เยี่ยหลีพูดไม่ออก ข่าวสารจากเทียนอี้เก๋อนั้นนางได้ให้ค่าตอบแทนที่เหมาะสมกันไปแล้ว มิได้ให้เขาทำงานให้เปล่าๆ เสียหน่อย เมื่อเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายที่จะสนใจตนของเยี่ยหลีแล้ว หานหมิงซีก็กัดนิ้วพร้อมหัวเราะจนตาหยี “เมืองเล็กๆ อย่างหนานจ้าวจะมีธุระอันใดได้ จวินเหวยมิได้มาหาดอกโหยวหลัวหมิงหรือ ข่าวเกี่ยวกับธิดาเทพนั้นตอนนี้อยู่ที่ข้านะ หรือว่าบัณฑิตขี้โรค ร่องรอยการเดินทางของบัณฑิตขี้โรคข้าก็รู้นะ เพียงแต่ดูเหมือนเขาจะถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งจับตาอยู่ จวินเหวยอย่าได้ไปทำให้พวกเขาโกรธจะดีกว่า หรือไม่ก็…คุณชายชิงเฉินหายตัวไปใช่หรือไม่” นางหันไปมอง ก็เห็นหานหมิงซีกำลังยิ้มตาใสอยู่
“ข่าวของเทียนอี้เก๋อช่างสมชื่อจริงๆ” เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ
หานหมิงซีหัวเราะ “เทียนอี้เก๋อทำอาชีพขายข่าวนี่ ช่วงนี้ในเมืองหลวงของหนานจ้าวมีเรื่องใหญ่ๆ อยู่เพียงเท่านี้ หากไม่รู้เรื่องอันใดเลย พวกเราจะทำงานไปทำไม เช่นนั้น…จวินเหวยอยากจัดการเรื่องใดก่อนหรือ”
เยี่ยหลีมองหน้าเขานิ่ง พักใหญ่จึงได้หัวเราะขึ้นเบาๆ “ท่านรู้หรือไม่ว่าคุณชายชิงเฉินอยู่ที่ใด”
หานหมิงซีตาเป็นประกาย พูดด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าจะหาเขาก่อนจริงๆ น่ะหรือ จวินเหวย ข้ายังคิดว่าดอกปี้ลั่วกับดอกโหยวหลัวหมิงสำคัญกับเจ้ามากกว่าเสียอีก”
เยี่ยหลีพูดว่า “ของนั่นจะไปเอาเมื่อใดก็ได้ แต่คนนั้นหากไม่รีบหาก็ไม่แน่ว่าจะยังครบสามสิบสอง”
หานหมิงซีเท้าคางมองนาง “เจ้าอยากรู้ข่าวคราวของคุณชายชิงเฉินก็ย่อมได้ แต่บอกข้ามาว่าเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์กันเช่นไร”
เยี่ยหลีส่ายหน้าพร้อมยิ้มน้อยๆ “ท่านเองก็ไม่รู้ข่าวของคุณชายชิงเฉิน มิเช่นนั้นท่านคงไม่มาพูดเงื่อนไขกับข้าเอาตอนนี้หรอกใช่หรือไม่”
หานหมิงซีส่งเสียงเหอะๆ จ้องหน้านางด้วยความขัดใจ “เช่นนั้นข่าวของธิดาเทพแห่งหนานเจียงเจ้าต้องการหรือไม่ หากไม่ข้าจะเผาทิ้งเสีย”
“เขาเป็นพี่ชายของข้า” เยี่ยหลีตอบ
หานหมิงซีขมวดคิ้ว กวาดสายตามองประเมินนาง “พี่น้องหรือ เจ้าคือสวีชิงป๋อหรือว่าสวีชิงเหยียนกัน หากดูตามอายุแล้ว…น่าจะเป็นสวีชิงเหยียนมากกว่า แต่หากดูเรื่องนิสัยกลับเหมือนสวีชิงป๋อ แต่ว่า…มิมีผู้ใดเคยบอกว่าคุณชายตระกูลสวีมีวิทยายุทธ์กันด้วยเลยนี่”
เยี่ยหลียิ้ม “ดูท่าข่าวของเทียนอี้เก๋อก็มิได้น่าเชื่อถือถึงเพียงนั้น ตอนนี้คุณชายสามตระกูลสวี สวีชิงเฟิงกำลังฝึกทหารอยู่ในกองทัพ พี่หานมิรู้เรื่องนี้หรือ”
หานหมิงซีจ้องมองนางด้วยความสงสัย “หรือว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลสวีจริงๆ”
