เมื่อเห็นหานหมิงซีหมุนตัวไปจากบริเวณเรือนแล้ว สวีชิงเฉินจึงหันมามองเยี่ยหลีพร้อมยิ้มให้นางบางๆ “น้องสาว ดูท่าตลอดเส้นทางที่มาหนานเจียงนี่คงเกิดเรื่องขึ้นไม่น้อยสินะ”
เยี่ยหลียิ้มให้สวีชิงเฉินอย่างเอาใจ ด้วยความฉลาดหลักแหลมของสวีชิงเฉิน ย่อมเดาออกไม่ยากว่าฉู่จวินเหวยกับฉู่หลิวอวิ๋นเป็นคนคนเดียวกัน
สวีชิงเฉินยิ้ม มองท่าทางไม่สบายใจของเยี่ยหลี แล้วพยักหน้า “ข้ากับเจ้ามิได้พบหน้ากันมาเกือบปีพอดีเลย พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในดีหรือไม่”
เยี่ยหลีได้แต่กะพริบตาปริบๆ แล้วเลื่อนตัวเปิดทางให้เขาพร้อมพูดเสียงเบาว่า “เชิญพี่ใหญ่”
ในห้องหนังสือ สวีชิงเฉินนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ มองสีหน้ารู้สึกผิดของเยี่ยหลีด้วยสีหน้าราบเรียบ
เยี่ยหลียืนก้มหน้า ดวกตาหลุบไปมาอย่างรวดเร็ว เงยหน้าขึ้นลอบมองสีหน้าสวีชิงเฉินเป็นพักๆ เช่นเดียวกับคนในตระกูลสวีรุ่นก่อนที่น่ากลัวที่สุดคือสวีหงอวี่ คนในตระกูลสวีรุ่นนี้ที่น่ากลัวที่สุดก็คือสวีชิงเฉินนี่เอง ซึ่งรวมถึงเยี่ยหลีที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลสวีเมื่อตอนเด็กด้วย
“พี่ใหญ่…” เมื่อเห็นสวีชิงเฉินเอาแต่จ้องหน้านางด้วยสีหน้าเรียบเฉยโดยมิได้พูดอันใดแล้ว เยี่ยหลีจึงได้แต่พูดเสียงเล็กเสียงน้อยด้วยความรู้สึกผิด
สวีชิงเฉินเห็นท่าทางน่าสงสารของนางแล้วจึงได้ถอนหายใจออกมา “ไม่ได้พบกันนาน หลีเอ๋อร์เก่งขึ้นอีกนะ ถึงขั้นแกล้งทำหน้าน่าสงสารต่อหน้าพี่ได้แล้วหรือ”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ เบ้ปากแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่…หลีเอ๋อร์มิได้แกล้งทำหน้าน่าสงสารนะเจ้าคะ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงต้องโกรธด้วย…”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้วขึ้น “หลีเอ๋อร์ไม่รู้หรือว่าเหตุใดพี่จึงโกรธ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า สวีชิงเฉินจึงถามว่า “ฉู่จวินเหวยคือผู้ใด แล้วฉู่หลิวอวิ๋นนี่ใครกัน”
การพูดจาอ้อมค้อมกับพี่ใหญ่นั้นถือเป็นเรื่องเสียแรงเปล่า เยี่ยหลีก้มหน้าลงอย่างยอมแพ้ “พี่ใหญ่…”
สวีชิงเฉินชี้มือไปยังเก้าอี้ข้างหน้า “นั่งลง นั่งลงแล้วค่อยๆ พูดเถิด”
เยี่ยหลีนั่งลงบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย แล้วจึงได้บอกเล่าเรื่องราวตั้งแต่เรื่องที่ตนถูกเยี่ยเย่ว์เล่นงานเมื่อตอนอยู่เมืองหลวงจนมาถึงหนานเจียงและหาสวีชิงเฉินจนพบให้ฟังโดยละเอียดไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย
จนเมื่อนางดื่มน้ำให้หายคอแห้งแล้ว สวีชิงเฉินจึงได้พูดกับนางเรียบๆ ว่า “พี่จะยังมิพูดเรื่องที่เจ้าถูกเยี่ยเย่ว์เล่นงาน แต่เหตุใดเจ้าถึงต้องเดินทางไปกว่างหลินเพื่อหาตัวหานหมิงซีด้วยเล่า แล้วยังพาเขามาหนานเจียงด้วยนี่อีก”
เยี่ยหลีเอ่ยตอบเสียงต่ำว่า “ข้าไม่อยากทำให้คนในเมืองหลวงแตกตื่น จึงไม่อยากใช้องครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนหานหมิงซีนั้นเขาขอติดตามมาเอง ข้ามิได้พามาเจ้าค่ะ”
สวีชิงเฉินมองหน้านางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ไม่อยากให้คนในเมืองหลวงแตกตื่น ถือว่าคิดได้รอบคอบไม่เลว แต่ว่า หานหมิงเย่ว์กับติ้งอ๋องมีความเกี่ยวข้องกันเช่นไร เจ้าเคยถามเรื่องนี้หรือไม่ เจ้ามีฐานะใหญ่โตเป็นถึงพระชายาแห่งติ้งอ๋อง หากเรื่องที่เจ้าไปเทียนอี้เก๋อถูกคนนอกรู้เข้าเจ้าจะทำเช่นไร ที่สำคัญที่สุดคือ หากหานหมิงเย่ว์คิดอยากจะสืบเรื่องนี้เข้าจริงๆ เขาจะสืบหาฐานะที่แท้จริงของเจ้าไม่พบหรือ หากเขาใช้เรื่องนี้หาเรื่องเจ้า ถึงตอนนั้นเจ้าจะทำอย่างไร”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าอันหล่อเหลาของสวีชิงเฉินที่ยังคงแย้มยิ้มอยู่ “ข้าทิ้งองครักษ์ลับสี่ไว้ให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ หากหานหมิงเย่ว์กลับมาแล้วเขาจะรีบรายงานให้ข้ารู้ทันที อีกอย่าง เรื่องที่สำคัญจริงๆ ของข้า ข้าก็มิได้ให้เทียนอี้เก๋อจัดการให้นะเจ้าคะ เพียงแค่อยากให้เทียนอี้เก๋อช่วยองครักษ์ลับดึงความสนใจไปส่วนหนึ่งเท่านั้น”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “เรื่องนี้ถือว่าเจ้าจัดการได้สำเร็จแล้ว เช่นนั้น…ผู้ใดใช้ให้เจ้าเข้าไปยุ่งกับบัณฑิตขี้โรคหรือ”
“พี่ใหญ่รู้จักบัณฑิตขี้โรคด้วยหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม บัณฑิตขี้โรคถึงแม้จะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็อยู่ในเฉพาะคนเจียงหูเท่านั้น การที่สวีชิงเฉินรู้เรื่องนี้ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
สวีชิงเฉินมองหน้านางเรียบๆ “หลิงเถี่ยหาน นายใหญ่แห่งสำนักเยี่ยนอ๋องเป็นสหายข้า”
เยี่ยหลีถึงกับพูดไม่ออก ในใจได้แต่ลอบมองฟ้า เมื่อครู่นางจะคิดวางแผนเล่นงานบัณฑิตขี้โรคอยู่ในใจ เพียงแต่ ถึงอย่างไรบัณฑิตขี้โรคก็ถือเป็นบุคคลที่อันตราย “พี่ใหญ่ หากจัดการอันใดกับบัณฑิตขี้โรค คงไม่มีผลกับความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับหัวหน้าสำนักหลิงหรอกกระมัง”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว “เจ้าคิดจะทำอันใดเขาหรือ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเรียว แล้วจึงเล่าเรื่องดอกปี้ลั่วให้เขาฟัง พอเล่าจบ สวีชิงเฉินนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ดังนั้น เจ้าจึงกังวลว่าหากเขาได้ดอกปี้ลั่วมาแล้วจะไปเล่นงานติ้งอ๋อง จึงคิดที่จะลงมือกำจัดตัวอันตรายที่แฝงอยู่นี้เสียก่อน ขณะเดียวกันก็คิดว่าดอกปี้ลั่วอาจสามารถช่วยรักษาโรคที่ติ้งอ๋องเป็นอยู่ได้ ดังนั้นจึงอยากได้ดอกปี้ลั่วอย่างนั้นหรือ เจ้ามีใจคิดถึงม่อซิวเหยา แสดงว่าเจ้าเป็นพระชายาติ้งอ๋องเต็มตัวแล้ว ท่านพ่อกับท่านอายังเป็นกังวลว่านิสัยของเจ้าจะนิ่งเฉยเกินไปเสียอีก เพียงแต่พวกเขาก็ไม่คาดหวังให้เจ้าให้ความสำคัญกับติ้งอ๋องเกินไปเช่นกัน”
เมื่อได้ยินสวีชิงเฉินพูดเช่นนี้ นางจึงรู้สึกเขินอายขึ้นทันที “พี่ใหญ่ท่านพูดอันใดเช่นนี้ ม่อซิวเหยาดีกับข้ามาตลอด ในเมื่อข้าแต่งงานกับเขาแล้ว ก็ย่อมคาดหวังให้เขามีชีวิตที่ดี หรือว่าพี่ใหญ่หวังให้เขารีบทิ้งน้องสาวผู้น่าสงสารของท่านให้อยู่เป็นแม่หม้ายหรือ”
เมื่อเห็นท่าทางแน่วแน่ของเยี่ยหลี สวีชิงเฉินจึงยิ้มขึ้น เขากระแอมไอขึ้นทีหนึ่งแล้วพูดว่า “เอาเถิด เรื่องของบัณฑิตขี้โรคเจ้าระวังหน่อยก็แล้วกัน ส่วนฟากหลิงเถี่ยหานข้าจะคุยกับเขาเอง จะไม่ให้สำนักเยี่ยนอ๋องมาหาเรื่องเจ้าได้”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ใหญ่” เยี่ยหลีพูดยิ้มๆ
สวีชิงเฉินมองนางแล้วพูดด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก น้องหลีเอ๋อร์ ยามนี้พวกเรามาพูดเรื่องเกี่ยวกับคู่หมั้นของข้ากันจะดีกว่า ใช่สิ เรื่องนี้ข้าได้ให้คนส่งนกพิราบไปส่งข่าวกลับไปยังเมืองหลวงให้คนที่ควรรู้ได้รู้เรียบร้อยแล้วนะ”
“อา…พี่ใหญ่…เหตุใดท่านถึงทำเช่นนี้ ไม่สิ เหตุใดท่านถึงรวดเร็วเช่นนี้!” แค่เยี่ยหลีคิดในใจว่านางจะได้รับจดหมายหลายฉบับด้วยเรื่องเรื่องนี้ แล้วต่อไปจะถูกท่านลุงใหญ่และท่านลุงรองต่อว่าอีกมากมายเพียงใด เพียงคิดนางก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว
สวีชิงเฉินหัวเราะ “อันที่จริงตั้งแต่วันแรกที่ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคู่หมั้นของข้ามาที่หนานจ้าว ข้าก็ให้คนส่งจดหมายกลับไปทันที หรือเจ้าคิดว่าพี่ใหญ่เจ้าถูกกักตัวไว้จึงไม่มีทางที่จะส่งข่าวออกไปด้านนอกได้กัน อย่างมากอีกไม่เกินห้าวันก็คงมีจดหมายตอบกลับมาแล้วล่ะ น้องหลิวอวิ๋น…”
เยี่ยหลีคิดอยากกุมขมับร้องโอดครวญยิ่งนัก พี่ใหญ่ท่านนี่ช่าง…ช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว!