ไร้เหตุผลชะมัด ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว……
อุษณกร เด็กหนุ่มไทยอายุ 17 ปี ที่ปกติแล้วช่วงวัยและเวลานี้น่าจะต้องนั่งเรียนหนังสืออยู่ใน ห้องเรียนกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้น ในประเทศ….ไม่สิโลกที่สงบสุข ตอนนี้กลับกำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตายเต็มทีจากการปะทะกับกลุ่มมอนสเตอร์ในดันเจี้ยนของต่างโลก กำลังนั่งเอาหลังพึงกำแพง แล้วบ่นพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงที่แหบแห้งและแผ่วเบาอย่างที่สุดอยู่เพียงลำพัง
ตึก ตัก…………ตึก ตัก…………………..ตึก…………ตัก………………………..ตึก……………….ตัก
ชีพจรของเด็กหนุ่มกำลังอ่อนลงเรื่อยๆ แต่สัมผัสทางกายที่น่าจะหายไปจากการเสียเลือดของเด็กหนุ่มยังไม่ได้จางลงแม้แต่น้อย ความร้อนจากของเหลวสีแดงที่ไหลออกมาทั่วร่างไม่หยุดก็ยังคงชัดเจน ความเจ็บปวดที่ปากแผลจากการสูญเสียแขนซ้ายไปเองก็ยังชัดเจน สัมผัสความเย็นจากโลหะของมีดสั้นที่เสียบอยู่ที่หน้าอกค่อนไปทางซ้าย และใบมีดของดาบยาวสองคมมือเดียวอีก 2 เล่มที่ท้องน้อยทะลุผ่านลำตัวและทะลุต้นขาขวาไปก็ยังชัดเจน
ทรมาน……
ให้ตายสิ ถ้าจะตายทั้งทีขอตายแบบไม่ทรมานไม่ได้รึไง……
เพราะสมองประมวลผลเร็วกว่าปกติละมั้ง ทั้งที่เป็นความสามารถที่แสนภาคภูมิใจจากโลกเดิมแท้ๆ แต่เวลาแบบนี้กลับไม่มีประโยชน์เลย แล้วพอใกล้ตายทุกอย่างมันยิ่งดูช้าไปหมด เด็กหนุ่มคิดแบบนั้นพลางรับสัมผัสจากภาพที่อยู่ข้างหน้าอย่างไม่ตั้งใจ
…..เวลาแบบนี้ยังมัวมองอะไรไปทั่วอีกงั้นเหรอ? เพราะไม่มีแรงจะขยับต่างหากเฟ้ย! ฉันเองก็ไม่อยากไปมองไอ้พวกที่ยำฉันซะจนเป็นแบบนี้นักหรอก
ในสายตาของเด็กหนุ่มสะท้อนภาพของกลุ่มมอนสเตอร์ที่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าอนาถทั้ง 6 ตัว สองตัวเป็นมนุษย์ ที่มีหัวและลำตัวท่อนบนเป็นกิ้งก่า มีเกล็ดสีแดงเพลิง เรียกกันว่า ลิซาร์ดแมน ตัวนึงเป็น ก็อบลิน มีผิวสีเขียว หน้าตาอัปลักษณ์ จมูกแหลม ฟันหน้าหลายซี่ยื่นออกมาจากริมฝีปาก ส่วนอีกสามตัวที่เหลือมีรูปร่างเป็นโครงกระดูกมนุษย์ ทั้งหมดที่ว่ามามีส่วนสูงพอๆกัน เฉลี่ยอยู่ที่ 180 ซม.
จัดการไม่..ได้ ซักตัว..เลยเหรอ….
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองอีกครั้งด้วยเสียงที่เหนื่อยอ่อนเต็มที ราวกับเย้ยหยันความคิดของเขา มอนสเตอร์ทั้งหมดเดินจากไปในทิศทางตรงข้ามกับที่เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ราวกับหมดความสนใจจากเขาแล้ว
คิดจะหยามกันไปถึงไหนฟะ….
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆ นั่นแหล่ะ….. เรานี่มันห่วยชะมัด……
ความสามารถพิเศษที่สุดแสนจะภูมิใจก็ดันใช้ได้ไม่เต็มที่…….
รู้ดีอยู่แล้วหล่ะ ว่าฉันมันกากสุดๆ……ที่ว่าไร้เหตุผลก็แค่ข้ออ้างปลอบใจตัวเองเท่านั้น ไม่อยากจะยอมรับมันในตอนนี้ ถ้ายอมรับมันในตอนนี้จิตใจคงแตกสลายแน่
ถ้าแข็งแกร่งก็รอด อ่อนแอก็ตาย …การที่ปลาใหญ่กินปลาเล็กก็เป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะโลกไหนแท้ๆ
แต่ถึงเป็นแบบนั้นก็ยอมรับไม่ได้หรอก! ฉันจะมาตายตอนนี้ไม่ได้!
ยังมีเรื่องที่ต้องทำ! ยังมีเรื่องที่สัญญาไว้กับทุกคนไว้อยู่!
ฉันยังไม่อยากตายซักหน่อย!!!
…….แต่ว่า
ถึงคร่ำครวญไปก็เท่านั้นแหล่ะ รู้ดีอยู่แล้วว่ามันเปลี่ยนอะไรไม่ได้…
หึ! ถึงจะเป็นก่อนตาย แต่ไอ้นิสัยเสียที่ชอบงอมืองอเท้านี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแฮะ…
เฮ้อ!….ไม่เท่เอาซะเลยแฮะ…..อย่างน้อยก็ขอลากไปลงนรกด้วยซักตัว———
แม้เด็กหนุ่มจะยังมีใจสู้อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ แต่สมองกลับไม่ฟังคำสั่ง สติที่เด่นชัดมาตลอดของเด็กหนุ่มก็เริ่มดับวูบลงไป พร้อมกับความมืดมิดและความหนาวเย็นที่คลืบคลานเข้ามา———
❖❖❖❖❖
ชื่อของฉัน คือ『อุษณกร วัชรวิรุฬห์』 อายุ 17 ปี ชั้น ม.5/3 เด็กหนุ่มวัยกลัดมันที่หน้าตาสุดแสนจะธรรมดา แต่เพราะไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองละมั้ง ทั้งสิวและกระมันเลยขึ้นบนใบหน้าของฉันจนโทรมไปหมดเลยหล่ะ นี่พูดเองยังอายเลยนะเนี่ย….
