ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 90-1 รักษาเมืองหย่งหลิน

          ด้วยเพราะเวลาในการจัดสร้างค่อนข้างกระชั้นชิด ห้องโถงใหญ่จึงดูเรียบง่าย ซย่าซูจ้องมองชายหนุ่มในชุดดำที่กำลังมองสำรวจห้องโถงใหญ่ด้วยท่าทีสบายๆ กับทหารม้าในชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ คอยอารักขาด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชาย ยามนี้มีอันใด สามารถสนทนากันได้แล้วกระมัง ข้ายังมิได้สอบถามว่าพวกท่านเป็นผู้ใดมาจากที่ใดกันเลย”

 

 

เยี่ยหลีหันมองทั้งสองคน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มิน่าท่านแม่ทัพมู่หรงถึงได้ส่งให้ท่านทั้งสองมาปกป้องเมืองหย่งหลิน นายทหารอวิ๋นเก่งกาจกล้าหาญ นายทหารซย่าสุขุมรอบคอบ ช่างเป็นการทำงานร่วมกันที่หาได้ยากยิ่ง”

 

 

ซย่าซูยิ้มขื่น “วันนี้หากมิได้คุณชายและทุกท่านมาช่วยได้ทันเวลา เกรงว่าซย่าซูกับอวิ๋นถิงคงต้องตายเพื่อชดเชยความผิดเสียแล้ว” สายตาเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เยี่ยหลี เขายังไม่ลืมว่าชายหนุ่มตรงหน้ายังมิได้บอกถึงฐานะของตน

 

 

           เยี่ยหลีจึงได้แต่ยกมือขึ้นดึงปิ่นที่ตรึงเส้นผมบนศีรษะออก ปล่อยให้ผมดำขลับลงมายาวเคลียบ่าพร้อมยิ้มเรียบๆ “ข้าคือชายาติ้งอ๋อง”

 

 

           ชายาติ้งอ๋องหรือ อวิ๋นถิงและซย่าซูหันมาสบตากัน สถานการณ์ตรงหน้าถึงแม้จะเกินกว่าที่คาดการณ์ไปบ้าง แต่ก็ฟังดูสมเหตุสมผลทีเดียว เพราะนอกจากติ้งอ๋องแล้ว ก็มีเพียงชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่สามารถสั่งให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเคลื่อนพลได้

 

 

แต่ชายาติ้งอ๋องที่มีข่าวว่าหายตัวไป เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่ด่านซุ่ยเสวี่ยได้ หนำซ้ำยังได้นำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาช่วยเสริมทัพที่เมืองหย่งหลินอีก อีกอย่าง…ได้ยินว่าชายาติ้งอ๋องเป็นบุตรสาวเจ้ากรมอากรในราชสำนักปัจจุบัน ซ้ำยังเป็นหลานสาวของท่านชิงอวิ๋น คุณหนูชนชั้นสูงเช่นนั้นเหตุถึงได้…อวิ๋นถิงรู้สึกมึนงงหนักเข้าไปใหญ่ จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่มิได้พูดอันใด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซย่าซูที่นิ่งขรึมเสียยิ่งกว่าตน

 

 

ซย่าซูเองก็ตกใจไม่น้อย หลายอึดใจกว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้ “พระชายา…มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “เดิมที่ก็มิได้อยู่ที่นี่หรอก แต่เมื่อได้ยินว่าด่านซุ่ยเสวี่ยถูกปิดล้อมจึงรีบมา โชคดีที่มาทัน หากทั้งสองท่านไม่เชื่อในฐานะของข้า…คุณหนูมู่หรง บุตรสาวของท่านแม่ทัพมู่หรงอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยใช่หรือไม่”

 

 

สีหน้าซย่าซูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ตอบด้วยความกระอักกระอ่วนว่า “ข้าน้อยมิได้ไม่เชื่อในฐานะของพระชายา เพราะถึงอย่างไร หน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด เพียงแต่…”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจความหมายของนายทหารซย่า ไม่ต้องตื่นตกใจไป เชิญทั้งสองท่านนั่งลงก่อน”

 

 

           ซย่าซูและอวิ๋นถิงสบตากัน แล้วจึงเอ่ยขอบคุณก่อนนั่งลง เดิมทีการที่หน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาช่วยเป็นกองหนุนนั้น พวกเขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่ตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าคนที่นำทัพหน่วยเฮยอวิ๋นฉีมาคือชายาติ้งอ๋อง ทั้งสองจึงไม่รู้ว่าจะแสดงสีหน้าอย่างไร และควรจะรู้สึกเช่นไรดี

 

 

