่อที่สุดของเมืองหลวง เช้าตรู่วันนี้ถึงได้คืนห้องพักแล้วออกถามหาที่ตั้งของตำหนักองค์หญิงไปทั่ว จากนั้นก็ตรงมาที่นี่ทันที เพียงแต่…นางมิได้เข้าพักด้วยชื่อฉู่หลิวอวิ๋น แต่ใช้ชื่อสวีอวิ๋นและหลินหานพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงอันซีพยักหน้า “เวลาอยู่ข้างนอกจะใช้ชื่อปลอมก็มิแปลก มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
ชายหนุ่มส่ายหน้า “เรื่องอื่นไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากต้องการสืบให้รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของคุณหนูฉู่แล้ว เกรงว่าพวกเราจะต้องส่งคนออกเดินทางไปต้าฉู่ กว่าจะเดินทางไปกลับคงใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน”
องค์หญิงอันซีส่ายหน้า “เกรงว่าพวกเราคงไม่มีเวลามากเช่นนั้น นางรู้จักชิงเฉินแน่ๆ ทั้งยังเป็นคนที่สนิทสนมกันมากอีกด้วย อีกอย่างรีบตามหาชิงเฉินให้พบนั้นสำคัญกว่า ใช่หรือไม่ใช่หาตัวเขาให้เจอก็คงรู้ชัดเอง ช่วงนี้เจ้าส่งคนไปคอยจับตาดูพวกนางไว้หน่อยก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“มีเรื่องอันใดอีกหรือ”
ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย “ตอนที่พวกเราไปสืบข่าวเรื่องคุณหนูฉู่พบว่าเมื่อวานที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นมีคนจากจงหยวนสามคนมาเข้าพักด้วยพ่ะย่ะค่ะ ชื่อของพวกเขาไม่ได้มีอันใดพิเศษ เพียงแต่ไม่แน่ว่าจะเป็นชื่อจริง”
“มีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูฉู่หรือไม่”
“ตอนนี้ดูยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ พวกเขามาถึงก่อนคุณหนูฉู่ได้สองชั่วยามกว่า หนึ่งในนั้นพอกินข้าวเสร็จก็กลับขึ้นห้องพักไป ส่วนอีกสองคนออกไปด้านนอกจนเมื่อคุณหนูฉู่เข้าพักแล้วถึงได้กลับเข้ามา มิได้พบหน้ากันพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องไปสนใจพวกเขา ในเมืองหลวงมีคนภาคเข้าออกอยู่บ้างก็เป็นเรื่องปกติ นี่เป็นเรื่องที่ท่านแม่ทัพองครักษ์ควรจะสนใจ หากพวกเราเข้าไปยุ่งมากไปจะยิ่งวุ่นวาย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“องค์หญิง ท่านอ๋องเรียกให้เข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้แล้ว ข้าจะเข้าวังทันที”