สาเหตุหนึ่งก็คงเป็นเพราะฉันเป็นไอ้หนุ่มโอตาคุ ที่อุทิศชีวิตให้กับเกมและอนิเมะอย่างบ้าคลั่ง แล้วช่วงหลังยังสนใจหนังสงครามอยู่หน่อยๆ เลยไม่ได้ใส่ใจตัวเองเท่าไหร่ด้วย ตอนแรกก็กะทำประชดชีวิตหลังพ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตหรอก ช่วงนั้นเลยทำตัวไร้สาระไปวันๆ แต่มันดันฝังรากลึกแบบสุดๆเนี่ยสิ เอาเถอะอย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันยอมรับความจริงได้บ้างหล่ะน่ะ นั่นเลยทำให้ฉันยังพอกลับเข้าสังคมได้อยู่
ตัวฉันอาศัยอยู่ในเมืองธรรมดาทั่วไป ความหนาแน่นของประชากรก็ไม่มากไม่น้อยเกินไป ถนนหนทางก็ดูโล่งสะดวก สาธารณูปโภคก็ครบครัน ถือว่าน่าอยู่ไม่ใช่น้อย โรงเรียนที่เรียนเองก็เป็นโรงเรียนรัฐบาลที่ดีที่สุดในเมือง โรงเรียนเองก็มีคุณภาพ บุคลากรเพียบพร้อม ทิวทัศน์ในโรงเรียนก็ดูสะอาดตา ทุนทรัพย์ในการใช้ชีวิตก็มีลุงที่รู้จักกับพ่อแม่ตอนมีชีวิตอยู่ช่วยจัดการให้อีก ถือเป็นชีวิตสุดเพียบพร้อมระดับนึงเลยใช่ไหมหล่ะ….แต่ว่า
แผล่ะ!!!!!!
ตัวฉันที่กำลังนั่งกดเครื่องเล่นเกมแบบพกพาตามปกติในตอนเช้าก่อนโฮมรูมอยู่นั้น สัมผัสได้ถึงวัตถุเปียกชื้นบนหัวของตัวเอง เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นผ้าขี้ริ้วโสโครกเปียกน้ำ
〝ก๊าก!!! ห๊ะห๊ะห๊า เป็นไงหล่ะไอ้โอตาคุห่วยแตก! 〞
〝นี่แหละบทลงโทษที่ไม่ทำตามที่ลูกพี่บอก สมน้ำหน้า〞
〝〝ก๊าก!!! ห๊ะห๊ะห๊ะห๊ะห๊า 〞〞
เสียงหัวเราะของผู้ชายสองคนดังไปทั่วห้องเรียนในตอนเช้าก่อนโฮมรูม และมีอีกคนนึงยืนส่งสายตารุนแรงมาทางอุษณกรอยู่ด้านหลัง ซึ่งเขาคนนี้ก็คือ ลูกพี่ ของทั้งสองคนที่แกล้งกรนั่นแหล่ะ
【ให้ตายสิเริ่มอีกแล้วเหรอ】
【สกปรกจัง เหม็นหึ่งมาเชียว】
【หึหึหึ….สมควรแล้วหล่ะ】
และแม้เด็กหนุ่มจะถูกแกล้งจนอยู่ในสภาพดูไม่ได้ แต่เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่กลับไม่ได้รู้สึกสงสารแม้แต่น้อย กลับกันแล้ว พวกเขากลับรู้สึกพอใจเสียมากกว่าราวกับเรื่องที่กรถูกแกล้งเป็นเรื่องสมควรแล้วยังไงอย่างงั้น
อะแฮ่ม! ขอย้ำที่อยู่บนหัวฉันตอนนี้ คือ ผ้าขี้ริ้วสุดโสโครกแถมกำลังเปียกน้ำแฉะอีกต่างหาก
〝 เฮ้ยๆ! นี่ไม่คิดจะโต้ตอบซักหน่อยเลยเหรอวะ!? 〞ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเดินเข้ามาหาอุษณกรแทนที่ลูกน้องสองคนด้านหน้า พร้อมกับดึงคอเสื้อของอุษณกรขึ้นมาจากทางหน้าโต๊ะ แล้วพูดออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงท้าทายอย่างจงใจ
ไอ้ผู้ชายคนที่พูดท้าทายฉันอยู่นี่มีชื่อว่า『กฤษณะ ฤทธิ์เดชา』เป็นเพื่อนร่วมชั้นของฉันด้วยแหล่ะ ถึงจะไม่เต็มใจก็เหอะ เพื่อนๆในชั้นเรียนชอบเรียกหมอนี่ว่า『ไอ้เสือ』 ไว้ผมยาวกระเซอะกระเซิง เสื้อออกนอกกางเกงซีกหนึ่งโดยที่กระดุมเม็ดล่างสุดไม่ได้กลัด เข็มขัดและถุงเท้าก็ไม่ได้ใส่อีกต่างหาก มองดูแล้วก็พวกอันธพาลดีๆ นี่แหละ
แต่ว่านะ… ถึงจะถามว่างั้นก็เถอะ…
〝 เรื่องสิ… 〞อุษณกรตอบกลับไปแบบไม่ใส่ใจเหมือนทุกที
〝 ชิ! 〞
ปึ๊ก !!!
แล้วก็เหมือนทุกที เสือที่ท้าทายฉันไม่สำเร็จก็เดาะลิ้นเสียงดังใส่อย่างไม่สบอารมณ์ แล้วฉันก็รับการประเคนหมัดจากมันไปหนึ่งดอกถ้วนที่ใบหน้าด้านซ้าย แล้วก็กระเด็นไปชนกับโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง
อ๊อกกกก!!!!
เสียงของเด็กหนุ่มที่ถูกอัดจนกระเด็นไปกระแทกกับโต๊ะอีกฝั่งนั้นดังจนได้ยินไปทั่วทั้งห้องเรียน และที่ริมฝีปากของอุษณกรเองก็มีเลือดไหลออกมาด้วย
【เฮ้ยๆ เพลาๆ มือหน่อยล่ะไอ้เสือเอ้ย】
【ถ้ามาตายในห้องนี่คงหลอนน่าดูเลยนะเฟ้ย】
ไม่คิดจะช่วยกันซักนิดเลยสิเนี่ย แถมซ้ำเติมอีกต่างหาก ไม่สิ… ก่อนโดนชกรู้สึกว่าจะมีทั้งคนที่แอบกระซิบด้วยเสียงเหนื่อยใจ รังเกียจแล้วก็สมน้ำหน้าอยู่ด้วย
ส่วนคนอื่นคงเพราะไม่มีใครอยากมาซวยไปด้วยสินะ เอาเถอะ ถ้าฉันเป็นฝ่ายมองดูอยู่เองก็คงไม่คิดเข้ามาช่วยเหมือนกัน การเออออไปกับกระแสก็เป็นทางเลือกที่ฉลาดดีอยู่หรอก
ถ้าสังเกตดูรอบๆ ก็มีคนที่ทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์อยู่เหมือนกัน ผู้หญิงที่ตกใจสุดๆ จนถึงขั้นเอามือป้องปากก็ยังมี แถมยังมีคนส่งสายตาสงสารมาให้ด้วย ให้ตายสิน่าสมเพชชะมัดเลย
เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ บางคนก็เลยเกิดความชินชาไปแล้ว แต่ไอ้ที่มีเรื่องในห้องนี่ไม่ค่อยบ่อยนักหรอกนะ
หลังจากที่เสือทำกิจวัตรประจำวันดังกล่าวเสร็จแล้ว ก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่เขาเปิดประตูห้องเรียนแล้วจากไปด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์พร้อมกับลูกน้องที่ยิ้มเยาะเย้ยมาทางกร และดูเหมือนว่านักเรียนชายทั้งสามคนนั้นจะไม่รอเข้าโฮมรูมเหมือนเคย นั่นก็เพราะทั้งสามคนโดดเรียนเป็นปกติอยู่แล้วนั่นเอง
〜〜〜 เฮ้อ 〜〜〜
นี่หล่ะสภาพแวดล้อมของฉัน ไอ้เรื่องที่ถูกชวนทะเลาะด้วยนี่ก็เกิดขึ้นแทบทุกวัน เอาซะหน่ายเลยหล่ะนะ…
แล้วทำไมถึงไม่ตอบโต้งั้นเหรอ? ก็ไม่ใช่ว่าไม่ทำ แต่ทำไม่ได้ต่างหาก ด้วยสาเหตุหลายๆอย่างหน่ะนะ…
ฉันเองก็ไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เป็นอยู่หรอก ถึงแม้จะมีเรื่องพรรค์นี้เกิดที่โรงเรียนตลอดแต่แค่ที่เป็นอยู่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว เกิดไปหนักข้อกับหมอนั่นเข้าเรื่องก็จะยิ่งแย่กว่าเดิม เพราะฉะนั้นฉันถึงได้อดทนมาตลอด แต่การอดทนเองก็มีขีดจำกัดแน่อยู่แล้ว ทำไมถึงทนมาได้ขนาดนี้งั้นเหรอ?
นั่นก็เพราะ…
ครืด!!!
〝อรุณสวัสดิ์ทุกคน เมื่อกี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่าเสียงดังจนได้ยินมาถึงข้างนอกเลย———〞
คนที่เปิดประตูห้องเรียนเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้านักเรียนในห้องนี้คือ 『ไอริน ศิลปการสกุล』 เธอเป็นเด็กผู้หญิงไว้ผมยาวเลยไหล่แต่ยังไม่ถึงเอว ผมมีสีน้ำตาลเข้ม เข้ากับชุดปกกะลาสีสีขาว(ก็ชุดนักเรียนไทยทั่วไปนี่แหล่ะ)เป็นอย่างดี ผูกโบว์สีชมพูน่ารักสดใสไว้ที่ข้างศีรษะด้านซ้าย ริมฝีปากดูชุ่มชื่นมีสีชมพูอ่อน ดวงตากลมโต เบ้าหน้าได้รูป ถ้าจะหาคำจำกัดความละก็ คงเป็นคำว่า “น่ารักแบบสุดๆ เลย” นั่นล่ะ
〝กะ กร! เกิดอะไรขึ้นเหรอเนี่ย!!!!〞
เด็กสาวเรียกอุษณกรด้วยชื่อเล่นเนื่องจากความสนิทสนมสังเกตเห็นสภาพของเขา เธอจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปหาโดยไม่สนใจโต๊ะที่ล้มอยู่เลยแม้แต่น้อย
〝…..อย่าคิดมากเลย ริน มันก็เหมือนทุกทีนั่นแหละ〞
ฉันยิ้มเจื่อนๆ ให้กับรินเพื่อไม่ให้เธอลำบากใจกับสภาพของฉัน
แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วว่ามันช่วยไม่ได้มากนัก
〝จะไม่ให้คิดมากได้ยังไง!!!! ………นี่นายโดนแกล้งอีกแล้วงั้นเหรอ!? 〞
รินทำหน้าโมโหสุดขีด ราวกับโกรธแทนตัวฉันที่นั่งบื้อทำอะไรไม่ถูกยังไงอย่างงั้น
〝เสือ……..ใช่ไหม?〞
〝…….อา 〞
ฉันตอบกลับรินไปแบบกระอักกระอ่วนใจนิดหน่อย แถมยังแอบหลบหน้าเพราะรินมองมาทางฉันด้วยสายตาที่รวมความสงสารและความโกรธเข้าด้วยกันจนกดดันแบบแปลกๆนั่นแหล่ะนะ
แล้วบรรยากาศที่น่ากระอักกระอ่วนก็ดำเนินอยู่ซักพัก จนกระทั่งคนที่เข้ามาในห้องต่อจากรินเปิดปากทักพวกเรา…
〝เอ่อ… ขอโทษนะทั้งสองคน ก็ไม่อยากขัดจังหวะหวานแหววหรอกนะ แต่ดูไอ้ที่อยู่บนหัวของกรหน่อยดีกว่ามั้ง 〞
〝อ๊ะ!!! ……นี่มันผ้าขี้ริ้วสุดโสโครกเปียกน้ำแฉะเลยนี่น่า เดี๋ยวก่อนนะกร ….เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง〞
นี่เธอเป็นเอสเปอร์เรอะ!!! เกือบจะตบมุขออกไปแบบนั้นซะแล้ว เพราะเหนื่อยใจกับไอ้เสืออยู่หน่ะนะเลยไม่มีกะจิตกะใจจะพูด แล้วเมื่อกี้ฉันโดนชกไม่ใช่เหรอ? ไอ้นี่มันยังไม่หลุดจากหัวอีก เป็นเพราะมันเปียกสุดๆจนมีน้ำหนักกดทับมากหรือว่า……..ไม่เอา ไม่คิดดีกว่า แต่จะว่าไปพูดชื่อเล่นของ คุณผ้าขี้ริ้ว ได้แบบเดียวกับฉันเลยเนี่ย สุดยอดเกินไปแล้วนะรินเอ๋ย… เอาเถอะเรื่องนั้นช่างมันก่อน
ส่วนเจ้าผู้ชายที่พูดแทรกขึ้นมานี่ไหงมองบรรยากาศน่าหดหู่แบบนี้เป็นการจีบกันไปได้ฟะ เอาเถอะอย่างน้อยก็เอาพวกเราออกจากบรรยากาศน่าอึดอัดไปได้แล้วกัน ทำได้ดีมากไอ้เพื่อนยาก แล้วไอ้หมอนี่เองก็เป็นเพื่อนของฉันเหมือนกัน ชื่อว่า『ทินโชติ อัชณโสภณ』หน้าตา….ต้องบอกว่าดูดีแบบสุดๆ แถมยังมีผมสีเหลืองทองเป็นประกาย ทรงผมเนี่ยจะว่าไปแล้วก็ออกแนวดาราเกาหลีหน่อยๆเลย แล้วโรงเรียนเราก็ไม่เคร่งครัดเรื่องทรงผมซะด้วย เป็นประโยชน์ของหมอนี่ที่ทำงานถ่ายแบบเป็นงานเสริมพอดี
〝ให้ตายสิ…เกิดเรื่องบ้าๆ แบบนี้ไม่เว้นแต่ละวันเลยนะ เอ็งนี่ก็ยังอุตส่าห์ทนได้อีกนะ〞
〝เฮอะ!….ก็ฉันมันทนทายาทนี่หว่า จะงัดกะฉันก็ไปฟาร์มเวลมามากกว่านี้ก่อนเถอะ〞
〝นั่นไม่น่าใช่คำพูดของคนที่โดนเล่นจนหมอบหรอกนะเฟ้ย… …พูดแล้วมันเหมือนประชดตัวเองเลยฟ่ะ〞
〝อึก…..หนวกหูน่า ไอ้โชต〞
แม้จะคุยกับฉันด้วยท่าทีขี้เล่น แต่ก็ยังคงกิริยาราวกับเจ้าชายรูปงามไว้อยู่ ถ้าเป็นการ์ตูนตาหวานคงมีเอฟเฟคประกายวิ้งๆเป็นฉากหลังแหงๆ ทั้งห้องที่ได้ยินบทสนทนาของฉันกับโชตดันทำหน้าขยะแขยงใส่ฉันซะงั้น ช่างเจ็บปวดเสียนี่กระไร คิดว่าฉันเพี้ยนรึไงกัน!? ส่วนผู้หญิงในห้องก็เมินฉันที่เป็นผู้เสียหายไปมองไอ้โชตด้วยแววตาเป็นประกายแถมทำหน้าแดงหน่อยๆแทน ชักเริ่มหมั่นไส้ไอ้หมอนี่นิดๆแล้วแฮะ
〝ห๊าๆๆๆ นายเนี่ยน้าาาา… ขนาดเวลาแบบนี้ยังมาพูดจาเพ้อเจ้ออยู่อีก ตลกชะมัดเลย ห๊าๆๆๆ〞
〝นึกว่ามีเสียงเอะอะเพราะอะไรซะอีก ผมอุตส่าห์รีบมาดูนะเนี่ย〞
