ละครที่ม่อซิวเหยาพูดถึงเป็นละครที่สนุกมากฉากหนึ่ง ทหารที่หลบซ่อนอยู่ในเขตหย่งโจวและยงโจวมีมากถึงสามหมื่นคน ในที่สุดเยี่ยหลีถึงได้รู้ว่าเฟิ่งจือเหยานำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปทำอันใด ภายในหนึ่งคืนค่ายลับที่อยู่ตามภูเขาในเขตหย่งโจวและยงโจวถูกทำลายลงจนสิ้น นายทหารจำนวนมากที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ปลอมตัวเป็นโจรป่า ถูกหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสังหารไปจำนวนมาก คนที่เหลือต่างหนีหายไปทางเขตหย่งโจวและแคว้นซีหลิงด้วยความหวาดกลัว ส่วนม่อซิวเหยาได้พาคณะของเยี่ยหลีไปรอยังชายแดน ในขณะที่ทหารที่น่าเวทนาเหล่านั้นมองเห็นม้าเหล็กที่อยู่ตามเงาไม้ ต่างปรากฏแววสิ้นหวังขึ้นในดวงตา
ขุนนางน้อยใหญ่ของเขตยงโจวคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าขาวซีดประหนึ่งดิน มองคู่ที่นั่งเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ด้วยสายตาตื่นกลัว ชายหนุ่มดูสภาพสง่างาม หญิงสาวงดงามและอ่อนหวาน แต่แววตาที่จ้องมองพวกเขานั้น น่ากลัวเสียยิ่งกว่าภูตผีปีศาจเสียอีก สองวันก่อนหน้านี้ มีคนนำตรามาเรียกพวกเขาไปพบติ้งอ๋อง ติ้งอ๋องกลับมิได้พูดอันใดเพียงพาพวกเขาติดตัวไปด้วยทุกที่เท่านั้น ติ้งอ๋องไปที่ใด พวกเขาก็ไปที่นั่น ได้เห็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉีบุกทะลายรังโจรที่บ้างตั้งอยู่อย่างโจ่งแจ้ง บ้างซ่อนอยู่ในที่ลับตากับตาตนเอง ทหารจำนวนกว่าสองหมื่นนายสำหรับหน่วยเฮยอวิ๋นฉีแล้วเป็นเพียงมดที่ไม่มีค่าพอจะเอ่ยถึง ทหารที่น่าเวทนาตรงหน้าเป็นปลากลุ่มสุดท้ายที่รอดออกมาจากแหได้ แต่กลับถูกติ้งอ๋องขวางไว้ได้บนเนินเขาลูกหนึ่ง ห่างจากชายแดนไปไม่ถึงห้าลี้
ม่อซิวเหยามองผู้ว่าการเขตยงโจวที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เอ่ยถามเรียบๆ ว่า “ใต้เท้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดผู้ว่าการเขตหย่งโจวถึงเสียชีวิต”
ผู้ว่าการเขตยงโจวหน้าซีดไปทันที เอ่ยตอบเสียงสั่นว่า “ก่อ…ก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ว่าการเขตหย่งโจวถูกองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องสังหารภายใต้การอารักชาของทหารนับพันนับหมื่นนายของหลีอ๋อง ข่าวนี้แพร่ไปทั่วใต้หล้าตั้งแต่วานนี้แล้ว ซึ่งทำให้ขุนนางทุกคนต่างระวังความคิดของพวกตนขึ้นมาก
ม่อซิวเหยายิ้ม “ก่อกบฏหรือ ไม่เลว นี่ก็ถือเป็นโทษตายแล้ว เช่นนั้น…ใต้เท้ารู้หรือไม่ว่าสมคบคิดก่อการกบฏมีโทษเช่นไร”
“เรื่องนี้…ท่านอ๋อง! ท่านอ๋อง…ข้าน้อยมิกล้าเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจงรักภักดีต่อต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ…”
“ช่างจงรักภักดีกันได้ดีจริงนะ!” ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเย็น “จงรักภักดี แล้วคนนับหมื่นในเขตยงโจวของเจ้ามาจากที่ใดกัน แม่ทัพอู๋เฉิงเหลียงกับกองทัพสองหมื่นนายของยงโจวเหตุใดจึงถูกสังหารสิ้น”
“ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ…” ผู้ว่าการเขตยงโจวเอ่ยโอดครวญ “ข้าน้อยถูกใส่ความ ท่านอ๋องโปรดพิจารณาด้วย…”
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าถูกใส่ความหรือไม่ ข้าคงช่วยอันใดมิได้ ไปทูลกับฝ่าบาทเองเถิด วันนี้ที่เชิญพวกเจ้ามาก็เพื่อให้พวกเจ้ามาดูหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจัดพิธีรำลึกให้กับวิญญาณทหารรักษาการเขตยงโจวและท่านแม่ทัพอู๋ ถึงแม้ขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊จะรับผิดชอบกันคนละหน้าที่ แต่อย่างไรก็ถือว่าได้เคยร่วมงานกัน ทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้มาช่วยส่งพวกเขาไปด้วยกันก็แล้วกัน”
เฟิ่งจือเหยาที่ยืนอยู่ด้านหลังม่อซิวเหยายกมือขึ้นให้สัญญาณ “สังหาร!”
ธนูนับหมื่นดอกถูกยิงออกไป เพียงชั่วพริบตาทหารจากแคว้นซีหลิงที่อยู่กลางวงล้อมต่างล้มลงสิ้นใจตายจนสิ้น ขุนนางทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่กับพื้นเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดที่ลอยมาตามลมแล้ว ต่างอาเจียนกันออกมายกใหญ่
ม่อซิวเหยาทำประหนึ่งมองไม่เห็น จูงเยี่ยหลีให้ลุกยืนขึ้น ก่อนหันไปสั่งการว่า “ส่งใต้เท้าทุกท่านกลับเรือน ส่วนพวกคนซีหลิงเหล่านี้ จับโยนออกไปนอกชายแดน อย่าให้เปลืองแผ่นดินต้าฉู่ของพวกเรา”
“รับพระบัญชา”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจ แล้วจึงหันกลับไปยิ้มให้เยี่ยหลี “อาหลี พวกเราควรกลับเมืองหลวงกันได้แล้ว”
เยี่ยหลีพยักหน้าแล้วเดินตามม่อซิวเหยาออกไป ไม่ฆ่าเชลยที่จับได้อะไรนั่น…ดูเหมือนจะไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว
ถึงแม้จะได้รับพระราชโองการให้เร่งกลับเมืองหลวงจากฮ่องเต้ แต่ม่อซิวเหยากลับไม่เก็บมาใส่ใจ สั่งให้เฟิ่งจือเหยานำหน่วยเฮยอวิ๋นฉีไปก่อน ส่วนตนพาคณะของเยี่ยหลีค่อยๆ เดินทางขึ้นเหนือไปอย่างไม่เร่งร้อน พวกเขาใช้เวลาเกือบสิบวันถึงเดินทางถึงเมืองกว่างหลิง
นี่เป็นครั้งที่สองที่เยี่ยหลีมาที่เมืองกว่างหลิง ด้วยเพราะไม่มีเป้าหมายใดเป็นพิเศษ เยี่ยหลีจึงดูผ่อนคลายขึ้นมาก แต่เมื่อม่อซิวเหยาพานางมายืนอยู่หน้าหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์แล้ว นางถึงได้หันมองชายหนุ่มข้างกายด้วยความตกใจ
ม่อซิวเหยาเพียงยิ้มไม่พูดอันใด
กลางวันแสกๆ เช่นนี้ หอชิงเฟิงหมิงเย่ว์ยังไม่เปิดทำการค้า แต่ที่หน้าประตูยังมีคนคอยรับรองอยู่ เมื่อเห็นที่หน้าประตูมีชายหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมยืนอยู่ ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เทียนอี้เก๋อช่างข่าวสารว่องไวดีนัก ดูท่าหลายปีนี้หานหมิงเย่ว์คงไม่ได้เสียเวลาไปเปล่า”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มแข็งข้างไป “ขอบพระทัยท่านอ๋องที่ชื่นชม นายท่านสั่งให้ข้าน้อยมาคอยยืนรับท่านอ๋องและพระชายา ทั้งสองท่านเชิญด้านในก่อน”
เมื่อเข้ามาในหอชิงเฟิงหมิงเย่ว์แล้ว ชายหนุ่มเดินนำพวกเขาทั้งสองเข้าไปยังเรือนด้านหลังทันที ในศาลารับลมหลังเดิมที่เยี่ยหลีพบหานหมิงซีเมื่อคราก่อน หานหมิงซีและหานหมิงเย่ว์นั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ด้านใน
เมื่อเห็นเยี่ยหลี ประกายในแววตาของหานหมิงซีดูอ่อนลงเล็กน้อย เมื่อตั้งสติได้จึงหันมาเลิกคิ้วยิ้มให้นาง
หานหมิงเย่ว์วางถ้วยชาในมือลงพร้อมเดินออกมาต้อนรับ รอยยิ้มเต็มไปด้วยความสุภาพ “ซิวเหยา มิได้พบกันตั้งนาน เจ้าดูสุขภาพดี…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ ม่อซิวเหยาโบกมือทีหนึ่ง ก็เกิดไปลมรุนแรงประหนึ่งสามารถผ่าภูเขาพลิกมหาสมุทรพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มที่หล่อเหลาและสง่างามทันที
เสียงของหานหมิงเย่ว์หยุดลง หมุนตัวหลบฝ่ามือนั้นของม่อซิวเหยาอย่างน่าเวทนา แต่ลมที่ดุดันจากฝ่ามือนั้นยังทำให้เขาหายใจสะดุด จนต้องกระแอมไอออกมา ก่อนหันมายิ้มขื่นๆ ให้เขา “ซิวเหยา ไม่ได้พบกันเสียนาน เจ้าทักทายข้าเช่นนี้หรือ”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ ขยับตัวเดินหน้าเข้าไปพร้อมพุ่งฝ่ามือเข้าใส่ไม่หยุด ทุกฝ่ามือที่พุ่งออกไปเต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีแววของการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย
หานหมิงเย่ว์จึงจำต้องเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของตน รับมือเขาด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองคนคนหนึ่งก้าวคนหนึ่งถอยอยู่ภายในสวนดอกไม้
ทางฟากนั้นต่อสู้กันอย่างดุดัน ส่วนทางฟากนี้หานหมิงซีลุกยืนขึ้นเดินเข้าไปหาเยี่ยหลี เลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “จวินเหวย ไม่ได้พบกันตั้งนานเจ้ามาเยี่ยมข้าหรือ มาเยี่ยมข้าก็มาเยี่ยมข้าสิ เจ้ามาเองก็พอ เหตุใดจึงต้องพาเขามาด้วย”
เยี่ยหลียกมือชี้ไปยังชายหนุ่มในชุดชาว เป็นการบอกว่าคนที่อยากมาคือเขา
หานหมิงซีหันหน้าไปมอง รอยยิ้มบนใบหน้าดูฝืนเล็กน้อย “จวินเหวย…”
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านวางใจเถิด ท่านอ๋องไม่ฆ่าเขาหรอก” หากเขาต้องการชีวิตหานหมิงเย่ว์จริง ม่อซิวเหยาไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง ต่อให้เทียนอี้เก๋อเก่งกาจเพียงใด แต่จะสามารถขัดขวางม้าเหล็กของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีหรือองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องได้หรือ
หานหมิงซียิ้มขื่น “แต่ติ้งอ๋องดูจะลงมืออย่างไม่เกรงใจเลย” ม่อซิวเหยาอายุเพียงยี่สิบกว่าปี ในสายตาของม่อซิวเหยาแล้วคนที่มีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงกับเขาต่างเป็นคนละรุ่นกับเขาทั้งสิ้น เมื่อคิดดูแล้วจะพบความต่างระหว่างเขากับหานหมิงเย่ว์
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยอยู่นั้น หานหมิงเย่ว์ถูกฝ่ามือหนึ่งกระแทกเข้าจนล้มลงกับพื้น ซึ่งห่างจากจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ไม่ไกลนัก เขากระอักเลือดสดๆ ออกมา จากสายตาของเยี่ยหลีนางมองออกว่ากระดูซี่โครงเขาหักไปสองซี่ หานหมิงซีรีบเดินเข้าไปจะพยุงเขาขึ้นมา หานหมิงเย่ว์โบกมือห้ามไว้ เงยหน้ามองม่อซิวเหยาที่ค่อยๆ เดินเข้ามาแล้วเอ่ยถามว่า “ซิวเหยา หายโกรธหรือยัง”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้น “รู้หรือไม่เหตุใดครานี้ข้าจึงยังไม่ฆ่าเจ้า”
หานหมิงเย่ว์เลิกคิ้วมองม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่ออาหลีรับปากหานหมิงซีว่าจะปล่อยเจ้าไป ครานี้ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าจำไว้ให้ดี ความอดทนของข้าก็มีจำกัด หากเจ้ายังคิดลงมือกับอาหลีอีก…เจ้าจะลองดูก็ได้ว่าข้าสามารถทำได้ถึงเพียงไหน!”
หานหมิงเย่ว์ยกมือจับหน้าอกพร้อมไอหนักๆ มองม่อซิวเหยาอย่างไม่รู้จะทำเช่นใดดี “ซิวเหยา ในสายตาของเจ้า…เยี่ยหลีสำคัญกว่าความสัมพันธ์ที่พวกเราร่วมสร้างกันมาตั้งแต่เล็กจนโตหรือ”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างเยาะหยัน “ในสายตาของเจ้าเคยเห็นความสัมพันธ์ตั้งแต่เล็กจนโตของพวกเราสำคัญตั้งแต่เมื่อใดกัน”
หานหมิงเย่ว์นิ่งเงียบ พูดไม่ออก เขาเป็นคนทรยศต่อความเป็นสหายของพวกเขาก่อน เพียงแต่… “ในสายตาข้า เจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดเสมอ” หานหมิงเย่ว์เอ่ยเสียงขรึมขึ้น
ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเบาๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าพูดว่าเราเป็นสหาย ข้าจะรับปากเจ้า…คราต่อไปหากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมือของข้าอีก ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”
หานหมิงเย่ว์ชะงักไป แต่ในขณะที่หานหมิงซีและเยี่ยหลีกำลังนึกสงสัยและไม่เข้าใจนั้น สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไปทันที “ซิวเหยา! ไม่! ไม่เกี่ยวกับนาง เรื่องพวกนี้เป็นความคิดของข้า!”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด สีหน้าหานหมิงซีดำครึ้มไปทันที เขาส่งเสียงเหอะด้วยความไม่พอใจ พร้อมกลืนคำพูดขอร้องกลับลงไปทั้งหมด ถึงอย่างไรติ้งอ๋องก็มิได้คิดที่จะฆ่าเขา ทรมานเขาให้เต็มที่เถิด ทรมานจนกว่าเขาจะไม่มีแรงเที่ยวไปไหนมาไหนไปทั่ว!
ม่อซิวเหยามิได้สนใจว่าจะเป็นความคิดผู้ใด เขาหันกลับมาเอ่ยกับหานหมิงซีว่า “ถ้าอยากให้เขามีชีวิตอยู่ ก็จับตาดูเขาไว้ให้ดี”
ใบหน้าหล่อเหลาของหานหมิงซีบึ้งตึง เอ่ยเยาะหยันว่า “ท่านอ๋องมิต้องเป็นห่วง!” ม่อซิวเหยาจับมืออาหลีหมุนตัวเตรียมเดินจากไป
หานหมิงซีที่ยังล้มอยู่ที่พื้นเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ซิวเหยา ที่เจ้าเดินทางอ้อมมาที่กว่างหลิง คงมิได้ตั้งใจมาเพื่อซ้อมข้าหรอกกระมัง”
ม่อซิวเหยาหยุดฝีเท้าลง หันกลับไปมองเขา “ข้าจะบอกเจ้าด้วยเลยก็ได้ หากใช้เล่ห์เหลี่ยมทางอำนาจไม่เป็น ก็หาเงินของเจ้าไปเถิด อย่าได้ย้ายภูเขาทับเท้าตนเองแล้วหันมาร้องโอดครวญเลย”
หานหมิงซีมองทั้งสองที่เดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันมอง แล้วจึงขมวดคิ้วคิดตามคำพูดของม่อซิวเหยา ใช้เล่ห์เหลี่ยมทางอำนาจไม่เป็น…คนไม่สนใจเรื่องเล่ห์เหลี่ยมทางอำนาจอันใดนั่น และไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อน มีก็แต่เพียง…สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที หานหมิงเย่ว์หันไปพูดกับหานหมิงซีว่า “เร็ว! รีบให้คนไปสืบดูว่าเกิดอันใดขึ้นที่ซีหลิง!”
หานหมิงซีรู้สึกเพียงเส้นเลือดบนหน้าผากเต้นไม่หยุด ผู้ใดกันที่ว่าคุณชายหมิงเย่ว์ฉลาดล้ำกว่าผู้ใด นี่เขาโง่ยิ่งกว่าลาเสียอีก คนอื่นเขาหากหัวไม่ชนฝาจะไม่มีทางหันหลังกลับ แต่นี่เขาหัวชนฝาจนเลือดออกแล้วยังไม่ยอมหันหลังกลับอีก!