ภาพมังกรที่โกรธจัดประชันหน้าอยู่ตรงนี้ ใกล้จนอีกฝ่ายเดินมาก้าวเดียวก็คงเหยียบพวกเราทั้งคู่ได้…ฉันเองที่คิดว่าตัวเองตัวโตพอควรแล้วยังขนาดเท่าอุ้งเท้าของอีกฝ่ายเท่านั้น
มันจ้องฉันอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศผ่อนคลายลง ก่อนจะกวาดสายตาไปรอบ ๆ และหยุดที่เคียร่า ซึ่งล้มพับอยู่กับพื้น
และแยกเขี้ยวขู่จนมีบรรยากาศน่ากลัวกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะทำท่าเหมือนจะเดินไปเหยียบเธอ ในตอนนั้นเองฉันก็…
‘หยุดนะ!!’
คำรามออกมาเสียงดัง แม้จะดังไม่ได้เศษเสี้ยวของมังกรตัวนั้น ทั้งยังเป็นเสียงที่ดูสั่นและอ่อนแรง แต่ฉันก็กระโดดเอาตัวไปขวางระหว่างเคียร่ากับมังกรตัวนั้น
กลัว…แต่ฉันจะหนีไม่ได้ จะเบือนหน้าหนีหรือแสดงความกลัวออกมาไม่ได้ เพราะฉันยึดมั่นไว้แล้ว…ว่าฉันจะปกป้องเคียร่า ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
มันทำสีหน้าประหลาดใจออกมาแวบหนึ่ง ก่อนจะแยกเขี้ยวและพูด ด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกแปลกใจ
‘หลบไป! ข้าจะขยี้พวกมนุษย์ให้สิ้นซาก!!’
เสียงนี้…เสียงที่เคยได้ยินจากในฝัน เสียงของแสงสีทองที่ห่อหุ้มตัวฉันเอาไว้ สรุปแล้วมันคืออะไรกันแน่ แล้วมังกรตัวนี้เป็นใครกัน…
แต่เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง ความจริงที่ตอนนี้เคียร่ากำลังตกอยู่ในอันตรายเป็นความจริง เพราะเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธแค้น ทั้งยังจ้องเขม่นไปที่เคียร่า
เจตนาทำร้ายออกมาอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเสียงคำรามที่ชวนให้หางหด…ไม่สิ ตอนนี้เป็นแบบนั้นเลยต่างหาก
ฉันนั้นยืนตั้งท่าขาหน้าแยกออกอย่างมั่นคง แต่ว่าหดหัวกลับมาก้มหลังและหางตกจนมาโดนท้อง เป็นท่าทีของสัตว์ที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
แต่ถึงตัวจะสั่นก็ตามฉันก็ยังฝืนแยกเขี้ยวออกมา และจ้องตากลับไปอย่างหนักแน่น แสดงให้เห็นว่าไม่คิดจะถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว
อีกฝ่ายเปิดตากว้างและผ่อนบรรยากาศลงเล็กน้อย แต่ก็ยังแสดงท่าทีเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
‘เจ้าคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่? หลบไปได้แล้ว!’
‘ถามโง่ ๆ ก็กำลังปกป้องเคียร่าอยู่ไง ไม่มีทางหลบหรอก!’
‘ปกป้องมนุษย์งั้นเรอะ!!’
ฉันที่กลั้นใจสวนกลับอีกฝ่ายไปก็ต้องสะดุ้งโหยงและเผลอถอยหลังเล็กน้อย น่ากลัว เสียงคำรามที่ดังไปทั่วก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
ไม่สิ ตอนนี้เขาก็กำลังโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม จะไหวจริงเหรอ? ฉันจะปกป้องเคียร่าจากสิ่งมีชีวิตนี่ได้จริงเหรอ? ตอนนี้สังเกตไปทางหมู่บ้านก็เห็นกลุ่มพวกคุณโรเวิร์ตรีบมาดูด้วยความแตกตื่น
แต่ต่อให้เป็นเด็กแค่ไหนก็รู้…ว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังตรงนี้ได้แน่ ภาพในฝันนั่น…มันย้อนกลับมาอีกครั้งราวกับกำลังย้ำเตือน
‘เจ้าจะปกป้องมนุษย์ไปทำไม ไม่คิดรึว่าการทำแบบนี้จะเป็นการทิ้งชีวิตไปอย่างเสียเปล่า!’