นักเรียนชายและหญิงทั้งสองคนพูดขึ้นมาอย่างไม่สนบรรยากาศ เพราะทั้งห้องกำลังสนใจการสนทนาของกร รินและโชตทั้ง 3 คนอยู่ เลยทำให้ไม่มีใครสังเกตทั้งคู่ตอนเข้ามาในห้องเรียน
〝อ้าว….อลิซ มาแต่เช้าแบบนี้ สงสัยหิมะจะตกซะละมั้งเนี่ย〞โชตเริ่มทักเด็กสาวที่มีนามว่าอลิซด้วยท่าทีสนิทสนม
〝ฉันมีซ้อมตอนเช้าน่ะสิ เดี๋ยวปั๊ดตบเกรียนแตกเลยนี่!!! ว่าแต่กรกับรินกำลังทำอะไรกันหน่ะ กายบริหารแบบใหม่เหรอ?〞
〝เห็นยังไงถึงคิดเป็นแบบนั้นไปได้กันฟะ ยัยติ๊งต๊องนี่!!!〞แล้วกรก็ตบมุกกลับไปด้วยความสนิทสนมเช่นเดียวกัน
และคนที่กำลังหยอกล้อกับโชตและฉันอยู่นี่มีชื่อว่า『อลิชา ศิริการกุล』ผมสีบลอนด์ทองเข้ม ผิวสีขาวเนียน เพราะเป็นลูกครึ่งไทยเยอรมันด้วย ส่วนสูงนี่เกือบๆ 170 ซม. เลยหล่ะ และอย่างที่อธิบายไป เธอคนนี้หน่ะเป็นดาวเด่นของชมรมกรีฑาเชียวนะเอ้อ ด้วยทรงผมโพนี่เทลหรือหางม้าที่ตัวเธอไว้อยู่ ทำให้ดูมีบรรยากาศเป็นสาวนักกีฬาที่มีความมุ่งมั่นและจริงจัง แต่เพราะมีนิสัยขี้เล่นกับติ๊งต๊องหน่อยๆ แถมขี้เกียจตัวเป็นขน ขนาดที่ว่ามาเรียนทันคาบ 2 เนี่ยยังเรียกว่ามาเร็วสุดๆแล้ว จนเป็นเรื่องปกติในทุกวัน มันเลยดูขัดกันแบบสุดๆ เรื่องนิสัยห่วยๆนั่นก็ว่าไปอย่าง แต่เรื่องหน้าตานี่ไม่ต้องพูดถึง ก็เป็นถึงลูกครึ่งเชียวนะ เรื่องน่ารักมันของตาย ขนาดฉันที่สนใจแค่โลก 2D เองยังต้องยอมรับเลยว่าเธอน่ารักแบบไม่ธรรมดาจริงๆ
〝อะแฮ่ม!!! จะอธิบายให้ผมฟังได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น〞เด็กหนุ่มที่เข้ามาใหม่อีกคนเริ่มถามหาเหตุวุ่นวายเมื่อครู่ด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่น้อย
〝จะอะไรหล่ะ…. ก็เหมือนเดิมนั่นแหล่ะชาญเอ้ย 〞โชตเองก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เหมือนกัน
〝อีกแล้วเหรอ…..ให้ตายสิ นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย เฮ้อ!〞พูดเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าชาญคนนี้ก็ถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้ากังวล
และผู้ชายที่คุยกับโชตด้วยคำพูดสุภาพและฟังดูน่าเคารพคนนี้เองก็เป็นเพื่อนของฉันเช่นกัน เขามีชื่อว่า 『วิเชียรชาญ รัตนไพศาล』ทรงผมนี่ก็ตัดรองทรงสูง ทำให้ดูเรียบร้อยมาก รวมกับกริยามารยาท การวางตัวก็ถูกกาลเทศะ ทั้งนี้ก็เพราะเขาเป็นรองประธานนักเรียนนี่แหละ ขนาดแนวกระดุม หัวเข็มขัด เป้ากางเกงยังอยู่แนวเดียวกันหมดเลย จะเรียบร้อยเกินไปแล้วเฟ้ย ส่วนหน้าตา….. ให้ตายสิไอ้หมอนี่ก็หน้าตาธรรมดาพอๆกับฉันแท้ๆ แต่เพราะมีอุปกรณ์เสริมอย่างแว่นตาทำให้ดูดีขึ้น พอใส่แล้วก็เข้ากันแบบสุดๆไปเลย
ริน โชต อลิซและชาญ พวกเราทั้ง 4 คนเป็นเพื่อนกันมานานมาก รินกับโชต รู้จักกันตั้งแต่อนุบาล ส่วนอลิซและชาญรู้จักกันตอน ป.1 ก็ไอ้ที่เค้าเรียกว่าเพื่อนสมัยเด็กนั่นแหล่ะ ฟังดูน่าอิจฉาใช่ไหมหล่ะที่มีเพื่อนสมัยเด็กที่แสนสุดยอดแบบนี้อยู่รายล้อมฉันตั้ง 4 คน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ตั้งแต่ตอนนั้นทุกคนเติบโตเป็นคนที่ยอดเยี่ยมจนฉันเทียบไม่ติดราวกับเราอาศัยอยู่กันคนละโลก
ไม่ว่าจะเป็นการเรียน กีฬา การเข้าสังคม หรือภาระงานฉันเทียบไม่ได้ซักอย่าง หน้าตาทุกคนก็อยู่ชั้นแนวหน้าของโรงเรียน ริน โชติและอลิซนั้นเรียกได้ว่าเป็นไอดอลและหน้าตาของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ชาญเองก็เพราะเป็นรองประธานกับความพยายามของเจ้าตัว แม้จะไม่เท่าทั้ง 3 คน แต่ก็เป็นที่นิยมขนาดว่าได้รับจดหมายรักเฉลี่ยอาทิตย์ละฉบับเลยเชียวหล่ะ
ใช่…. เพราะพวกเราต่างกันแบบนั้นแหละ แต่ถึงอย่างงั้น… แม้ตอนนี้บางคนจะอยู่กันคนละห้อง แต่เจ้าพวกนี้ก็ยังมาคลุกคลีกับฉันที่สุดแสนจะธรรมดาอยู่เสมอ ก็ไม่คิดว่าตัวเองต่ำต้อยหรอก แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีอะไรดีเหมือนกัน ในสายตาคนอื่นหน่ะน่ะ ไอ้เสียงกระซิบกระซาบประมาณว่า【ทำไมคนพรรค์นี้ถึงมาอยู่กับโชตได้】หรือ【ทำไมรินต้องไปช่วยไอ้หมอนั่นด้วย】ก็มีมาไม่ขาด