เยี่ยหลีอมยิ้มไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
หานหมิงซีเดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างอยู่ไม่สุข พร้อมหันมาแสดงท่าทีไม่พอใจกับเยี่ยหลีเป็นพักๆ “เจ้าหลอกข้า…เจ้ามิได้มาหาดอกโยวหลัวหมิงตั้งแต่แรกแล้ว เจ้ามาหาสวีชิงเฉิน! จวินเหวย เจ้าหลอกข้า…”
“คุณชาย” เสียงองครักษ์ลับสองดังขึ้นที่นอกประตู ก่อนที่ประตูจะถูกผลักเปิดจากทางด้านนอก องครักษ์ลับสามเหลือบมองหานหมิงซี ก่อนพูดกับเยี่ยหลีว่า “คุณชาย มีข่าวแล้วขอรับ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เข้ามาสิ”
ภายในห้อง เยี่ยหลีและองครักษ์ลับสามมองหน้าหานหมิงซีพร้อมๆ กัน คนที่เข้าใจอันใดได้ง่ายมาโดยตลอดอย่างคุณชายเฟิงเย่ว์กลับไม่เข้าใจความหมายที่สื่อมา เขาทำเหมือนไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาหลบออกไปก่อน เพียงนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้กินขนมไปเสียเฉยๆ เยี่ยหลีจึงได้แต่โบกมือให้องครักษ์ลับสาม “ช่างเถิด พูดมาเลยก็แล้วกัน”
องครักษ์ลับสามพยักหน้า พูดเสียงขรึมว่า “วันนี้องค์หญิงอันซีได้ติดต่อกับคุณชายชิงเฉิน หรือไม่ก็…คนที่มีความสัมพันธ์กับคุณชายชิงเฉินขอรับ”
เยี่ยหลีย่นคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”
องครักษ์ลับสามตอบว่า “วันนี้เมื่อตอนที่องค์หญิงอันซีกลับมายังตำหนัก ในตัวมีกลิ่นหอมแปลกปลอมติดมาด้วยขอรับ คนหนานเจียงมิใช่คนที่ชอบใช้เครื่องหอม ดังนั้นจึงมิได้มีการศึกษาเรื่องเครื่องหอมกันมากนัก แต่เขากลับไม่รู้ว่าที่จงหยวนถึงแม้จะเป็นเครื่องหอมประเภทเดียวกันแต่ก็มีส่วนที่ต่างกันอยู่เล็กน้อย อย่างเช่นคุณชายแต่ละคนของตระกูลสวี นอกจากคุณชายสามกับคุณชายห้าที่มิได้ใช่เครื่องหอมแล้ว คุณชายสองชอบใช้กลิ่นดอกเหมย คุณชายสี่ชอบกลิ่นดอกหลัน ส่วนคุณชายชิงเฉิน ด้วยเพราะมักมิได้อยู่ติดบ้าน เครื่องหอมที่ใช้จึงเป็นเครื่องหอมที่สวีฮูหยินเป็นคนปรุงให้ ซึ่งผสมตัวยาที่มีประโยชน์กับร่างกายลงไป ดังนั้นจึงมีกลิ่นยาอ่อนๆ ผสมอยู่ คนทั่วไปจะแยกกลิ่นนี้ออกคงไม่ง่ายนัก และหากต้องการจะทำลอกเลียนแบบคงยิ่งยากขึ้นไปอีก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “องค์หญิงอันซีไปที่ใดมาบ้าง”
“วังหลวงขอรับ เมื่อตอนเช้าท่านอ๋องหนานจ้าวเรียกให้องค์หญิงอันซีไปเข้าเฝ้า หลังจากที่องค์หญิงอันซีกลับออกมาจากวังหลวงแล้วก็ตรงกลับตำหนักทันทีขอรับ” องครักษ์ลับสามตอบด้วยความมั่นใจ
หานหมิงซียิ้มด้วยความประหลาดใจ “คุณชายชิงเฉินคงมิได้อยู่ในวังหลวงหรอกกระมัง”