‘ฉะ- ฉัน…’
เสียท่าโดยสมบูรณ์ ต่อให้ตั้งใจยึดมั่นแค่ไหนพออยู่ต่อหน้าพลังที่มากมหาศาล อยู่ต่อหน้าช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย พอคิดย้อนไปตอนที่เกิดใหม่โดยรู้ว่าชาติก่อนตัวเองตายแล้วก็กลัวขึ้นมา
กลัวว่าซ้ำรอย ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างที่อยากทำ ก็ต้องตายไปอีกครั้ง…ถ้าฉันหนีไปจะยืดเวลาได้อีกสักหน่อยไม่นะ
“ริเกล…”
ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเคียร่า และเธอก็เข้ามากอดคอของฉันเอาไว้…เธอกำลังตัวสั่น กำลังกลัวอยู่เหมือนกัน
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะคิดอะไรต่อ เธอก็พูดสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ก็สมกับเป็นเธอออกมา
“ไม่ต้องห่วงฉัน ถ้าเป็นริเกลจะต้องหนีทันแน่…”
เธอกระซิบแบบนั้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะปล่อยมือจากคอของฉันและเผยให้เห็นรอยยิ้ม…ที่สั่นเพราะความกังวล รู้ได้เลยว่าต่อให้เป็นเคียร่า เจอขนาดนี้ก็ต้องอยากร้องไห้เป็นธรรมดา
ทำให้ฉันได้แต่อ้าปากค้าง
ทำไมเธอถึงเข้มแข็งได้ขนาดนั้นกัน…ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ แม้แต่ตอนโดนโจรทำร้ายก็เหมือนกัน เธอเลือกที่จะปกป้องฉันอย่างไม่ลังเล
ทำไม? เธอน่ะอ่อนแอนะ เป็นแค่เด็กมนุษย์ตัวเล็กและอ่อนแอ ถึงจะอายุเยอะกว่าฉันแต่โดยรวมถ้าฉันออกแรงยังไงก็เหนือกว่าเธอได้สบาย ๆ
แล้วทำไมถึงออกตัวได้ตลอด ต่อให้เจ็บตัวก็ยังยิ้มให้ และช่วยฉันเอาไว้ตลอด ไม่เข้าใจเลย…แล้วที่ไม่เข้าใจที่สุดก็คือตัวเอง
ไม่เข้าใจที่ทำไมถึงปล่อยให้เป็นแบบนั้น เมื่อกี้ก็ดันคิดอะไรอย่างการ ทิ้ง เคียร่าเอาไว้แล้วหนีไป ฉันนี่มัน…ใช้ไม่ได้จริงๆ
‘…’
มังกรที่จ้องพวกเราอยู่แม้จะมีสีหน้าไม่สบอารมณ์และโกรธ แต่ก็ไม่บุ่มบ่ามเข้ามาโจมตีในทันที ราวกับกำลังรอให้พวกเราจัดการกันเสร็จ…
และฉันที่ด่าตัวเองชุดใหญ่ก็ใจเย็นลงอย่างน่าประหลาด หางก็ผ่อนแรงลงและไม่หดจนถึงท้องแล้ว ตัวที่สั่นก็กลับมาสงบนิ่ง และคราวนี้แหละ ฉันก็จ้องกลับไปที่อีกฝ่ายอย่างหนักแน่น
จนเขาขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ
‘ปกป้องทำไมเหรอ…ก็เพราะพวกเขาน่ะ’
ฉันเว้นช่วงนิดหน่อยแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลับตาลงตั้งสติ และคำรามกลับไปให้เสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อบอกเขา
‘พวกเขาน่ะ เป็นครอบครัวของฉัน!!’
เมื่อฉันพูดจบเสียงคำรามที่ดังออกมานั้น คล้ายคลึงกับอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูกก็กระตุ้นให้สัตว์รอบ ๆ แตกตื่นอีกครั้ง
และเวลาก็ผ่านไปครู่หนึ่งบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ก็หายไป มังกรตัวนั้นเปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง อ้าปากขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
ดวงตาสั่นเครือทั้งยังใสขึ้นมา…อย่างกับคำกำลังจะร้องไห้เลย
‘กรร!!’
