“ช่วงนี้ท่านพ่อกับท่านย่าสบายดีหรือไม่เจ้าคะ” รอจนบ่าวนำชาเข้ามาวางและถอยออกไปแล้ว เยี่ยหลีจึงได้เอ่ยถามเสียงเล็กขึ้น
เจ้ากรมเยี่ยอึ้งไป หันมองสีหน้าของเยี่ยหลีก่อนตอบว่า “ยังสบายดีอยู่ เพียงน้องสี่นาง…”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ยามที่หลีอ๋องไปจากเมืองหลวงมิได้พาน้องสี่ไปด้วยหรือเจ้าคะ”
เจ้ากรมเยี่ยส่ายหน้า ยังโชคดีที่ม่อจิ่งหลีมิได้พาเยี่ยอิ๋งไปด้วย มิเช่นนั้นเรื่องที่ตระกูลเยี่ยสมคบคิดกับหลีอ๋องคงแดงออกมา และคงหนีพระอาญาไม่พ้น ถึงแม้ยามนี้เยี่ยอิ๋งจะถูกกักบริเวณ แต่ก็ถือว่าทำให้ฮ่องเต้ทรงเชื่อว่าตระกูลเยี่ยมิได้ร่วมมือกับหลีอ๋อง
เยี่ยหลีก้มหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยถามว่า “เมื่อยามที่หลีอ๋องไปจากเมืองหลวงได้พาผู้ใดไปบ้างหรือเจ้าคะ”
เจ้ากรมเยี่ยเองก็มิมีอันใดต้องปิดบัง จึงเอ่ยตามเสียงขรึมว่า “พาสตรีจากหนานเจียงผู้นั้นไปเท่านั้น แม้แต่เสียนเจาไท่เฟยก็ยังอยู่ในเมืองหลวง ไทเฮาทรงนำตัวเสียนเจาไท่เฟยเข้าวังไปแล้ว เพียงแต่ยามนี้เมื่อหลีอ๋องเกิดกบฏ ไทเฮาเองก็มิได้ทรงอยู่อย่างสบายเท่าใดนัก” เมื่อคิดถึงจุดนี้ เจ้ากรมเยี่ยรู้สึกหัวเสียขึ้นทันที เขาเป็นคนของไทเฮานั้นไม่ผิด ในใจเขาเอนเอียงไปทางหลีอ๋องก็ไม่ผิด แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหลีอ๋องจะก่อกบฏขึ้นมากะทันหันเช่นนี้ หากรู้แต่แรกว่าหลีอ๋องเป็นคนบ้าระห่ำเช่นนี้ สู้เขาจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เสียยังดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ยังมีบุตรสาวที่เป็นเจาอี๋กับหลานชายที่เป็นพระโอรส แต่ยามนี้เขากลับไม่เหลืออันใดแล้ว
“น้องสี่ถูกฮ่องเต้กักบริเวณหรือเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วถาม “เหตุใดหลีอ๋องจึงไม่พานางไปด้วย ถึงอย่างไรนางก็เป็นภรรยาที่แต่งงานเข้ามาอย่างถูกต้อง หลีอ๋องมิน่ามิรู้ว่าหากทิ้งน้องสี่ไว้ที่เมืองหลวงนางจะต้องพบเจอสิ่งใด”
เจ้ากรมเยี่ยได้แต่ถอนหายใจยาว “อิ๋งเอ๋อร์ตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ไม่เหมาะจะลำบากเดินทางไกล”
เยี่ยหลีเกิดอีกความคิดหนึ่งขึ้น จึงเงยหน้าขึ้นยิ้มเรียบๆ มองเจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า “หลีอ๋องไม่รู้ว่าน้องสี่ตั้งครรภ์แล้วกระมัง” ต่อให้ม่อจิ่งหลีใจดำเพียงใดก็คงไม่ทอดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขตนเอง ไม่สนใจไยดีเช่นนี้ อีกทั้งที่เยี่ยอิ๋งตั้งครรภ์อยู่นี้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของเขาในตอนนี้อีกด้วย ความเป็นไปได้เดียวก็คือเขาไม่รู้เรื่องที่เยี่ยอิ๋งกำลังตั้งครรภ์ เยี่ยอิ๋งคงหาข้ออ้างให้ตนเองรั้งอยู่ที่นี่
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าถูกนางมองจนรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยขึ้นด้วยความกระดากว่า “องค์หญิงซีสยานั่นมิใช่คนจิตใจดี ซ้ำหลีอ๋องยังรักนางเสียเหลือเกิน เยี่ยอิ๋งมีพิษสงอยู่เพียงเท่านั้น ยังไม่ทันถึงหลิ่งโจวเด็กในท้องก็คงไม่เหลือแล้ว และถึงอย่างไรโดยมากหลีอ๋องก็อยู่ในเมืองหลวงอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเราจึงคิดว่าให้อิ๋งเอ๋อร์รั้งอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อรอคลอดจะดีกว่า”
ความคิดของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามีหรือเยี่ยหลีจะไม่เข้าใจ เจาอี๋ที่อยู่ในวังกับพระโอรสตัวน้อยเสียชีวิตกันหมดแล้ว ไม่ง่ายที่เยี่ยอิ๋งจะมีเลือดเนื้อเชื้อไขของหลีอ๋อง แน่นอนว่าย่อมอยากให้หลานผู้นี้อยู่ในเมืองหลวง เพื่อให้รู้สึกสนิทสนมกับตระกูลเยี่ย แต่พวกเขากลับไม่คาดคิดมาก่อนว่าม่อจิ่งหลีจะลุกขึ้นมาก่อกบฏโดยไม่บอกกล่าวพวกเขาสักคำ แต่ด้วยความไม่คาดคิดนี้ทำให้พวกเขาสามารถรักษาตระกูลเยี่ยไว้ได้ แน่นอนว่าที่ทุกวันนี้ฮ่องเต้ยังไม่สั่งลงอาญาตระกูลเยี่ย เกรงว่าคงจะมีส่วนที่พวกเขาเกี่ยวข้องกับตำหนักติ้งอ๋องรวมอยู่ด้วย
เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ หันมองเจ้ากรมเยี่ยแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ เกรงว่าฝ่าบาทคงทรงทราบเรื่องที่น้องสี่ตั้งครรภ์แล้ว ที่ทุกวันนี้ยังไม่ทำอันใดนาง เกรงว่าคงด้วยเพราะทรงคิดอยากใช้เด็กคนนี้มาข่มขู่หลีอ๋องเจ้าค่ะ”
เจ้ากรมเยี่ยย่อมคิดถึงเรื่องนี้นานแล้ว ที่เขารีบร้อนมาที่ตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้มาเพื่อเยี่ยอิ๋งจริงๆ “เช่นนั้นพวกเรา…”
เยี่ยหลียกมือขึ้นหยุดสิ่งที่เขาจะพูดออกมา หันมองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านพ่อ ข้าไม่เข้าใจคุณธรรมของขุนนางนัก แต่สิ่งที่ผู้เป็นใหญ่เกลียดมากที่สุดก็คือการที่บริวารของตนมีใจเป็นสอง สิ่งที่ท่านพ่อทำมาตลอดสองปี ท่านคงไม่คิดจริงๆ หรอกกระมังว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงรู้อันใดเลย หลีเอ๋อร์เห็นว่า เรื่องสติปัญญานั้น เกรงว่าหลีอ๋องคงจะมิใช่คู่ต่อสู้ของท่านในวัง” สีหน้าเจ้ากรมเยี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าจะบอกว่า…”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงดื่มชาแต่มิได้ตอบอันใด ปล่อยให้เจ้ากรมเยี่ยสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากลับเป็นฝ่ายนั่งไม่ติด รีบเอ่ยถามว่า “หลีเอ๋อร์ ยามนี้พวกเราควรทำเช่นใดดี”
เยี่ยหลีเพียงเอ่ยว่า “ท่านพ่อรีบยื่นฎีกาต่อฝ่าบาทให้สั่งลงอาญาหลีอ๋อง พร้อมทั้งขอรับโทษจากฝ่าบาท ต่อจากนี้…ฝ่าบาทจะไม่มีวันเชื่อใจตระกูลเยี่ยอีก ดังนั้นทางที่ดีท่านพ่อขอให้ฝ่าบาทปลดท่านออกจากตำแหน่งเจ้ากรมเสียด้วยเลย ต่อไปท่านเพียงอยู่เงียบๆ คอยสั่งสอนน้องหรงให้ดีเถิด”
“เรื่องนี้…” เจ้ากรมเยี่ยและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าต่างอึ้งไป สีหน้าดูมีความไม่ยินดี
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าคิดอยู่พักหนึ่งจึงหันมองเยี่ยหลีด้วยความระมัดระวัง “หลีเอ๋อร์ ติ้งอ๋องเพิ่งสร้างผลงานปราบกบฏที่หย่งโจวได้สำเร็จ จะให้ท่าน…”
เมื่อเห็นสีหน้ามีความหวังของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็นออกมาทีหนึ่ง “ผลงานการปราบกบฏของตำหนักติ้งอ๋องมีด้วยกันหลายครา ท่านย่าอาจไม่รู้แต่ท่านพ่อก็ไม่รู้หรือว่าสถานการณ์ตำหนักติ้งอ๋องเป็นเช่นไร”
เจ้ากรมเยี่ยจึงทำได้เพียงถอนใจอย่างหดหู่ ด้วยเพราะตำหนักติ้งอ๋องมีความดีความชอบนี้เองที่ทำให้มิอาจขอร้องแทนเขาได้ ยิ่งติ้งอ๋องขอร้องก็มีแต่ที่ฝ่าบาทจะยิ่งกดตระกูลเยี่ยลง ในตอนนี้เจ้ากรมเยี่ยไม่รู้ว่าตนควรโอดครวญหรือไม่โอดครวญดี เพราะมีตำหนักติ้งอ๋องอยู่ ทำให้ต่อไปฮ่องเต้ไม่มีทางใช้งานตระกูลเยี่ย และก็ด้วยเพราะมีตำหนักติ้งอ๋อง ด้วยเพราะบุตรสาวของเขาเป็นชายาติ้งอ๋อง ทำให้ตระกูลเยี่ยรอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้
“ท่านพ่อ ยกได้ก็ควรวางให้เป็น ยามที่สู้ได้ก็ควรสู้ เมื่อถึงยามที่ต้องถอยก็ควรถอย ตำแหน่งและความมั่งคั่งต่อให้ดีเพียงใด จะดีไปกว่าชื่อเสียงตระกูลหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา
เจ้ากรมเยี่ยอึ้งไป สีหน้าเต็มไปด้วยความสับสน เขาหันมองเยี่ยหลี “หากต่อไปพ่อ…”
เยี่ยหลีเอ่ยขัดขึ้นว่า “ท่านพ่อ โปรดระวังคำพูดด้วยเจ้าค่ะ”
ในที่สุดเจ้ากรมเยี่ยก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง เพียงถอนหายใจยาวแล้วมิได้พูดอันใดอีก
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าฟังออกว่านี่เป็นการปฏิเสธเรื่องที่จะขอให้ติ้งอ๋องช่วยของเยี่ยหลี ตัดความหวังสุดท้ายของตระกูลเยี่ยทิ้ง เมื่อคิดได้ว่าต่อไปตนจะมิใช่ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนเจ้ากรมแล้ว และตั้งแต่นี้เป็นต้นไปตระกูลเยี่ยจะต้องตกต่ำลง ก็อดรู้สึกคร่ำครวญขึ้นมาไม่ได้ “หลีเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงใจร้ายเช่นนี้ ต่อให้พ่อเจ้าจะทำอันใดไม่ดีเพียงใด แต่อย่างไรก็เป็นพ่อเจ้านะ ตระกูลเยี่ยของเราก็ยังเป็นตระกูลเดิมของเจ้า หากตระกูลเยี่ยตกต่ำลงแล้ว จะมีอันใดดีต่อเจ้าหรือ เดิมทีตำหนักติ้งอ๋องก็ไม่มีญาติพี่น้องอยู่แล้ว หรือว่าต่อไปเจ้าไม่ต้องการให้มีคนอยู่ในราชสำนักคอยช่วยเหลือหรือ”
“ช่วยเหลือหรือเจ้าคะ” เยี่ยหลีเอ่ยพึมพำเสียเบา เหลือบตาขึ้นมองสีหน้าเสียใจของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านพ่อกับท่านย่าไปพบพี่ใหญ่กับหนานโหวซื่อจื่อมาแล้วหรือไม่”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเงียบไปอย่างพูดไม่ออก ตั้งแต่เกิดเรื่องกับหลีอ๋องพวกเขาก็ไปที่จวนหนานโหวมาแล้ว น่าเสียดายที่จวนหนานโหวปิดประตูไม่รับแขก พวกเขาไม่ได้พบหน้าท่านหนานโหวหรือซื่อจื่อเลยด้วยซ้ำ มีเพียงหลายวันก่อนที่เยี่ยเจินกลับมาจวนเยี่ยอย่างเงียบๆ ครั้งหนึ่ง และพูดแต่เพียงว่าจวนหนานโหวมีใจแต่มิสามารถช่วยอันใดได้เท่านั้น เพราะถึงอย่างไร เรื่องยกทัพก่อกบฏก็มิใช่เรื่องที่ขุนนางจะกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว
“เมื่อปีก่อนท่านลุงใหญ่เคยพูดกับข้าแล้วว่า ท่านพ่อเป็นคนประมาท สองปีที่ผ่านมาท่านพ่อได้ใจเกินไปสักหน่อย ข้าเองก็เคยพูดเรื่องนี้กับท่านย่าแล้ว น่าเสียดายทั้งท่านย่าและท่านพ่อในยามนั้นคงคิดเพียงว่า ที่ข้าพูดเช่นนั้นเพราะข้าแต่งงานออกไปอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องแล้ว และในใจข้าคิดโกรธเคืองพี่รองกับน้องสี่อยู่กระมัง ในเมื่อเรื่องมาถึงเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องที่ท่านอ๋องมิอาจช่วยพูดให้ท่านพ่อได้ แต่ต่อให้สามารถช่วยท่านพ่อพูดได้ ท่านพ่อเคยคิดหรือไม่ว่าต่อไปท่านจะอยู่อย่างไรในราชสำนัก ระหว่างทางที่ข้าเดินทางกลับมานี้ก็ได้ยินมาว่า ช่วงนี้ฝ่าบาทโปรดปรานอวิ๋นเฟยและหวังจ้าวหรง และมีข่าวลืมออกมาว่าจะแต่งตั้งพระโอรสของหลิ่วกุ้ยเฟยขึ้นเป็นรัชทายาท ดูท่าคงมีพระประสงค์จะใช้งานคนของตระกูลอวิ๋นและตระกูลหวัง หนำซ้ำตระกูลหลิ่วยามนี้ตะวันกำลังทอแสง ท่านพ่อ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลิ่วหรือตระกูลอวิ๋นและตระกูลหวัง ต่างก็เป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และที่สำคัญคือ…ต่างไม่ลงรอยกับตระกูลเยี่ย ความหมายของฝ่าบาท ท่านพ่อยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
ท่านเจ้ากรมดูประหนึ่งชราลงไปเป็นสิบปีในชั่วพริบตา “ข้ารู้แล้ว…กลับไปข้าจะส่งฎีกาขอให้ฝ่าบาททรงลงพระอาญา”
เมื่อเห็นท่าทางชราภาพลงในทันใดของเจ้ากรมเยี่ยแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่ลอบส่ายหน้าในใจและไม่ได้พูดอันใดกับเขาอีก คนบางคนเกิดมาก็เห็นว่าชื่อเสียงและความมั่งคั่งสำคัญยิ่งกว่าชีวิต แต่กลับไม่มีหนทางอื่นให้เลือก