องครักษ์ลับสามมีท่าทีลังเลเล็กน้อย แล้วขมวดคิ้วตอบว่า “โอกาสที่องค์หญิงอันซีจะได้พบกับคุณชายชิงเฉินด้วยตนเองมีไม่มากนัก ช่วงที่องค์หญิงอันซีเข้าวังจนออกจากวัง นอกจากตอนที่เข้าเฝ้าท่านอ๋องหนานจ้าวแล้ว ช่วงเวลาอื่นๆ ก็อยู่ในสายตาคนของพวกเราเกือบตลอด ไม่มีทางมีโอกาสได้พบคุณชายชิงเฉิน นอกเสียจากในช่วงที่นางเข้าเฝ้าท่านอ๋องหนานจ้าวขอรับ อีกอย่าง…หลักจากกลับจวนแล้ว องค์หญิงอันซีได้ส่งกำลังออกตามหาคุณชายชิงเฉินเพิ่มเติมอีกด้วยขอรับ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ท่านอ๋องหนานจ้าวไม่มีทางไม่รู้ถึงฐานะของพี่ใหญ่ หากเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่ตอนที่เขาอยู่ในหนานจ้าว จะไม่มีผลดีอันใดกับเขา ดังนั้น…โอกาสที่พี่ใหญ่จะอยู่ในวังหลวงจึงมีไม่มากนัก กลิ่นนั้น…เขาน่าจะคิดอยากส่งข่าวบอกพวกเราว่าตอนนี้เขายังสบายดี”
องครักษ์ลับสามไม่เข้าใจ “ในเมื่อคุณชายชิงเฉินไม่ได้อยู่ในวังหลวง เหตุใดข่าวจึงถูกส่งออกมาจากวังหลวงเล่าขอรับ เครื่องหอมที่คุณชายชิงเฉินพกติดตัวเหตุใดจึงไปอยู่ในวังหลวงได้”
“นั่นย่อมหมายความว่า อีกฝ่ายอาจเป็นคนของวังหลวง ต่อให้มิใช่ ก็ต้องเป็นคนที่สามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ”
หานหมิงซีส่ายหน้าอย่างเกียจคร้าน “ไม่ถูกสิ…จวินเหวย ในหนานจ้าว นอกจากรัชทายาทหญิงแล้ว มิมีผู้ใดที่สามารถเข้านอกออกในวังหลวงได้อย่างอิสระอีก รวมถึงองค์หญิงคนอื่นๆ ด้วย แน่นอนว่า แม้แต่องค์หญิงท่านนี้ ในยามนี้ก็มิสามารถทำได้เช่นกัน”
เยี่ยหลีปรายตามองเขา “ที่เข้านอกออกในอย่างเปิดเผยได้ไม่มี แล้วอย่างลับๆ ก็ไม่มีอย่างนั้นหรือ”
“อย่างลับๆ หรือ” ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน
เยี่ยหลีขมวดคิ้วถามขึ้นว่า “ร่องรอยการเดินทางของผู้บุกรุกพวกนั้นหาพบหรือไม่”
องครักษ์ลับสามพยักหน้า “พบแล้วขอรับ แต่ช้าไปก้าวหนึ่ง พวกมันถูกฆ่าปิดปากอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ห่างจากเมืองหลวงไปประมาณสองลี้ ส่วนศพของพวกมันถูกทิ้งไว้ในถ้ำขอรับ”
“พูดให้ละเอียด”
“จุดที่พวกเราพบศพคนพวกนั้น อยู่ในถ้ำที่ค่อนข้างลึกลับแห่งหนึ่ง ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศตะวันตกประมาณสิบลี้ แต่จุดที่พบศพไม่มีร่องรอยของการต่อสู้ อีกทั้งถึงแม้สถานที่นั้นจะอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่มาก แต่เส้นทางค่อนข้างลำบาก บริเวณโดยรอบมิได้มีอันใดพิเศษ ต่อให้ผู้บุกรุกพวกนั้นต้องการหนีเอาตัวรอดก็ไม่น่าหนีไปทางนั้น แต่โชคดีที่อาวุธลับที่ทำให้พวกมันบาดเจ็บได้อาบกลิ่นยาติดตามตัวไว้ก่อนแล้ว เราใช้เวลาอยู่หนึ่งคืนเต็มจึงพบว่าพวกมันน่าจะออกจากเมืองหลวงไปได้ไม่เท่าไรก็โดนฆ่าปิดปากเสียแล้ว จากนั้นจึงได้นำศพไปทิ้งไว้ที่ถ้ำแห่งนั้นขอรับ”