เพราะงั้นละมั้งเลยมีคนที่เกลียดขี้หน้าฉันเยอะพอสมควรเพราะเรื่องนี้ พูดให้ได้ศัพท์ง่ายๆก็คือ เจ้าพวกนั้นอิจฉานั่นแหล่ะ และที่ทำให้ทุกคนเกลียดขี้หน้าฉันสุดๆก็คงเป็นเหตุการณ์เมื่อเทอมที่แล้วนี่แหล่ะนะ เพราะงั้นจะโทษพวกนี้ก็ไม่ได้ด้วย
ส่วนตัวฉันเองก็ไม่อยากตัดพ้อเจ้าพวกนี้เพื่อให้ตัวเองรอดจากสายตาและคำพูดพวกนั้นหรอกนะ ไม่มีวันซะล่ะ! เจ้าพวกนี้ คือเพื่อนคนสำคัญของฉัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านั้น พวกเราอยู่ด้วยกันมาตลอดทั้งตอนที่ฉันทุกข์ยากหรือสุขใจ ตอนที่เสียพ่อแม่ไปเองก็ด้วย คิดว่าพวกเขาคงรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน อย่างน้อยก็หวังให้เป็นแบบนั้นแหละ เพราะงั้นฉันถึงไม่อยากเสียเจ้าพวกนี้ไป ฉันไม่สนสายตาของคนอื่นหรอก เพราะงั้นฉันถึงปล่อยให้สภาพแวดล้อมรอบตัวเป็นแบบนี้ต่อไปเพื่อคงความสัมพันธ์ของพวกเราไว้ เพราะนั่นเป็นความสุขที่เหลืออยู่น้อยนิดในชีวิตของฉันและเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันอดทนมาตลอดจนถึงตอนนี้ได้
〝เอาล่ะ……เรียบร้อยแล้วหล่ะกร〞
〝อะ โอ้! ขอบใจมากนะ ริน〞
ขณะเดียวกับที่กรกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่นั้น รินที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับแผล และใช้กระดาษชำระเช็ดน้ำที่เปียกจากผ้าขี้ริ้วจนแห้งเรียบร้อยดีแล้ว ก็เข้าร่วมบทสนทนาด้วยอีกคน
〝แบบนี้มันรุนแรงเกินไปแล้วนะ!! กร พวกเราไปบอกเรื่องนี้กับพวกคุณครูกันเถอะนะ!〞
ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง รินก็จะพูดประโยคที่คล้ายๆแบบนี้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ว่านะ….
〝ไม่ได้หรอก… ถึงพูดไปก็เท่านั้นแหละ〞กรตอบกลับไปด้วยท่าทีเสียดายเหมือนทุกที
〝ตะ แต่ว่า!!!!〞
〝ไม่หรอก… กรพูดถูกแล้ว ถึงฟ้องไปผมว่าอย่างมากก็แค่ถูกพักการเรียนเท่านั้นแหละ〞
ราวกับเดาความคิดของกรออก ชาญจึงช่วยขยายความให้
ใช่แล้ว… ถึงฟ้องไปอย่างมากก็แค่ถูกพักการเรียน เพราะถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตกว่านี้ก็หาเรื่องไล่ออกไม่ได้หรอก
การทะเลาะอยู่ในระดับท้าทายกวนประสาท… ไอ้ที่ต่อยกันนี่ก็ไม่ได้บ่อยขนาดนั้นด้วย แถมไม่เคยมีแบบที่รุนแรงถึงขั้นกระดูกหักหรือต้องเย็บแผลเลยซักครั้ง
แถมเรื่องส่วนใหญ่ที่เคยเกิดก็ยังไปไม่ถึงหูของพวกคุณครูอีก เพราะงั้นถ้ามันกลับมาหลังจากถูกพักการเรียน ฉันก็ต้องรับมรสุมที่รุนแรงกว่าเดิมจากการแก้แค้นของไอ้เสือ ซึ่งเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ฉันต้องหลีกเลี่ยงเป็นอันดับแรก
แล้วที่สำคัญ… เจ้าหมอนี่มันมีคนหนุนหลังอยู่ด้วย ทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หรอก…
〝 แล้วนายจะปล่อยให้เป็นแบบนี้รึไงกันฟะ!〞
เอ่อ…. ถูกโชตถามกลับมาแบบนี้ ฉันเองก็ตอบไม่ถูกเหมือนกันนะเนี่ย
เจ้าพวกนี้ไม่รู้นี่นาว่ามันช่วยไม่ได้จริงๆเพราะทางเลือกถูกจำกัด… เพราะฉันไม่อยากให้เจ้าพวกนี้กังวลเลยไม่ได้บอกเรื่องจริงไป
ไม่ได้การหล่ะ… ต้องหาข้ออ้างสำหรับหนีดีๆซะแล้วสิ…
〝หืม〜 คิดว่าฉันจะยอมงั้นเหรอ? ไม่มีวันซะล่ะ〞กรพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจและสีหน้าราวกับวางแผนสุดโฉดไว้ในหัว
〝〝〝 เอ๋!!!! 〞〞〞
ริน โชตและอลิซ ผิดคาดกับคำตอบของกรแบบสุดๆจนเผลอร้องออกมา ไม่สิ… ที่น่าตกใจคงจะเป็นท่าทางของกรเองต่างหาก
〝ฉันแค่รออยู่เท่านั้น… โอกาสที่จะพลิกกระดานหมากในเวลาที่เหมาะสมที่สุด แล้วไล่พวกมันออกในทีเดียวหน่ะ หึ… หึหึหึ!〞
กรพูดแบบนั้น ในขณะเดียวกับที่เอามือซ้ายมาบังดวงตาอันแสนเจ้าเล่ห์ในท่ากุมศีรษะ หากมองในสายตาคนทั่วไป เขาก็แค่ไอ้หนุ่มจูนิเบียวสุดเพี้ยนดีๆนี่เอง
โอ้! เท่ชะมัดเลย ท่าเมื่อกี้นี้เจ๋งจริงๆนะเนี่ยบ่องตง!
