ริมแม่น้ำอวิ๋นหลัน เมื่อเทียบกับกองทัพที่ยังตั้งค่ายเผชิญหน้ากันอยู่ที่เมืองหย่งกลินแล้ว คณะของเยี่ยหลีดูจะผ่อนคลายกว่ามาก
เดินทางออกจากเมืองหย่งหลินได้ไม่เท่าไร เฟิ่งจือเหยาก็นำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีเคลื่อนพลไปที่ใดแล้วไม่รู้ เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาจึงนำบรรดาองครักษ์พร้อมด้วยเสิ่นหยางที่เพิ่งเดินทางมาถึงติดตามกลับเมืองหลวงไปด้วย
น่าสงสารก็เพียงท่านหมอเทวดาเสิ่นหยางที่ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เดินทางรอนแรมควบม้ามาเกือบสิบวันจากเมืองหลวงมาถึงหย่งโจว ยังไม่ทันได้พักหายใจก็ได้รับการบอกกล่าวว่าจะต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเสียแล้ว
เสิ่นหยางชี้หน้าม่อซิวเหยาด้วยมืออันสั่นเทา พร้อมหอบหายใจ ปากก็ไม่ลืมที่จะก่นด่าออกมาว่า “ชาติที่แล้วข้าคงติดค้างตระกูลม่อของเจ้าไว้สินะ!” ตั้งแต่ให้ท่านอ๋องบางคนที่ไม่ยอมฟังคำแนะนำของหมอกินหญ้าเฟิ่งหวงไป อารมณ์ของท่านหมอเทวดาเสิ่นก็ดุดันขึ้นเรื่อยๆ
“ท่านเสิ่น” คณะของเยี่ยหลีตั้งค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำอวิ๋นหลัน ม่อซิวเหยาพาอวิ๋นถิงและคนอื่นๆ ออกไปล่าสัตว์ เยี่ยหลีจึงมีเวลามาพูดคุยกับเสิ่นหยาง เสิ่นหยางนั่งถือหนังสือการแพทย์เล่มหนาที่แทบจะทับคนให้ตายได้อยู่ริมแม่น้ำ อ่านไปพลางใคร่ครวญไปพลางจนคิ้วแทบจะพันกัน เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเยี่ยหลีถึงได้หมุนตัวหันไปมอง เมื่อเห็นเป็นเยี่ยหลีจึงคิดจะลุกขึ้นคารวะ
เยี่ยหลีรีบโบกมือ “ไม่มีใครอื่น ท่านเสิ่นมิต้องทำเช่นนี้”
เสิ่นหยางก็ไม่เกรงใจ กลับลงนั่งลงทันที เขาวางหนังสือลงข้างตัวแล้วหันยิ้มให้ “ครานี้พระชายาตัดสินใจรักษาเมืองหย่งหลินได้ถูกต้อง ทำให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีรู้สึกเลื่อมใสในพระองค์อย่างมาก ข้าเองก็รู้สึกเลื่อมใสเช่นกัน มิเสียแรงที่พระชายาเป็นยอดหญิงแห่งยุค”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ได้แต่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านเสิ่นมิจำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ยอดหญิงแห่งยุคที่ใดกัน สถานการณ์บังคับเท่านั้นเอง ท่านทราบหรือไม่ว่าเยี่ยหลีมาพบท่านด้วยเรื่องใด”
เสิ่นหยางมองหน้าเยี่ยหลีอยู่พักใหญ่ ในที่สุดจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ที่ข้านำหญ้าเฟิ่งหวงที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายกลับมาด้วยนั้น มิรู้ว่าข้าทำถูกหรือทำผิด”
เยี่ยหลีส่ายหน้า พูดเสียงเบาว่า “ที่จะใช้หญ้าเฟิ่งหวงเป็นพระประสงค์ของท่านอ๋อง ท่านเสิ่นได้บอกผลของมันให้ท่านอ๋องรู้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นการตัดสินพระทัยของท่านอ๋อง อีกทั้ง ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว จะกลับไปหาคนรับผิดชอบถูกผิดก็คงมิมีประโยชน์ เยี่ยหลีเพียงอยากรู้ว่า สุขภาพของท่านอ๋องในยามนี้เป็นอย่างไรบ้าง และมีทางใดที่สามารถรักษาได้หรือไม่”