เรื่องที่ยามนี้ติ้งอ๋องไม่สามารถเดินได้นั้นทุกคนต่างรู้ดี หากต้องการเคลื่อนพลหน่วยเฮยอวิ๋นฉี คงมีแต่ชายาติ้งอ๋องเท่านั้นที่ทำได้ แต่หากหญิงสาวที่บอบบางเช่นนี้มีความสามารถบัญชาการหน่วยทหารที่แข็งแกร่ง ทั้งยังนำพวกเขามาต้านทัพกบฏจำนวนหลายแสนคนของหลีอ๋องได้จริง ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีอยู่ในหัวทั้งสองมาก่อน

 

 

“ข้าน้อยขอเข้าเฝ้าพระชายา” มีเสียงองครักษ์ลับสองและสามดังขึ้นที่หน้าประตู ซย่าซูและอวิ๋นถิงจึงชะงักไป พร้อมหันมองไปทางด้านหน้าประตูด้วยควมระมัดระวัง ชายสองสามคนที่แต่งกายในเครื่องแบบทหารธรรมดาทั่วไปเดินเข้ามา ถึงแม้เครื่องแบบทหารของต้าฉู่จะมีเพียงไม่กี่แบบ แต่ซย่าซูมองปราดเดียวก็รู้ว่าลวดลายที่อยู่บนชุดทหารนั้นเป็นของทหารหลิงโจวที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหลีอ๋อง คนกลุ่มนี้จะต้องมิใช่คนที่ทหารเฝ้าประตูเมืองปล่อยให้เข้ามาอย่างแน่นอน

 

 

           “ลำบากพวกเจ้าแล้ว จัดการเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

           องครักษ์ลับสองเดินหน้าเข้ามาก้าวหนึ่ง “ตามบัญชาของพระชายา สำเร็จโทษผู้ว่าการเขตหย่งโจวแล้วขอรับ น่าเสียดายก็เพียงคนของหลีอ๋องมีจำนวนมากเกินไป ข้าน้อยจึงมิอาจนำหัวของผู้ว่าการเขตหย่งโจวมาได้ ขอพระชายาโปรดอภัยด้วย”

 

 

เยี่ยหลียกมือขึ้น “ไม่เป็นไร พวกเจ้าทำได้ดีมาก ออกไปพักก่อนเถิด” ทุกคนรับบัญชาพร้อมถอยออกไป

 

 

อวิ๋นถิงเอ่ยถามด้วยความตกใจว่า “พวก…พวกท่านสังหารผู้ว่าการเขตหย่งโจวหรือ!”

 

 

           “อวิ๋นถิง อย่าเสียมารยาท” ซย่าซูเอ่ยเตือนเสียงขรึม ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าหญิงสาวตรงหน้าคือชายาติ้งอ๋องที่แท้จริง เช่นนั้นคงยังไม่ต้องพูดถึงว่านางสามารถบัญชาการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและกองทัพหย่งหลินได้หรือไม่ แต่อย่างไรนางก็มิใช่คนที่พวกเขาจะเสียมารยาทด้วยได้ ถึงแม้บทสนทนาเมื่อครู่จะทำให้เขาตกใจไม่น้อยเช่นกันก็ตาม

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าเรียบๆ “ผู้ว่าการเขตหย่งโจวไม่คิดที่จะทำคุณเพื่อประเทศ ยอมศิโรราบให้แก่ฝ่ายหลีอ๋อง หากไม่สำเร็จโทษเขาให้เป็นเยี่ยงอย่าง เกรงว่าขุนนางคนอื่นๆ หากถูกเขาหว่านล้อมจนใจอ่อน ผลจะออกมาเป็นแบบเดียวกัน”

 

 

ซย่าซูพยักหน้า “ที่พระชายากล่าวล้วนถูกต้อง หากมิใช่เพราะผู้ว่าการเขตหย่งโจวแปรพักตร์ไปเข้ากับหลีอ๋อง คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่เมืองหย่งหลินถูกปิดล้อมเช่นวันนี้”

 

 

           อวิ๋นถิงเหลือบมองซย่าซู แล้วหันมองเยี่ยหลี ก่อนถามขึ้นว่า “พระชายา กองหนุนจะมาถึงเมื่อใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           เยี่ยหลีนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่แคว้นหนานจ้าว เมื่อได้ยินข่าวเรื่องด่านซุ่ยเสวี่ยก็รีบเดินทางกลับมา เพียงแต่…ใต้เท้าอู๋ผู้บัญชาการทหารเขตยงโจวถูกลอบสังหารที่แม่น้ำอวิ๋นหลัน เกรงว่าภายในสามสี่วันนี้คงยังไม่มีกองหนุนมาช่วยเสริม”

 

 

           พื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันสามารถรักษาพื้นที่ตนเองไว้ได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องกองหนุนเลย แต่ทางตอนเหนือของแม่น้ำ มีเพียงเขตยงโจวที่อยู่ใกล้เขตหย่งโจวมากที่สุด เมื่อกองทัพยงโจวถูกลอบโจมตีเช่นนี้ กองทัพของเขตอื่นหากมิมีราชโองการจากราชสำนักแล้ว เป็นไปได้สูงมากที่จะไม่เคลื่อนทัพลงมาช่วย