ฟังดูไร้สาระงั้นเหรอ? แหมๆ… ไม่มีใครคิดว่าฉันปกติอยู่แล้วนี่นา แต่สายตาทิ่มแทงมองมาทางนี้เต็มเลยแฮะ พูดเองยังรู้สึกเจ็บเลย แต่ยังไงก็เถอะ คำพูดของฉันที่รวมกับการแสดงระดับตุ๊กตาทองเนี่ยสุดยอดไปเลยแฮะ
…….อย่ามองฉันด้วยสายตาสมเพชแบบนั้นสิพวกนาย
แต่ว่าไม่ใช่หรอก นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากพูดจริงๆซักนิด ที่ฉันอยากจะพูดจริงๆหน่ะ คือ 〝คงงั้นมั้ง… ฉันไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องยุ่งยากหรอก〞ต่างหาก
เพราะถ้าไม่พูดไปแบบนั้นเจ้าพวกนี้ต้องเป็นห่วงฉันยิ่งกว่านี้แน่ แค่เรื่องของตัวเองพวกเขาก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว จะให้มาพะวงกับเรื่องของฉันไปตลอดไม่ได้หรอก อยากซัดตัวเองชะมัดเลย แต่ไม่รู้พูดแบบนี้ไปแล้วทุกคนจะเชื่อรึเปล่าเนี่ยสิ
〝หืม…………………คิดแบบนั้นอยู่งั้นเหรอเนี่ย〞
ชาญเป็นคนเดียวที่ไม่ตกใจ แต่ดันทำหน้าปั้นยากกับสายตาเฉียบคมมาทางนี้แทนซะงั้น แถมแว่นตายังสะท้อนแสงจนไม่เห็นดวงตาพอดีอีกต่างหาก… น่ากลัวแฮะ เพราะรู้เจตนาจริงของฉันละมั้งเนี่ย
ให้ตายสิ… เป็นคนที่ฉันไม่ถูกโรคด้วยเลยแฮะ
และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นักเรียนส่วนใหญ่นั้นเริ่มออกจากห้องไปได้ซักพักแล้ว จะว่าไปนี่ก็เลยเวลาโฮมรูมมานานแล้วนี่นะ ก็มีบ้างแหละที่ถ้าไม่มีเรื่องให้แจ้งเป็นพิเศษคุณครูก็จะไม่เข้าโฮมรูม เพื่อให้นักเรียนส่วนใหญ่ไปเตรียมตัวกับคาบแรกกัน
อ๋อ! จะว่าไปคาบแรกวันนี้เป็นวิชาคหกรรมที่อาจารย์วันเพ็ญสุดโหดสอนนี่หว่า ลืมซะสนิทเลยแฮะ พอเป็นแบบนั้นทุกคนคงรีบไปรอเรียนกันหมดแล้วหล่ะมั้ง หรือไม่ก็อยากจะหลบจากฉาก จะด้วยเพราะเห็นว่าพวกเรา 5 คนเข้าโลกส่วนตัวไปเรียบร้อยแล้วหรือไม่อยากจะยุ่งก็ไม่รู้เหมือนกัน จนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในห้องก็เลยมีแค่พวกเรา 5 คนในที่สุด
〝ตะ แต่ว่าพอมาอยู่กันแบบนี้ทำเอานึกถึงเมื่อก่อนเลยนะ ….ฮะฮะฮะ!!!〞
เพราะดูท่าบรรยากาศไม่ค่อยสู้ดี กรเลยหาโอกาสเปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียวเพราะทุกคนพากันคล้อยตามอย่างง่ายดายราวกับอ่านใจกันและกันออก
〝ใช่ตอนนั้นรึเปล่า? ที่อลิซตกจากต้นไม้ แล้วกรวิ่งมารับได้ทันพอดีเลยหน่ะ〞โชตตามกรทันในทันทีโดยการขุดคุ้ยอดีตแสนน่าอายมาเล่าสู่กันฟัง
〝อ๋อ… จะว่าไปกรตอนนั้นก็อยู่ในสภาพคล้ายๆแบบนี้เลยนี่นะ〞รินพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
〝โถ่! เอาเรื่องน่าอายของฉันมาพูดทำไมเนี่ย บู่ๆ〜 ถ้างั้นรินเองก็เคยเกือบตกไปในกระแสน้ำเชี่ยวสุดโหดด้วยนี่นา ดีที่กรพุ่งไปช่วยทัน ตอนนั้นอย่างกับในหนังเลยแน่ะ〞
〝ระ เรื่องนั้นมัน!!!〞
อลิซที่เอาลมเข้าปากทำแก้มป่องต่อคำพูดของโชตกับริน ช่างดูน่ารักน่าชังราวกับเด็กน้อยเลยทีเดียว ส่วนรินที่ถูกรื้อฟื้นกลับก็เขินจนหน้าแดง ก็ดูน่ารักไม่แพ้กัน
〝แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะ ที่คุณหัวหน้ากลุ่มของเราในตอนนั้นจะมาตกอยู่ในสภาพร่อแร่แบบนี้ ผมหล่ะทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ〞ชาญพูดแล้วก็ยกมือขึ้นกุมขมับ
〝นั่นสินะ… จะว่าไปกรในตอนนั้นดูเจิดจ้าสุดๆไปเลยหล่ะ〞รินพูดออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างร่าเริงในตอนที่พูดถึงกรแบบนั้น
〝ใช่ๆ! กรในตอนนั้นเนี่ยสุดยอดไปเลยหล่ะ จำได้เลยว่าเคยคีบแมลงวันด้วยตะเกียบได้ด้วยสินา〜〞
〝เฮ้ยๆ ยัยบ๊องนี่ จำฉันได้แต่เรื่องบ้าๆซะงั้น!!!〞กรรับ-ส่งมุกกับอลิซอีกครั้งด้วยสีหน้าท่าทางที่ผ่อนคลายลง
〝ฉันเองก็จำได้นะ ยังมีไอ้ที่เคยจับปลาในแม่น้ำด้วยมือเปล่าได้ เวลาเล่นไล่จับนายก็ชอบเป็นคนหาเจอตลอด แถมไอ้ตอนที่เล่นตีปิงปองกันตอนนั้นก็ไม่มีใครได้แต้มจากนายเลยด้วย〞
〝เห้ยโชต! เอ็งก็ด้วยเหรอ!?〞
〝แต่พอนึกย้อนไปแล้วมันน่าเจ็บใจชะมัดเลยอ่า〜 ดีหล่ะ!!! พักเที่ยงนายมาแข่งปิงปองกับฉันอีกครั้งเถอะ นะนะน๊ะ! 〞อลิซพูดแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาหากรอย่างใกล้ชิด
〝เฮ้อ! ไม่เอาอ่ะ…. เหนื่อยจะตายชัก〞กรตอบกลับแบบเลี่ยงนิดๆ
ตกใจหละซี่! ที่ในตอนเด็กฉันถูกยอมรับจากพวกเพื่อนๆขนาดนี้ เป็นถึงหัวหน้ากลุ่มเลยเชียวนะ สุดยอดเลยใช่ไหมหล่ะ? แต่มีแค่เรื่องสมัยเด็กนี่เท่านั้นแหล่ะนะที่สามารถเอามาอวดได้อย่างไม่อายใคร
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไอ้ที่ทำอะไรสุดยอดแบบนั้นได้เนี่ยไม่ใช่ลูกฟลุ๊คหรือโชคช่วยเลยนะ นั่นก็เป็นเพราะว่า…
〝เป็นความสามารถที่น่าอิจฉาชะมัดเลยนา ไอ้ 『สุดยอดการประมวลผล』นั่นหน่ะ〞
〝โชตเอ๋ย….เอ็งก็เพอร์เฟ็คอยู่แล้วนิหว่า ถ้าไม่มีไอ้นั่นฉันก็เป็นขยะน่ะสิ…..〞กรพูดออกมาพร้อมกับทำสีหน้าราวกับจะถอนหายใจได้ทุกเมื่อ
〝ผมเองก็อยากได้เหมือนกันนะ ไม่งั้นสอบกลางภาคที่จะถึงนี่คงได้คะแนนเต็มอย่างไม่ยากแท้ๆ ผมหล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคุณไม่เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ดีๆหน่ะ〞ชาญพูดออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดนิดหน่อยที่กรไม่พยายามเหมือนเมื่อก่อน
〝ก็นะ… มันดูน่ารำคาญแถมดูโกงโคตรๆเลยนี่นา… แบบนั้นไม่เอาด้วยหรอก〞แต่กรก็ตอบกลับแบบไม่ใส่ใจเหมือนเคย และเป็นอีกครั้งที่ชาญถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด
『สุดยอดการประมวลผล』เป็นความผิดปกติทางสมองและระบบประสาทในร่างกายที่ติดตัวฉันมาตั้งแต่กำเนิดแต่ไม่มีอันตรายใดๆกับร่างกายเลยตั้งแต่เกิดมา จึงนับได้ว่าเป็นความสามารถอันสุดแสนจะโกงโคตรๆ ซึ่งมันทำให้ฉันสามารถเพิ่มประสาทสัมผัสทั้งหลายให้เฉียบคมขึ้นได้หลายเท่าตัว
หากมีเวลา 1 วินาที คนอื่นอาจมีเวลาทำอะไรได้ซัก 1-2 อย่าง แต่ฉันสามารถทำมันได้มากกว่านั้น คือ 6-10 อย่างได้สบายๆเลยทีเดียว ในสภาวะปกติมันจะทำให้ฉันเห็นภาพทุกอย่างช้าลงราวๆ 10 เท่าของปกติเลยด้วยซ้ำ ซึ่งฉันได้พยายามฝึกควบคุมมันให้เท่าคนปกติจนสำเร็จด้วยการควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้ช้าลง รวมถึงรับยาจากหมอประจำตัวที่สนิทกับคุณพ่อด้วยหน่ะนะ
มันเป็นอีกสาเหตุนึงที่ฉันต้องทำตัวสุขุมอยู่ตลอดด้วย
แต่นั่นก็เพื่อปิดผนึกความสามารถนี้ไว้เนี่ยแหละ ถ้าเอาจริงละก็… จะทำให้ฉันมองเห็นโลกทั้งใบเป็นวิดีโอซุปเปอร์สโลโมชั่นได้เลยหล่ะ
แล้วไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะ! ทั้งความจำและความเร็วในการตอบสนองของระบบประสาททั่วร่างเองก็เร็วและแม่นยำกว่าปกติแบบเหลือเชื่อ ยกตัวอย่างเช่น หากร่างกายคนอื่นจะตอบสนองจากการถูกสะกิด ต้องใช้เวลา 0.1 วินาที แต่ฉันจะรู้ตัวตั้งแต่คนที่จะมาสะกิดฉันมันเริ่มขยับนิ้วโดยที่ฉันไม่ได้มองด้วยซ้ำ ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
แต่เห็นคุณหมอบอกว่าอาจเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของแต่ละคนก็ได้มั้งที่มากระตุ้นฉันก่อนที่จะสัมผัสด้วยร่างกาย เพราะงั้นฉันถึงต้องควบคุมตัวเอง ไม่งั้นละก็ตอนเดินบนถนนที่คนพลุกพล่านฉันคงอาเจียนแน่ๆ เลย ไม่สิ… เอาจริงๆก็เคยอาเจียนออกมาด้วยแหล่ะนะ เฮ้อ!
สุดยอดไปเลยใช่ไหมหล่ะ! แล้วคิดว่าฉันเอาความสามารถโคตรโกงนี้ไปทำอะไรเหรอ? แน่นอนอยู่แล้ว…
ก็เอาไปอุทิศให้กับเกมและอนิเมะไงล่ะ!!!!!!
รู้รึเปล่าฉันหน่ะดูอนิเมะ 27 เรื่อง พร้อมกับเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้เมาส์อีก 3 เกมไปพร้อมกันได้สบายๆเลยล่ะ ถ้ามีซัก 10 หน้า 20 มือเหมือนทศกัณฑ์ละก็คงทำได้เยอะกว่านี้ เพราะนี่เป็นขีดจำกัดทางร่างกายของฉันหล่ะนะ แล้วคนที่รู้เรื่องนี้ก็มีแค่คุณหมอกับเพื่อนๆทั้ง 4 คนเท่านั้น ก็แหมถ้ารู้ไปทั่วละก็เรื่องใหญ่แหงมๆ
แต่เอาเถอะ ถึงมันจะสุดยอดยังไงแต่มันก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างได้หรอก เรื่องของไอ้เสือก็เป็นหนึ่งในตัวอย่างนั้น
แล้วเรื่องของพลังนี้เองก็ต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดด้วย “ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ห้ามใช้มันเด็ดขาด” เป็นคำขอร้องเชิงคำสั่งที่คุณหมอพร่ำบอกฉันเสมอมา และฉันก็ทำตามมันอย่างดี เพราะเข้าใจอยู่แล้วว่าถ้าคนทั้งบ้านทั้งเมืองรู้เข้าจะเกิดอะไรขึ้น นั่นเป็นอีกเหตุผลนึงที่ไม่คิดจะใช้พลังนี้ในการแก้ปัญหาด้วยกำลัง
แล้วถึงจะโชว์เมพไปต่อยตีกับมัน ก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรอก แย่ลงด้วยซ้ำ ฉันนี่แหละที่อาจจะเป็นฝ่ายได้รับความหนาวเย็นจากแอร์ห้องปกครองแทน ฉันไม่อยากเสียประวัติซะด้วยสิ แล้วร้ายสุดหมอนี่อาจยกโขยงพาพวกเพื่อนๆมารุมยำฉันก็ได้ใครจะไปรู้ เพราะเห็นว่าเคยไปต่อยตีกับพวกโรงเรียนอื่นกันจนเกือบจะเป็นสงครามเลยทีเดียว
แต่ปัญหาไม่ใช่เรื่องจำนวนหรอกนะ… สาเหตุที่ฉันไม่อยากใช้พลังนี้ในการแก้ปัญหา เป็นเพราะช่วงที่พ่อแม่เสีย ฉันเคยใช้พลังนี้ไปทำเรื่องวุ่นวายอยู่พักนึงหน่ะสิ บางครั้งมันก็แอบคิดไม่ได้เลยว่านี่เป็นผลกรรมจากเมื่อตอนนั้น แต่ตอนนี้เลิกคิดเรื่องนั้นไปแล้วหล่ะนะ
มันเลยเป็นบทเรียนที่ไม่อยากใช้พลัง หรือกลัวว่าใช้พลังไปแล้วปัญหาจะตามมา…
ไม่ว่าจะพลังหรืออะไรก็ตามมันต้องมีจุดพอดีที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป นั่นคือสิ่งที่ได้รู้จากเรื่องนั้น…
ไม่สิ… ไม่ใช่บทเรียน มันคล้ายกับแผลใจมากกว่านะฉันว่า…
〝แต่พอนึกย้อนไปแล้วนายนี่มันสุดยอดไปเลยนะ… นายหน่ะ… เป็นฮีโร่ของพวกเราเลยหล่ะ!〞
ในขณะที่กรคิดไปเรื่อย จู่ๆอลิซก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังอย่างกะทันหันจนเหมือนนิสัยขี้เล่นของเธอเป็นของปลอมยังไงอย่างงั้น แต่คำพูดที่อลิซพูดขึ้นมานี้ก็ทำให้กรนึกถึงเรื่องราวบางอย่างในอดีตได้ ซึ่งนั่นทำกรจุกในอกไม่น้อยเลย…
〝ทำให้ผิดหวังรึเปล่า?〞กรถามออกมาด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยแบบแปลกๆ
〝ปล่าวซ๊ากหน่อย! ก็นายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนี่นา〞อลิซพูดแล้วก็เอาศอกเข้าไปกระทุ้งเอวกรด้วยท่าทีขี้เล่นของเธอเหมือนเดิม
〝ชะ ใช่แล้วหล่ะ! กรไม่ได้เปลี่ยนไปเลยซักนิดเดียว!〞ทางรินเองเพราะเห็นว่ากรแสดงสีหน้าเศร้าสร้อยออกมาก็เริ่มให้กำลังใจกรในแบบของตนเช่นกัน
แน่นอนว่านั่นเป็นเพราะสาวๆทั้งสองรู้สึกเป็นห่วงกร สภาพแบบนั้นของทั้งสามคนทำเอาโชตและชาญยิ้มไม่หุบอย่างมีเลศนัยเลยทีเดียว
พวกเธอเนี่ยน้า… แต่ว่านะ…
ตัวฉันในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนหรอกนะ… ไม่เลยซักนิด…
ฉันในตอนนี้มันก็แค่ไอ้ขี้แพ้คนนึงมากกว่า…
〝เอาเถอะ… ฉันว่าคนที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยคือพวกนายต่างหาก อลิซเองก็ยังทำตัวเหมือนเด็กจนถึงตอนนี้เลยนี่นะ〞กรพูดแล้วก็แสร้งยิ้มออกมาเพื่อให้บทสนทนาหลุดออกจากวังวนแห่งอดีตที่แสนมาคุ
〝หนอย… ว่าไงน้าเจ้าหมอนี่!!!〞
〝ปากดีนะเอ็ง!〞
แล้วทั้งอลิซและโชตก็คล้อยตามกรโดยการเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างสนิทสนมในทันที โดยที่กรไม่รู้เลยว่าพวกเขามองการแสร้งยิ้มเพื่อให้ทุกคนสบายใจของตนออก
〝แต่ว่า… พอนึกย้อนไปมันก็สนุกชะมัดเลยเนอะ… เวลาได้ไปผจญภัยกันตอนเด็กๆเนี่ย〞
〝……ก็ ……นั่นสินะ〞
พอกรตอบกลับคำพูดของรินซึ่งราวกับเป็นความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในใจนั่นแล้ว กรกลับรู้สึกเหมือนเกิดช่องว่างในจิตใจที่ทั้งใหญ่และลึกสุดๆ ขึ้นมา พร้อมกับทำให้กรเกิดความรู้สึกเจ็บปวดทรมานตรงหน้าอกอย่างบอกไม่ถูก
【 จริงๆแล้วฉัน… อาจจะอยากกลับไปมีช่วงเวลาแสนสนุกแบบนั้นอีกซักครั้งหล่ะมั้งนะ 】
ทั้ง 5 คนหวนนึกถึงช่วงเวลานั้นพร้อมกันราวกับนัดแนะกันไว้ พวกเราในวัยเด็กนั้น ไม่ว่าจะตอนเล่นในแม่น้ำ ลุยป่าหรือแม้กระทั่งปีนเขาก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทั้ง 5 คนเห็นภาพของตัวเองในวัยเด็กพร้อมกับเพื่อนๆ วิ่งเล่นด้วยสีหน้ายิ้มแย้มออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจอย่างสนุกสนานและร่าเริงอย่างที่สุด บรรยากาศช่างดูอบอุ่น สัมผัสได้ถึงความสุขอย่างชัดเจนราวกับมันมีตัวตนอยู่ตรงหน้าของพวกเขายังไงอย่างงั้น ไม่ว่าจะเวลาไหนก็อยู่ด้วยกันเสมอ ทุกคนเป็นเพื่อนที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ทั้ง 5 คนคิดแบบนั้น พลางมีความปรารถนาที่อยากจะย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ราวกับเป็นนิรันดร์นั่นอีกครั้ง โดยหารู้ไม่ว่าอีก 4 คนที่เหลือเองก็กำลังคิดแบบนั้นอยู่เช่นกัน
〝เอ๋!!! นี่มันจะเริ่มคาบแรกแล้วเหรอเนี่ย〞
〝ว่าไงน่ะ!!! แย่หล่ะสิ คาบแรกเราเรียนกับครูวันเพ็ญไม่ใช่เหรอ?〞
〝เห้ยๆ ไม่ตลกนะเฟ้ย!!! รีบไปกันได้แล้ว เดี๋ยวก็ซวยหรอก 〞
พอรินพูดขึ้นมา ทั้งกรและโชตก็สะดุ้งโหยงทันทีที่หลุดออกมาจากห้วงแห่งความทรงจำพร้อมๆกับอลิซและชาญ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ไม่สิ… แค่ชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น หลังบทสนทนาของทั้ง 5 คนได้จบลง ก็เกิดเหตุการณ์อันแปลกประหลาด ที่จะสั่นคลอนชะตาชีวิตของทุกคนไปตลอดกาลขึ้น
〖เอาหล่ะ! เหล่าหนุ่มสาวทั้งหลายเอ๋ย จงเตรียมพร้อมกับชะตากรรมของตัวเองจากนี้ต่อไปให้ดี 〗
วิ้ง!!!!!
หลังจากได้ยินเสียงพูดที่มีความเบื่อหน่ายปนอยู่ ก้องขึ้นมาในกะโหลกศีรษะเมื่อครู่ เสียงที่เหมือนสัญญานขาดหายในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ตามมาติดๆกัน ผ่านเข้ามาในใบหู เสียงของมันดังราวกับจะทำให้แก้วหูปริแตกยังไงอย่างงั้น แล้วทิวทัศน์อันว่างเปล่าที่แสนมืดมิดก็เริ่มเข้าโอบล้อมสัมผัสของกร
อะไรเนี่ย… นี่มันอะไรกัน ? ทุกคนหล่ะหายไปไหน ?
อืม… ตั้งสติไว้ มืดแบบนี้มองไม่เห็นแน่ๆ อยู่แล้ว ก่อนอื่นก็ต้อง…
.
.
สุดยอดการประมวลผลไม่ทำงานงั้นเหรอ? ไม่สิ… ก็ยังทำงานอยู่แต่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วต่างหาก…
พอกรจะใช้สุดยอดการประมวลผลตามหาเพื่อนที่อยู่รอบๆตัวเขาของเขา แต่กลับหาไม่เจอเลยทำให้เกิดความกลัวที่จะสูญเสียความสามารถเพียงหนึ่งเดียวของตนไป กรจึงลับประสาทสัมผัสให้คมกริบ แล้วลองตรวจสอบการเต้นของหัวใจตัวเอง ก็พบว่ายังคงสัมผัสได้แม้การเปลี่ยนแปลงจะเล็กน้อยก็ตาม จึงตีความว่าความสามารถของตนยังไม่หายไปนั่นเอง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย…..
พอจะมีเวลาให้คิดแบบนั้นซักหน่อย หลังจากนั้นความมืดมิดที่อยู่รอบตัวฉันก็เด่นชัดขึ้น……..แล้วสติของฉันก็ดับวูบลงในเสี้ยวของเสี้ยววินาทีโดยที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว———
❖❖❖❖❖
Facebook Page : https://www.facebook.com/HatthAnant