เสิ่นหยางหันมองเยี่ยหลี สายตามีแววชื่นชม เอ่ยตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ครึ่งปีมานี้ข้าศึกษาหญ้าเฟิ่งหวงโดยละเอียด ทั้งยังได้ศึกษาตำราแพทย์โบราณด้วย เดิมทีหญ้าเฟิ่งหวง มิได้มีเฉพาะที่ตงไห่เท่านั้น หญ้าเฟิ่งหวงเดิมชื่อเฟิ่งเหว่ย ในอดีตเคยมีอยู่ที่พื้นที่ภาคกลางของเรา ตำราแพทย์โบราณบันทึกไว้ว่า ยาตัวนี้มีพิษร้ายแรง แต่ก็เป็นหญ้าที่สามารถขจัดพิษตัวอื่นๆ ได้เช่นเดียวกับยาพิษตัวอื่นๆ และถึงขั้นสามารถล้างไปถึงเนื้อเยื่อได้เลยทีเดียว ดังนั้นถึงได้ชื่อว่ายาวิเศษ ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ต่อมาถึงไม่พบหญ้าเฟิ่งหวงในดินแดนภาคกลางอีกเลย ดังนั้นในแพทย์แผนปัจจุบันจึงแทบไม่มีบันทึกเอาไว้เลย พิษเย็นที่อยู่ในร่างกายท่านอ๋องนั้นเป็นทั้งพิษเย็นและมีธาตุหยิน ถึงแม้เฟิ่งเหว่ยจะมีฤทธิ์ต้านกัน แต่ก็ยังมิอาจขจัดพิษของมันออกไปได้ ดังนั้นในกายท่านอ๋องจึงมีทั้งพิษร้อนและพิษเย็นรวมอยู่ด้วยกัน ตอนนี้พูดได้เพียงว่าเราสามารถทำให้มันสมดุลกันได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ความสมดุลประเภทนี้กลับมีอันตรายอย่างมาก ร่างกายอาจพังทลายลงได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้น ต่อให้มีเม็ดบัวเลี่ยหั่วก็มิอาจช่วยอันใดได้”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ท่านเสิ่นเคยพูดไว้ว่า เมื่อมีพิษสองประเภทอยู่ในร่างกายท่านอ๋อง จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น”
เสิ่นหยางกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้น หากว่าพิษเย็นกับเฟิ่งเหว่ยสามารถต้านกันได้จริง ก็ยังมีวิธีอื่นที่น่าคิด เพียงแต่ในตอนนี้พิษทั้งสองตัวที่อยู่ในร่างกายท่านอ๋องต่างออกฤทธิ์ของมันเอง พิษเย็นก็ยิ่งเย็น พิษร้อนก็แทบจะเดือดพล่าน เม็ดบัวเลี่ยหั่วหากคนทั่วไปกินเข้าไปอย่างผิดๆ แล้ว ไม่นานอวัยวะภายในร่างกายจะถูกเผาจนเหลือเพียงจุล หากใช้เม็ดบัวเลี่ยหั่วร่วมกับเฟิ่งเหว่ย เกรงว่า…พิษร้ายยังไม่ทันถูกถอน ท่านอ๋องคงได้สิ้นพระชนย์ด้วยพิษร้อนเสียก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีขมวดเข้าหากันแน่น “ท่านเสิ่น หญ้าปี้ลั่วมีประโยชน์ต่อร่างกายท่านอ๋องหรือไม่”
เสิ่นหยางชะงักไป สีหน้าคิดหนัก ครู่ใหญ่ถึงได้เอ่ยขึ้นว่า “หญ้าปี้ลั่วและหญ้าเฟิ่งหวงต่างเป็นยาวิเศษที่หายสาบสูญไปแล้วทั้งคู่ โบราณว่ากันว่าสามารถชุบชีวิตคนตายได้ ซ้ำจะยังมีอายุยืนยาว เพียงแต่…จะสามารถขจัดพิษในร่างกายของท่านอ๋องได้หรือไม่นั้น ข้าน้อยไม่แน่ใจนัก เพราะถึงอย่างไร หญ้าปี้ลั่วหายสาบสูญไปนานกว่าหญ้าเฟิ่งหวงมากนัก ข้าน้อยก็เพียงได้ยินคนรุ่นก่อนพูดถึงกันบ้างเท่านั้น”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว แต่หากมีความหวังเพิ่มขึ้นก็ถือเป็นเรื่องดี”
เสิ่นหยางถามด้วยความอยากรู้ว่า “พระชายารู้หรือว่ามีหญ้าปี้ลั่วอยู่ที่ใด”
เยี่ยหลีพยักหน้าน้อยๆ “ข้าจะหามาให้ได้โดยไว เรื่องนี้…ท่านเสิ่นอย่าเพิ่งบอกท่านอ๋องให้ทราบ” หากต้องการนำหญ้าปี้ลั่วมาจากบัณฑิตขี้โรค จะใช้คนของตำหนักอ๋องมิได้ ด้วยความแค้นที่บัณฑิตขี้โรคมีต่อม่อซิวเหยา เกรงว่าเขายินดีที่จะทำลายมันทิ้งมากกว่าจะให้คนของตำหนักติ้งอ๋องได้มันไป “ร่างกายของท่านอ๋องยังทนได้อีกมากน้อยเพียงใด”