 

 

           อวิ๋นถิงและซย่าซูเป็นผู้บัญชาการทหารที่รักษาการณ์เมืองหย่งหลิน มิใช่พลทหารธรรมดา ดังนั้นจึงไม่คิดที่จะปิดบังพวกเขา หากคนที่เป็นผู้บัญชาการยังไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ที่แท้จริงแล้ว เรื่องอื่นคงไม่ต้องพูดถึง

 

 

           “บ้าเอ๊ย!” อวิ๋นถิงก่นด่าเสียงต่ำ ต่อให้นับรวมหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจำนวนสองพันนายแล้ว พวกเขาตอนนี้ยังมีกำลังพลอยู่ไม่ถึงสองหมื่นนายดี ต่อให้พวกเขาไม่กลัวตาย แต่หากตายแล้วพวกเขาสามารถรักษาเมืองหย่งหลินไว้ได้ เขาก็ยินดีที่จะตายอยู่ในสนามรบโดยทันที

 

 

           ซย่าซูค่อยๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะในใจ แล้วจึงเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอเชิญพระชายาเดินทางออกจากเมืองหย่งหลินเพื่อกลับไปยังเมืองหลวงเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           “ไปจากที่นี่หรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม

 

 

           ซย่าซูยิ้มขื่น “เรียนพระชายาตามตรง ถึงแม้พวกข้าสองคนจะได้ให้คำสัตย์ต่อหน้าท่านแม่ทัพมู่หรง แต่เมืองหย่งหลิน….ก็มีกำลังพวกข้าเพียงสองคนคอยดูแล รักษาไว้ได้นานเท่าไรก็เท่านั้น เรื่องราวระหว่างพระชายากับหลีอ๋อง ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินมาบ้าง หากถึงตอนนั้น…ดังนั้นจึงขอเชิญพระชายาไปจากที่นี่เสียก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีระบายยิ้มเต็มใบหน้า “นายทหารซย่า เจ้าคิดว่าที่ข้ามาที่หย่งหลินเพื่อมาเดินเล่นแล้วก็จากไปอย่างนั้นหรือ อีกอย่าง…หากข้าไปแล้ว ต่อให้ทิ้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไว้ให้เจ้า เจ้าจะสั่งการพวกเขาได้หรือ”

 

 

ซย่าซูมองเยี่ยหลีด้วยความอับอาย เขามีความคิดที่อยากจะให้พระชายาทิ้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไว้คอยช่วยพวกเขารักษาเมืองจริง ทว่าที่ชายาติ้งอ๋องพูดก็ถูกต้อง หากฮ่องเต้องค์ก่อนๆ ยังมิมีผู้ใดสามารถสั่งการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้ เช่นนั้นนายทหารธรรมดาๆ เช่นเขาจะสามารถสังการหน่วยเฮยอวิ๋นฉีได้อย่างไร

 

 

เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองท่าทางลังเลใจของเขา แล้วจึงยิ้ม “ทำไมหรือ ข้าอยู่รักษาเมืองกับพวกเจ้าทำให้พวกเจ้ารู้สึกขายหน้ามากหรือ”

 

 

           “เรื่องนี้…” ซย่าซูถึงกับพูดไม่ออก อวิ๋นถิงปากไวกว่า พูดในสิ่งที่ใจคิดว่า “พระชายา ในสนามรบนั้นอันตรายเกินไป ท่านมีฐานะสูงส่ง ซ้ำยังเป็นคุณหนูตระกูลชั้นสูง พวกเราจะให้ท่านอยู่รักษาเมืองกับพวกเราได้อย่างไร มิเช่นนั้นท่านลองไปพูดกับพี่น้องหน่วยเฮยอวิ๋นฉีให้พวกเราหน่อยเถิด ทิ้งพวกเขาไว้ให้ช่วยพวกเรารักษาเมืองก็พอ เช่นนี้ตัวท่านก็จะปลอดภัย พวกเราก็สามารถรักษาเมืองหลวงไว้ได้ดีขึ้น”

 

 

เยี่ยหลีหัวเราะพรืดออกมาจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก “นายทหารอวิ๋น เมื่อครู่ข้าขี่ม้าเข้ามาในเมืองด้วยตนเอง มิได้นั่งเกี้ยวเข้ามาใช่หรือไม่”

 

 

อวิ๋นถิงอึ้งไป แล้วจึงได้นึกขึ้นมาได้ว่า ในสถานการณ์วุ่นวายเมื่อครู่ เขาไม่เห็นผู้ใดคอยคุ้มครองผู้ใดเป็นพิเศษจริงๆ ดังนั้นหญิงสาวที่รูปร่างสูงไม่ถึงหัวไหล่เขาผู้นี้ สู้รบมาท่ามกลางทหารนับพันนับหมื่นร่วมกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีด้วยตนเองเชียวหรือ!

 

 

           ซย่าซูกระแอมไอขึ้น ประสานมือคารวะเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “ข้าเสียมารยาทแล้ว ท่านแม่ทัพมู่หรงอยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ย เชิญพระชายาไปพบท่านแม่ทัพมู่หรงเสียก่อนค่อยวางแผนต่อดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน สองวันนี้ทหารฝ่ายกบฏถูกตีจนล่าถอยออกไป ตอนนี้ถอยไปไกลกว่ายี่สิบลี้แล้ว หากยังไม่สืบทราบโดยละเอียดก่อน เชื่อว่าม่อจิ่งหลีไม่มีทางรีบร้อนบุกกลับเข้ามาอีกเป็นแน่ ในเมื่อข้ามาแล้วจะไม่ไปพบท่านแม่ทัพมู่หรงก็คงกระไรอยู่ เช่นนั้นไปที่ด่านซุ่ยเสวี่ยก่อนก็แล้วกัน”

 

 

อวิ๋นถิงเอ่ยปากอาสาอย่างแข็งขันว่า “ข้าน้อยจะไปส่งพระชายาเองพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

ซย่าซูเหลือบมองอวิ๋นถิงด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ประหนึ่งรู้ถึงความคิดในใจของเขา จึงยิ้มขึ้นอย่างเข้าใจ “ข้าน้อยจะรั้งอยู่ที่เมืองหย่งหลินเองพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ลำบากนายทหารซย่าแล้ว ข้าจะทิ้งหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไว้ให้คอยช่วยเหลือ นายทหารซย่าเพิ่มกำลังรักษาการณ์กำแพงเมืองด้วย”

 

 

ซย่าซูยินดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นที่รู้กันดีว่าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเชี่ยวชาญการบุกโจมตี เช่นเดียวกัน คนที่เชี่ยวชาญการบุกโจมตีย่อมเข้าใจว่าจุดอ่อนของการป้องกันนั้นอยู่ที่ใด และการที่ได้สังเกตการณ์หน่วยเฮยอวิ๋นฉีในระยะประชิดนั้นถือเป็นความภาคภูมิใจของนายทหารทุกคน

 

 

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อวิ๋นถิงจึงเกิดลังเลใจขึ้นมาเล็กน้อย ว่าการได้เห็นชายาติ้งอ๋องกับท่านแม่ทัพมู่หรงวางแผนรบกัน หรืออยู่เพื่อคอยสังเกตการณ์หน่วยเฮยอวิ๋นฉี อย่างใดจะน่าสนใจกว่ากัน

 

 

เมื่อเห็นเยี่ยหลีลุกยืนขึ้นแล้ว นายทหารอวิ๋นถิงก็นึกกำหมัดในใจ การเอาใจชายาติ้งอ๋องอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องทำ หากเสร็จการศึกครั้งนี้เขาอาจขอให้พระชายารับเขาเข้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีก็เป็นได้ ต่อให้เป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยเขาก็ยอม!

ชายาเคียงหทัย

ชายาเคียงหทัย

หลังถูกน้องสาวร่วมบิดาแทงข้างหลัง ทำให้ เยี่ยหลี คุณหนูสามแห่งจวนตระกูลเยี่ยถูกถอนหมั้นจาก ม่อจิ่งหลี ท่านอ๋องรูปงามแห่งเมืองหลวง แต่นางก็ยังมองโลกในแง่ดี หวังว่าตนจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักสองสามปี ทว่าเหตุไฉนสามวันให้หลัง ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานสมรสให้นางอีกครั้งเล่า! การแต่งงานครั้งนี้แม้ฉากหน้าจะดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก แต่คนที่นางต้องอภิเษกสมรสด้วยกลับเป็น ม่อซิวเหยา ท่านอ๋องพิการไร้ประโยชน์ อีกทั้งยังมีรูปโฉมอัปลักษณ์ เล่าลือกันว่าเขาเคยผ่านการแต่งงานมาแล้วถึงสองครา ทว่าหญิงสาวทั้งสองคนที่เขาสมรสด้วยกลับต้องมีอันเป็นไปภายหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน แต่ช้าก่อน…บุรุษที่แสนอ่อนโยนและเก่งกาจตรงหน้านางนี้น่ะหรือคือม่อซิวเหยา บุรุษที่กล่าวกันว่าเป็นคนน่ากลัว ไร้ค่า ไม่ได้เรื่องได้ความคนนั้น นี่คงมีอะไรที่เข้าใจผิดไปแล้วกระมัง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset