เมื่อกลับถึงเมืองหย่งหลินก็เป็นช่วงค่ำแล้ว โชคดีที่ทุกอย่างในเมืองหย่งหลินไม่จำเป็นต้องให้ม่อซิวเหยาเข้ามาจัดการสักเท่าไร เฟิ่งจือเหยาที่ถูกทิ้งไว้ จัดการทุกอย่างจนเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว
เยี่ยหลีมองเฟิ่งจือเหยาที่เปลี่ยนจากการใส่ชุดหรูหราสีแดง มาอยู่ในชุดสีขาวขลิบเขียวดูทะมัดทะแมงและคล่องเขาด้วยความใคร่รู้ เขาดูเหมือนเป็นคนละคนกับเฟิ่งจือเหยาเมื่อคราวที่อยู่ในเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันเฟิ่งจือเหยาก็กำลังมองสำรวจเยี่ยหลีที่ยังคงอ่อนช้อยและสบายๆ เช่นเดิมด้วยความสงสัย เขามิอาจวาดเครื่องหมายเท่ากับให้กับหญิงสาวที่งดงามและงามสง่าตรงหน้า กับหญิงสาวที่ตีรันฟันแทงสังหารศัตรูในสนามรบอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมได้เลยจริงๆ
ม่อซิวเหยาจับจูงเยี่ยหลีให้มานั่งลงในห้องหนังสือ ก่อนหันไปชี้เก้าอี้ข้างๆ เฟิ่งจือเหยาแล้วถามว่า “เหลิ่งฮ่าวอวี่ยังมาไม่ถึงหรือ”
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “เพิ่งมาถึง กำลังไปเปลี่ยนชุดสักครู่จะตามมา ระหว่างทางเขาถูกคนตามฆ่า ตอนมาสภาพจึงดูย่ำแย่ไม่น้อย”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วมองเฟิ่งจือเหยาด้วยความสงสัย เฟิ่งจือเหยาหัวเราะ “ก็เขาเล่นทำเป็นอวดร่ำอวดรวยแย่งซื้อเสบียงอาหารของหลีอ๋อง ไม่เท่ากับรอให้คนมาปล้นหรือ เพียงแต่ผลที่ได้มาก็ไม่เลวทีเดียว อย่างน้อยๆ เขากว้านซื้อเสบียงอาหารของพื้นที่ทางตอนใต้แม่น้ำมาได้ทั้งหมดกว่าสามส่วน ตอนนี้ต่อให้ติ้งอ๋องวกกลับไปตีเมืองต่างๆ ทางตอนใต้แม่น้ำ เกรงว่าไม่นานคงได้ขาดแคลนเสบียงอาหาร ดังนั้น หลีอ๋องถึงได้ส่งคนมาตามฆ่าเขาไปทั่วอย่างไรเล่า”
“มีเสบียงอาหารจำนวนมากเช่นนั้นแล้วเขาจะจัดการอย่างไรหรือ” พื้นที่ทางตอนใต้แม่น้ำได้ชื่อว่าเป็นยุ้งฉางของต้าฉู่ เสบียงอาหารสามส่วนของพื้นที่ทางใต้ของแม่น้ำนั้นมิใช่ปริมาณน้อยๆ เลย
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “เมื่อสถานการณ์ทางตอนใต้แม่น้ำเกิดวุ่นวาย ราคาอาหารย่อมพุ่งสูงขึ้น ไม่มีทางขายไม่ได้หรอก ต่อให้ขายไม่ได้ พวกเราก็ยังมีคนอีกหลายแสนคนที่ยังต้องกินข้าวอยู่”
ไม่นาน เหลิ่งเฮ่าอวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู บนใบหน้าหล่อเหลายังมีแผลที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานอยู่ด้วย โชคดีที่ดูแล้วไม่หนักหนาเท่าไรนัก ไม่น่าจะเป็นรอยแผลเป็น “ท่านอ๋อง พระชายา”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้ามาที่นี่กว่าครึ่งปี ครานี้เกิดอันใดขึ้นที่หลิ่งโจวหรือ เหตุใดม่อจิ่งหลีถึงได้ตัดสินใจยกทัพกะทันหันเช่นนี้”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เหลือบมองม่อซิวเหยาด้วยความสงสัย “ท่านอ๋องมิได้นำคนเดินทางลงใต้มาด้วยรู้ว่าหลีอ๋องจะก่อกบฏหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าตั้งใจมาด้วยเรื่องเรื่องหนึ่งของหนานเจียง ออกเดินทางได้ไม่เท่าไรก็ได้รับข่าวว่าม่อจิ่งหลีเคลื่อนทัพ ต่อให้ม่อจิ่งหลีไร้สมองเพียงใดก็น่าจะรู้ว่า เขายังเตรียมการได้ไม่พร้อม”
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “ข้ากลับคิดว่าครานี้ม่อจิ่งหลีเลือกเวลาได้ดียิ่งนัก โจมตีพวกเราในขณะที่ยังตั้งตัวไม่ทัน อย่าว่าแต่พวกเรามาช้ากว่านี้ไปวันหนึ่งเลย ต่อให้มาช้าไปครึ่งวัน เกรงว่าคงรักษาด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ไมได้”
ม่อซิวเหยาย่นคิ้วกล่าวว่า “หากเขาเตรียมการพร้อมแล้วจริง ก็ไม่ควรที่จะเร่งร้อนบุกโจมตีด่านซุ่ยเสวี่ยเช่นนี้ เขาสามารถแบ่งทหารเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคอยขวางแม่ทัพมู่หรงที่ด่านซุ่ยเสวี่ยไว้ อีกส่วนสามารถยกทัพไปทางทิศตะวันตกได้ ด้วยภาคตะวันตกเฉียงใต้สงบเรียบร้อยมาโดบตลอด จึงไม่มีทหารรักษาการณ์อยู่มากนัก ขอเพียงเขาสามารถยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันได้ พวกเราเองอย่าว่าแต่ทหารไม่กี่หมื่นคนนี้เลย ต่อให้มีกำลังพลสองสามแสนนาย หากคิดที่จะข้ามแม่น้ำอวิ๋นหลันไปปราบก็คงมิใช่เรื่องง่าย แม่ทัพมู่หรงรักษาการณ์อยู่ที่ด่านซุ่ยเสวียเพียงคนเดียว ไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้านไว้ไม่ได้ ถึงตอนนั้น…ม่อจิ่งหลีจะได้ประโยชน์อันใด ไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งผลประโยชน์กับหนานจ้าวเลยแม้แต่น้อย”
“เขาเร่งร้อนจะยกทัพตั้งแต่ยังไม่ทันเตรียมการให้ดี…หรือนั่นเป็นเพราะฮ่องเต้คิดจะจัดการเขา” เหลิ่งเฮ่าอวี๋เอ่ยคาดเดาขึ้น
เฟิ่งจือเหยาส่ายหน้า “ไม่ถูก หากฮ่องเต้ต้องการจัดการเขาจริง ไม่มีทางปล่อยเขาออกจากเมืองหลวง”
เหลิ่งฮ่าวอวี่พยักหน้า นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “การที่หลีอ๋องเคลื่อนพลนั้น ถือว่ากะทันหันจริงๆ เมื่อตอนที่เขากลับถึงหลิ่งโจวใหม่ๆ นั้นไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เลย แต่จู่ๆ สามวันให้หลังกลับเริ่มเคลื่อนพล ตอนนั้นข้าเองก็ตกใจไม่น้อย”
เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “ที่จู่ๆ ท่านอ๋องรีบมานี่ด้วยเรื่องอันใดหรือเพคะ”
ม่อซิวเหยาหันมองนาง หยิบจนหมายฉบับหนึ่งจากหน้าอกออกส่งให้นาง
เยี่ยหลีรับไปดู เห็นเป็นจดหมายที่ตนส่งกลับไปก่อนหน้านี้ และอีกฉบับหนึ่งเป็นจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของท่านตา นางก้มหน้าอ่านอยู่พัหนึ่ง ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจว่า “ซูม่านหลิน ธิดาเทพแห่งหนานเจียงเป็นทายาทของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนหรือ!” นี่เป็นเรื่องที่เยี่ยหลีไม่เคยคาดคิดมาก่อน นี่มันน้ำเน่าเกินไปแล้ว นางเคยคาดเดาว่าซูม่านหลินมีฐานะอื่นหรือไม่ แต่การที่ธิดาเทพแห่งหนานเจียงเป็นทายาทของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน ส่วนม่อจิ่งหลีเป็นน้องชายร่วมอุทรกับฮ่องเต้ราชวงศ์ปัจจุบัน จากนั้นทั้งสองก็ร่วมกันวางแผนก่อกบฏอย่างนั้นหรือ
“ที่หนานจ้าวสถาปนาแคว้นขึ้นมาได้มิใช่เพราะทรยศต่อราชวงศ์ก่อนหรือ เหตุใดถึงให้ทายาทของฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนมาเป็นธิดาเทพได้” ที่หนานจ้าวอ๋องจัดการกับการกระทำของซูม่านหลินเช่นนั้น ดูไม่น่าจะไม่รู้ว่านางคือผู้ใด
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เครื่องประดับที่เจ้าส่งกลับมานั้น เป็นสมบัติตกทอดขององค์หญิงเจาหยางแห่งราชวงศ์ก่อนที่แต่งงานไปกับชนเผ่าหนึ่งทางหนานเจียง”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เช่นนั้นแล้วอย่างไร เรื่องขององค์หญิงเจาหยางกับเรื่องที่หนานจ้าวสถาปนาแคว้นนั้นห่างกันเป็นร้อยปีได้กระมัง
เฟิ่งจือเหยาเอ่ยปากอธิบายว่า “องค์หญิงเจาหยางพระองค์นี้เป็นหญิงสาวที่แปลกอยู่พอสมควร ว่าวันว่าก่อนที่นางจะเสกสมรสออกไปเคยร่วมบริหารแคว้นมาก่อน เพียงแต่ฮ่องเต้เกาจงในสมัยนั้นไม่ชื่นชอบให้หญิงสาวเข้ามายุ่มย่ามกับการบริหาร จึงได้เรียกนางมาอบรม หลังจากนั้นจึงได้ส่งนางไปเสกสมรสกับชนเผ่าทางหนานเจียง ถึงแม้ตั้งแต่นั้นมา องค์หญิงเจาหยางจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ชนเผ่าที่พระนางเสกสมรสไปด้วยนั้น ด้วยเพราะมีฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อนคอยให้ความช่วยเหลือ จึงกลายเป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในหนานเจียง ขณะเดียวกันก็เป็นบรรพบุรุษของราชวงศ์หนานจ้าว ราชวงศ์หนานจ้าวชื่นชอบวัฒนธรรมของจงหยวน ถึงแม้ความสัมพันธ์กับราชวงศ์ก่อนจะไม่ดีนัก แต่กลับมีความสัมพันธ์ที่ดีกับ…ขุนนางกบฏของราชวงศ์ก่อน ตั้งแต่หนานจ้าวสถาปนาแคว้นจนถึงราชวงศ์ก่อนล่มสลาย อย่างน้อยคนจากราชวงศ์ก่อนที่พวกเขาเคยรับไว้เท่าที่มีหลักฐานสามารถติดตามได้ อย่างน้อยก็มีพระโอรสสามพระองค์ องค์หญิงสองพระองค์ และท่านอ๋องหนึ่งองค์ บ้างก็ด้วยเพราะก่อการกบฏแต่ล้มแหลว บ้างก็ด้วยเพราะถูกใส่ร้ายจนต้องลี้ภัยไปยังหนานจ้าว แต่สิ่งที่ทุกคนต่างเหมือนกันก็คือ ทุกคนจะได้แต่งงานกับคนที่เป็นทายาทสายตรงของราชวงศ์หนานจ้าว ส่วนคนสุดท้ายที่พวกเขารับตัวไว้นั้น ถึงแม้ในบันทึกจะมีการเขียนไว้ค่อนข้างคลุมเครือ แต่พวกเราคาดเดากันไว้ว่าน่าจะเป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์ก่อน”
“ดังนั้น พวกเจ้ากำลังจะบอกว่าธิดาเทพแห่งหนานเจียงอาจเป็นทายาทที่หลงเหลืออยู่ของรัชทายาทแห่งราชวงศ์ก่อนหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม ในหัวเต็มไปด้วยความมึนงง หากเจ้าคิดว่าเรื่องราวในหนังสือนั้นน้ำเน่ามากแล้ว เรื่องจริงนั้นน้ำเน่าเสียยิ่งกว่า
เฟิ่งจือเหยายิ้ม “สามปีหลังจากที่ราชวงศ์ก่อนล่มสลาย พระธิดาแห่งหนานจ้าวได้เสกสมรสไปกับชายจงหยวนที่ฐานะไม่ชัดเจนคนหนึ่ง ห้าปีหลังจากนั้นหนานจ้าวคอยรุกรานแผ่นดินต้าฉู่มาโดยตลอด จนเมื่อพระธิดาแห่งหนานจ้าวกับพระสวามีสิ้นพระชนย์ลง จึงค่อยๆ สงบขึ้น แต่หลายปีที่ผ่านมานี้ ทั้งสองแคว้นเดี๋ยวทำศึกเดี๋ยวสงบกันมาตลอดไม่ได้หยุด ขอเพียงมีโอกาส หนานจ้าวก็จะคิดหาทางบุกรุกเข้ามาในพื้นที่จงหยวนทันที”
เยี่ยหลีถึงกับนวดหน้าผาก “เข้าใจแล้ว ดังนั้นเมื่อมีสายเลือดที่เข้มข้นของราชวงศ์ก่อน พวกเขาจึงคิดอยากที่จะยึดพื้นที่คืนเพื่อเข้าปกครองพื้นที่ภาคกลางเพื่อราชวงศ์ก่อนอย่างนั้นหรือ”
“ยึดครองพื้นที่เพื่อราชวงศ์ก่อนอาจเป็นเรื่องหลอก แต่เรื่องที่คิดอยากปกครองดินแดนจงหยวนนั้นเป็นเรื่องจริงแน่นอน” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า
เยี่ยหลีมองม่อซิวเหยาด้วยสายตาประหลาด “ต่อให้เป็นเช่นนั้น ท่านก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนมาเช่นนี้นี่ ในเมื่อพวกเขาเตรียมตัวมาแล้วเป็นร้อยปี จะเตรียมตัวอีกสักสิบปีก็ไม่น่าเป็นไร”
ม่อซิวเหยามองนาง “หากครานี้ไม่มีเรื่องการยกทัพของม่อจิ่งหลี เจ้าคิดจะทำอันใด”
เยี่ยหลีอึ้งไป คิดขึ้นมาได้ว่าตนคิดจะไปลองดูที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง “มีอันตรายหรือ”
สีหน้าม่อซิวเหยาไม่สู้ดีนัก “เจ้าคิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียงที่ว่านั้นมีปัญหาอันใดหรือ”
เยี่ยหลีกะพริบตา รอให้เขาอธิบาย