ณ เมืองหลวง
“ท่านอ๋อง จดหมายลับจากอวิ๋นโจวพ่ะย่ะค่ะ!” ในห้องหนังสือ หัวหน้าพ่อบ้านม่อเร่งฝีเท้าเดินนำจดหมายที่ถูกปิดผนึกด้วยรูปเปลวไฟสีดำเข้ามา
ม่อซิวเหยาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมองทันที เมื่อรับจดหมายจากมือหัวหน้าพ่อบ้านม่อแล้วก็รีบดึงออกอ่านอย่างรวดเร็ว เขาก้มหน้าลงอ่านด้วยสีหน้าที่ดูหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศภายในห้องจึงพลอยอึดอัดขึ้นตาม
หัวหน้าพ่อบ้านม่อเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านอ๋อง”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงอย่างอึ้งๆ เขาขยำจดหมายในมือโดยไม่รู้ตัว ก่อนค่อยๆ ปิดตาข่มอารมณ์โกรธในใจลง แล้วม่อซิวเหยาจึงได้กางจดหมายออกในมือออกอีกครั้งแล้วพับลงให้เรียบร้อย แล้วพูดเสียงต่ำว่า “เรียกเฟิ่งจือเหยามาที อีกเรื่อง…เชิญท่านเสิ่นมาด้วย แล้วไปเตรียมตัวที อีกเดี๋ยวข้าจะเข้าวัง”
หัวหน้าพ่อบ้านม่อขมวดคิ้ว ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องกับพระชายา ท่านอ๋องก็มิได้เข้าวังอีกเลย ดูท่าว่าข่าวที่ส่งมาจากทางอวิ๋นโจวคงส่งมาแจ้งว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้นเป็นแน่ ถึงแม้จะยังดูกังวลใจไม่น้อย แต่นั่นเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง หัวหน้าพ่อบ้านม่อจึงได้แต่รับคำ “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปไม่นาน เฟิ่งจือเหยาและเสิ่นหยางก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องหนังสือ เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “ท่านอ๋องมีอันใดจะสั่งการหรือ”
ม่อซิวเหยายื่นจดหมายที่มีรอยยับไปให้เขา แล้วพูดเสียงขรึมว่า “เจ้าลองอ่านดูสิ”
คิ้วคมของเฟิ่งจือเหยาเลิกขึ้นเล็กน้อย เขารู้จักม่อซิวเหยาดีจึงย่อมรู้ว่าสีหน้าและน้ำเสียงของเขาในยามนี้มีความหมายใดแฝงอยู่ จึงมิได้ถามอันใดให้มากความ เขารับจดหมายมาแล้วไปหาที่นั่งนั่งลงอ่าน “มาจากอวิ๋นโจวหรือ ลายมือของท่านชิงอวิ๋นมิใช่หรือ”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาจึงดูหนักใจตามไปด้วย เดิมทีพวกเขาหวังเพียงว่าจะมีคนในตระกูลสวีที่มีความรู้พอสามารถแปลความหมายสิ่งที่เยี่ยหลีส่งกลับมาให้ได้เท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะเดือดร้อนไปถึงท่านชิงอวิ๋น เรื่องที่ทำให้ท่านผู้อาวุโสท่านนี้สนใจได้ย่อมมิใช่เรื่องเล็กๆ เฟิ่งจือเหยานั่งลงอ่านจดหมาย
เสิ่นหยางหันมองม่อซิวเหยาด้วยความสงสัยพร้อมเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องมีเรื่องอันใดหรือ ท่านไม่สบายตรงใดหรือเปล่า” ตัวเสิ่นหยางนั้นเป็นหมอ เขาจึงมิค่อยสนใจเรื่องเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “เดิมทีอีกไม่กี่วันท่านเสิ่นก็จะออกเดินทางไปซีหลิงแล้ว เพียงแต่ยามนี้เกรงว่าคงต้องขอให้เลื่อนการเดินทางออกไปก่อน”
เสิ่นหยางขมวดคิ้ว “แผนของท่านอ๋องมีการเปลี่ยนแปลงหรือ”
ม่อซวิเหยาถอนหายใจ “ไม่ทันการณ์แล้ว ท่านเสิ่น ข้าจะไปหนานเจียง”
“อันใดนะ!” เสิ่นหยางร้องถามเสียงดัง แม้แต่เฟิ่งจือเหยาที่นั่งอยู่อีกด้านก็พลอยอึ้งไปด้วย เขาขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ
เสิ่นหยางไม่เปิดโอกาสให้ม่อซิวเหยาได้พูดอธิบาย เขาพูดกับม่อซวิเหยาด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “ท่านอ๋อง ท่านกำลังล้อเล่นหรืออย่างไร ถึงแม้ตอนนี้ร่างกายท่านจะดีกว่าช่วงฤดูหนาวมาก แต่ท่านอย่าลืมว่าเมื่อเทียบกับฤดูหนาวเท่านั้น! อากาศทางหนานเจียงทั้งชื่นและมีฝนมาก ไม่เหมาะกับสภาพร่างกายของท่าน อีกอย่าง…ตัวท่านเองก็รู้ เมื่อหน้าหนาวปีที่แล้ว เราไม่สามารถควบคุมพิษเย็นในตัวท่านได้ ถึงแม้จะหาวิธีกดมันลงไว้ได้ แต่ร่างกายของท่านในตอนนี้มีแต่จะแย่ลง หากเสี่ยงเดินทางไปที่อื่น เราอาจควบคุมพิษเย็นในร่างกายท่านไม่ได้อีกครั้ง!”
เฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจนัก “อากาศทางภาคใต้ก็อบอุ่นดี มิใช่ว่าจะเหมาะกับร่างกายของท่านอ๋องมากกว่าหรือ”
เสิ่นหยางได้แต่กลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ “หากเป็นเช่นนั้นหลายปีมานี้พวกเราจะทนทรมานกันทำไม ให้ท่านอ๋องไปพักรักษาตัวที่ภาคใต้ก็หมดเรื่องแล้วมิใช่หรือ”
“ท่านเสิ่น” ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว มองเสิ่นหยางด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมพูดเสียงขรึมว่า “ข้าจำเป็นต้องไป” น้ำเสียงที่กดต่ำและแน่วแน่นั้น แสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนใจ
“เหตุผล!” เสิ่นหยางพูดด้วยความโกรธ “ท่านอ๋องโปรดให้เหตุผลว่าเหตุใดท่านจึงไม่เห็นแก่ชีวิตของตนเอง! ตัวข้าเป็นหมอ อย่างน้อยข้าควรมีสิทธิ์รู้ว่าเหตุใดคนไข้ของข้าจึงจะพาตนเองไปตาย”
ม่อซิวเหยาถอนหายใจ เขาให้ความเคารพผู้อาวุโสที่หลายปีมานี้คอยลากเขาขึ้นมาจากนรกครั้งแล้วครั้งเล่าท่านนี้มาก น่าเสียดายก็เพียงเขาไม่อาจไม่ขัดความตั้งใจดีของเขาได้ “นั่นเพราะ…หากข้าไม่ไป อีกหน่อยพวกเราคงได้แต่ต้องตายเพื่อชดเชยความผิด”
เสิ่นหยางอึ้งไป เรื่องที่สามารถทำให้ม่อซิวเหยาพูดเช่นนี้ออกมาได้ ย่อมมิใช่เรื่องที่ตนสามารถขัดขวางได้ หรือบางทีตัวเขาอาจจะขัดขวางไม่ได้แต่แรกแล้วก็เป็นได้ เสิ่นหยางดูเหมือนจะแก่ลงไปทันทีสิบปี พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ว่า “ท่านอ๋อง ถึงแม้ท่านจะไปถึงหนานเจียง แต่ด้วยร่างการของท่านในตอนนี้ก็ไม่มีทางทำอันใดได้” ร่างกายที่ถูกพิษเย็นนั้น อ่อนไหวกับสภาพอากาศด้านนอกที่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก ภาคเหนืออากาศค่อนข้างแห้ง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ร่างกายของม่อซิวเหยาจะอ่อนแออย่างมากและจะเริ่มเจ็บปวดตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าฤดูฝน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทางใต้ที่มีฝนมาก หากม่อซิวเหยาเดินทางไป สภาพร่างกายเขาคงมิได้ดีไปกว่าช่วยฤดูหนาวสักเท่าไร
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง “ข้ารู้ว่าท่านมีวิธี ท่านเสิ่น ข้าไม่สามารถไปหนานเจียงด้วยสภาพเช่นนี้ได้ ข้าจะต้องยืนให้ได้ และไปปรากฏตัวยังหนานเจียงด้วยสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงดี ท่านเข้าใจหรือไม่”
“ท่านบ้าไปแล้ว!” เสิ่นหยางร้องเสียงหลง
เฟิ่งจือเหยาเองก็ถลึงตัวลุกขึ้นเช่นกัน “ท่านอ๋อง เรื่องยังไม่ถึงขั้นนั้น พวกเราออกเดินทางไปหนานเจียงก่อน แล้วถึงเวลา…ถึงเวลาค่อยว่ากันดีหรือไม่”
ม่อซิวเหยามองหน้าเขาด้วยความนิ่งสงบ แล้วพูดว่า “เจ้าน่าจะรู้ หากข้าไปหนานเจียงไม่ได้ แล้วเรื่องเกิดไปถึงขั้นนั้นจริงๆ ก็คงสายไปเสียแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาก้มหน้าลง กำจดหมายในมือแน่นอย่างพูดไม่ออก
เสิ่นหยางส่งเสียงเหอะเบาๆ “ข้าไม่สนใจว่าเรื่องจะไปถึงขั้นใดแล้ว ไม่มีทางก็คือไม่มีทาง! ข้าเป็นหมอ มิใช่ฆาตกร ข้าไม่มีทางให้ท่านทำเช่นนั้นเป็นแน่!”