เยี่ยหลีนวดคลึงบริเวณหน้าผากอย่างใช้ความคิดพร้อมถามว่า “พวกมันถูกฆ่าปิดปากที่ทิศใด”
“ไปทางทิศตะวันออกขอรับ”
“เช่นนั้นก็คือ เดิมทีพวกมันคิดที่จะไปทางทิศตะวันออก แต่ถูกคนดักฆ่าเสียก่อน จากนั้นมือสังหารที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ได้เอาศพพวกมันไปทางทิศตะวันตก เช่นนั้นใช่หรือไม่ ทางทิศตะวันออกมีอันใดหรือ” เยี่ยหลีลุกยืนขึ้น “นำแผนที่ของเมืองหลวงหนานจ้าวมาให้ข้าที”
องครักษ์ลับสามก้มหน้าลงหยิบกระดาษแผ่นบางๆ ออกมาจากหน้าอก พร้อมกางลงบนโต๊ะด้วยความระมัดระวัง
หานหมิงซียื่นหน้ามามอง ก่อนเบ้ปากพูดว่า “แผนที่ทั้งหมดของเมืองหลวงหนานจ้าว แม้แต่ของเช่นนี้เจ้ายังมีเลยหรือ จวินเหวย เจ้ามิได้จำเป็นต้องไปสอบถามข่าวจากเทียนอี้เก๋อแต่แรกแล้วกระมัง”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “มีแหล่งข่าวเพิ่มขึ้นอีกแหล่ง ก็ปลอดภัยขึ้นอีกหนึ่งส่วน ข้าเป็นคนที่เสียดายชีวิต อีกอย่าง…ข้าไม่เชื่อว่าเทียนอี้เก๋อจะทำแผนที่เช่นนี้ออกมาไม่ได้” นี่มิใช่แผนที่ทางการทหาร เป็นเพียงแผนที่ของสถานที่ทั่วไปในเมืองเท่านั้น
เยี่ยหลีหยิบดินสอถ่านขึ้นมาวงที่บริเวณวังหลวง แล้วลากไปยังตำหนักองค์หญิงอันซี จุดที่สวีชิงเฉินหายตัวไป จุดที่พบศพ รวมถึงจุดที่ฆ่าปิดปาก แล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “สังเกตเห็นอันใดหรือไม่”
หานหมิงซีชี้นิ้วมายังแผนที่ “หากตัดจุดที่ทิ้งศพและตำหนักองค์หญิงออกไปแล้ว สถานที่พวกนี้ดูจะอยู่ใกล้ตำหนักธิดาเทพอยู่มาก จะว่าไป…หากไม่เห็นแผนที่นี่ คงไม่คิดว่าตำหนักธิดาเทพจะอยู่ใกล้วังหลวงมากเช่นนี้”
ตำหนักธิดาเทพตั้งอยู่บนเขาห่างจากเมืองหลวงไปทางทิศตะวันออกห้าลี้ แต่หากออกเดินทางจากวังหลวงแล้วรวมกับระยะทางที่ต้องขึ้นเขาแล้ว กว่าจะไปถึงตำหนักธิดาเทพอย่างน้อยๆ ต้องเดินทางประมาณสิบลี้
เยี่ยหลีก้มหน้าลงชี้นิ้ว “คนทั่วไปมักคิดเพียงว่าจากวังหลวงไปตำหนักธิดาเทพนั้นต้องเดินทางไกลพอสมควร อีกทั้งวังหลวงยังสร้างอยู่ติดกับภูเขา ภูเขาที่อยู่ด้านหลังวังหลวงทั้งสูงและชัน หากคิดอยากจะไปทางภูเขานั้น เรื่องความยากลำบากยังไม่เท่าไร แต่เวลาที่ใช้ในการเดินทางย่อมมากกว่าการเดินทางออกจากเมืองหลวงไปเลยอยู่มาก ดังนั้นโดยปกติจึงไม่เคยมีผู้ใดคิดถึงเส้นทางนี้ อันที่จริงระยะทางโดยตรงจากวังหลวงไปตำหนักธิดาเทพจริงๆ ห่างกันไม่ถึงสองลี้ด้วยซ้ำ”
“ทางเดินใต้ดินหรือ” องครักษ์ลับสามพูดขึ้น
“ที่พวกเราเดินทางมานี้ยังมิได้เรียนรู้ความสามารถในการขุดทางเดินใต้ดินของคนหนานเจียงอีกหรือ” เยี่ยหลีหัวเราะพร้อมถามขึ้น
ทั้งสองคนต่างนึกภาพภูเขาลูกที่ถูกขุดเสียจนพรุนไปหมดขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย แล้วต่างก็นิ่งเงียบไป