เสิ่นหยางก้มหน้าลง เอ่ยเสียงขรึมว่า “หากไม่มีอันใดผิดคาด ภายในหนึ่งปีครึ่งนี้ไม่น่าจะมีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งฤทธิ์ของหญ้าเฟิ่งหวงที่สามารถชำระล้างเนื้อเยื่อได้นั้นก็มิได้เป็นเพียงเรื่องที่เล่าลือกันเท่านั้น สุขภาพของท่านอ๋องในตอนนี้ดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากนัก เพียงแต่…คืนพระจันทร์เต็มดวงของทุกเดือน พิษร้อนและพิษเย็นจะออกฤทธิ์พร้อมๆ กัน ซึ่งจะทำให้เท่านอ๋องเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ ในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงพิษร้อนจะเผาร่างกาย ฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวพิษเย็นจะพุ่งเข้าโจมตีหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นพิษร้อนหรือพิษเย็น จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ร่างกายมากกว่าที่พิษเย็นเคยทำมากกว่าสิบเท่าเป็นแน่”
เยี่ยหลีคิดถึงภาพที่ตนเห็นในห้องนั้น นางมิอาจจินตนาการได้ว่าจะต้องเป็นความเจ็บปวดสักเพียงใดที่ทำให้คนอย่างม่อซิวเหยาอยู่ในสภาพเวทนาเช่นนั้นได้
“ยาระงับปวดเล่า…”
เสิ่นหยางส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “ยาระงับปวดช่วยอันใดมิได้ ไม่เพียงเท่านั้น…เกรงว่าอีกหน่อยไม่ว่าจะเป็นยาระงับปวดตัวใดหรือแม้แต่ยาสลบก็คงไม่มีผลต่อท่านอ๋อง”
ในใจเยี่ยหลีเย็นเยียบ นี่หมายความว่าต่อไปหากม่อซิวเหยาได้รับบาดเจ็บก็ไม่สามารถใช้ยาระงับปวดหรือยาชาได้อีก
“อาหลี…” เยี่ยหลีหันไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มในชุดสี่ขาวเดินอมยิ้มเข้ามาหานาง นางจึงก้มหน้าลงปิดบังรอยกังวลในแววตา
ม่อซิวเหยาเหลือบมองเสิ่นหยางที่หยิบตำราแพทย์ขึ้นมาตั้งท่าจะอ่านต่อ เขาก้มหน้าลงยิ้มถามเยี่ยหลีว่า “อาหลีกำลังคุยอันใดกับท่านเสิ่นหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “ข้ากำลังขอความรู้เกี่ยวกับหญ้าสมุนไพรน่ะเพคะ มาหนานจ้าวครานี้ได้พบสมุนไพรประหลาดอยู่ไม่น้อย จึงมาถามท่านเสิ่นว่าสมุนไพรเหล่านั้นมีประโยชน์อันใดเพคะ”
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลีช่างมีความสนใจหลากหลายนัก แม้แต่วิชาแพทย์ก็สนใจด้วยหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้าไม่มีพรสวรรค์ในวิชาแพทย์ เพียงแต่ความรู้ด้านสมุนไพรบางตัวก็ควรรู้ไว้บ้าง”
ม่อซิวเหยาจับจูงนางให้ออกเดินไปยังสถานที่ตั้งค่าย พร้อมยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้แล้ว ได้ยินว่าเจ้าให้คนข้างกายเจ้าท่องตำราสมุนไพรให้ขึ้นใจ ทั้งยังให้เรียนรู้การแยกประเภทสมุนไพรด้วยหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม “เพียงสมุนไพรทั่วไปเท่านั้น เพราะใช่ว่าเราจะพกยาติดตัวไปด้วยตลอดมิใช่หรือเพคะ”
“อาหลีพูดถูก บางทีอาจให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปร่วมเรียนกับพวกเขาด้วย” ม่อซิวเหยานิ่งคิด
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “หน่วยเฮยอวิ๋นฉีกับพวกเขาไม่เหมือนกัน จำเป็นต้องมีเพียงจำนวนท่านหมอที่เพียงพอ หรือให้ในหมู่พวกเขามีท่านหมอติดตัวไปด้วยเป็นใช้ได้เพคะ”
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงมองเยี่ยหลี “อาหลีมีความคิดอันใดที่ไม่อยากบอกข้าหรือไม่”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “มิได้เพคะ เพียงแต่เป็นเพียงความคิดคร่าวๆ เท่านั้น รอให้ข้าทำสำเร็จก่อนค่อยบอกท่าน อาจทำให้ท่านอ๋องยินดียิ่ง”
ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ “เช่นนั้นข้าจะรอข่าวดีจากอาหลี ไปกินข้าวกันเถิด แล้วพวกเราไปดูละครฉากหนึ่งกัน”