ม่อซิวเหยาไม่สนใจ พูดกับเฟิ่งจือเหยาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไปเตรียมตัวเถิด ข้าจะไปเข้าวังสักหน่อย”
เฟิ่งจือเหยาหันมองหน้าเขาอยู่พักใหญ่ โดยไม่รู้จะพูดอันใดดี ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้แต่พูดตอบเสียงต่ำว่า “พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”
ม่อซิวเหยาขยับมือเพียงนิดเดียว เก้าอี้รถเข็นก็เลื่อนออกไปด้านนอกทันที เมื่อตอนเข็นผ่านเสิ่นหยาง ยังได้เอ่ยทิ้งท้ายไว้กับเขาเรียบๆ ว่า “ท่านเสิ่น ข้ากลับมาต้องได้เห็นยานะ”
“ข้าไม่มีทางให้ท่าน!” เสิ่นหยางตะโกนเสียงดัง เลิกรักษาภาพลักษณ์สุภาพเรียบร้อยอย่างคนเป็นหมอไปโดยปริยาย น่าเสียดายที่คนที่เขาตั้งใจตะโกนใส่หายออกไปไกลแล้ว
เฟิ่งจือเหยาหันมองเสิ่นหยางที่โกรธจนหน้าแดงลำคอแข็งเกร็ง แล้วแต่ได้กำจดหมายในมือก่อนเดินตามออกไป เสิ่นหยางที่ยังคงโกรธอยู่จึงทำได้เพียงยืนอึ้งอยู่ในห้องหนังสือ พักใหญ่จึงได้ระเบิดเสียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “คนตระกูลม่อของพวกเจ้าเป็นโรคอันใดกัน โลกนี้ไม่มีพวกเจ้าก็ไม่ต้องอยู่กันแล้วหรือไร!”
เฟิ่งจือเหยาหันกลับไปมองห้องหนังสือทีหนึ่ง แล้วจึงเร่งฝีเท้าเดินตามม่อซิวเหยาไป ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเขาเรียบๆ ว่า “เจ้าอยากจะพูดอันใดหรือ”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไปพักหนึ่ง แล้วในที่สุดก็ได้แต่ส่ายหน้า “ข้ามิได้อยากพูดอันใด ท่านอ๋องได้โปรดให้ข้าติดตามไปด้วย”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “เรื่องในเมืองหลวงจำเป็นต้องมีเจ้าคอยจัดการ”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าดูห้าวหาญขึ้นหลายส่วนอย่างที่ปกติมิได้เห็น “ท่านอ๋อง เฟิ่งซานเป็นทหาร ความปรารถนาของข้าคือการได้อยู่ในสนามรบ มิใช่คอยควบคุมองครักษ์ลับหรือการรวบรวมข่าวสารพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป เขาหันมองม่อซิวเหยา เวลาล่วงเลยมานานเกินไป จนเขาเกือบลืมไปแล้ว เมื่อยามพวกเขายังเป็นเด็กที่มีความดื้อรั้น เฟิ่งจือเหยาในชุดสี่แดงเคยยืนพูดใส่หน้าเขาว่า วันหนึ่งเขาจะเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ที่รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งให้ได้ จากนั้นพอเฟิ่งจือเหยาอายุได้สิบสามปีก็ละทิ้งชีวิตอันแสนสะดวกสบายในตระกูลเฟิ่ง แล้วออกติดตามเขาบุกน้ำลุยไฟไปด้วยกัน บางทีหากมิใช่เพราะเรื่องในครานั้น เฟิ่งจือเหยาอาจได้เป็นแม่ทัพใหญ่อย่างที่เขาคาดหวังไว้แล้วก็เป็นได้ มิใช่อย่างตอนนี้ที่ต้องอยู่แต่ในเมืองหลวง ทำให้ทุกคนเห็นว่าเขาเป็นเพียงคุณชายเจ้าสำราญที่เที่ยวเล่นไปเรื่อยเปื่อย เพื่อปกปิดตัวตนที่เป็นถึงผู้บังคับบังชาองครักษ์ลับทั้งหมดเช่นนี้
ผ่านไปพักใหญ่ ม่อซิวเหยาถึงได้พูดเสียงเบาขึ้นว่า “เอาเถิด หากพวกเขาทำเช่นนั้นจริง…พวกเขาก็ควรรู้ว่าเจ้ามีความเกี่ยวข้องเช่นไรกับตำหนักติ้งอ๋อง ส่วนเรื่ององครักษ์ลับนั้น ข้าจะหาทางจัดการเอง” สมัยนั้นเฟิ่งจือเหยาติดตามเขาไปออกรบโดยไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง คนที่รู้เรื่องเขาจึงมีอยู่น้อยนัก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเลย
เฟิ่งจือเหยาดีใจเป็นอย่างมาก “ขอบคุณท่านอ๋อง!”
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ ด้วยความยินดี “ข้าต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า อีกเรื่อง รีบให้ม้าเร็วส่งจดหมายไปให้อาหลี ให้นางระวังซูม่านหลิน!”