และก่อนที่จะได้สังเกตต่อ อีกฝ่ายก็ขบฟันแน่นและยกเท้าขึ้นเหนือหัวพวกเรา ในตอนที่มันกดเท้าลงมาแน่นฉันก็หลับตาลงด้วยความกลัว
‘ตึง!!’
เสียงกระแทกดังขึ้นตรงหน้า พื้นสั่นจนตัวลายขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมีชีวิตอยู่…ฉันจึงลืมตาขึ้นมามอง ก็พบว่ามันกระทืบเท้าลงมาเฉียดหน้าฉันไปเพียงนิดเดียว
ก่อนจะทำสีหน้าไม่พอใจสุดขีดและสะบัดหลังให้
‘งั้นก็ตามใจ!!แต่จงจำไว้ ข้าคือ เฟรริเคีย!!’
พูดจบ เฟรริเคียก็สยายปีกกลาง และออกบินไปโดยก่อให้เกิดลมพัดไปทั่วจนต้นไม้แทบจะหัก ก่อนที่ร่างของเขาจะทะยานขึ้นสู่ฟ้า
และหายลับไปด้านหลังของผา…รอดแล้วเหรอ?
“เคียร่า! ริเกล! เกิดอะไรขึ้น”
เสียงของคุณโรเวิร์ตดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับคนในหมู่บ้านที่ถืออาวุธที่คุณภาพไม่ดีนักติดมือมา แต่ฉันที่รู้ว่าทุกอย่างจบลงแล้วก็ได้แต่หมดแรงจะยืน
ก่อนจะเข่าอ่อนล้มลงสบตากันกับเคียร่า ความรู้สึกโล่งอกถาโถมเข้ามาหาพวกเรา และเคียร่าก็เริ่มสะอื้น…ฉันเองก็เริ่มสะอื้น
ราวกับว่าความกลัวที่เก็บซ่อนไว้พุ่งออกมาพร้อมกัน ใช่ พวกเราสองคนร้องไห้ไม่หยุดจนทุกคนต้องเข้ามาปลอบโยน…
———– ———
“ลำแสงทำลายล้างแบบนั้น ไม่ผิดแน่ เฟรริเคีย”
หลังจากร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไป ตื่นเช้ามาพวกเราก็ได้พักกันเป็นกรณีพิเศษ และตอนนี้ก็กำลังฟังคำอธิบายของคุณโรเวิร์ต ที่ชี้เนื้อหาในหนังสืออยู่นั่นเอง
“สิ่งที่ถูกแสงอาบจะถูกทำลายจนไม่เหลือซาก พื้นติดแตกพังจากความเสียหาย เป็นมังกรที่มีลมหายใจทำลายล้างรุนแรงมากที่สุด และเป็นหนึ่งในมังกรพิภพ เฟรริเคีย”
“…แล้วทำไมตัวตนระดับนั้นถึงโผล่มาไล่พวกเราล่ะคะ”
“ข้าก็ไม่รู้…”
แม้จะรู้ถึงตัวตนอีกฝ่ายได้แล้วแต่พวกเราก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี นี่รึเปล่านะ ที่คนเขาบอกว่าตัวตนระดับเทพมักจะทำในสิ่งที่เกินความเข้าใจ และแน่นอนว่าเคียร่าก็ถือวิสาสะตั้งชื่อให้เขาว่า ไคซารัส
แต่จากคุณโรเวิร์ตเล่าเหมือนว่าหลังจากนี้อาจจะเกิดเรื่องยุ่งยากแน่ เพราะว่ามันอาละวาดหนักจนขนาดเมืองที่ไกลออกไปยังเห็นเลย
และสิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือ…
“ริเกล อาจจะมีคนอยากเจอตัวเจ้าเยอะหน่อยนะ”
มีคนอยากเจอฉันเหรอ…และถ้าพูดแบบนั้นแสดงว่าคนที่อยากเจอก็ไม่ใช่คนธรรมดาน่ะสิ อย่างขุนนางหรือคนมีอำนาจ อะไรเทือกนั้น
“และเพราะแบบนั้นจึงดึงดูดคนที่ไม่ประสงค์ดีนักมาด้วย ข้าจะให้ดีอาร์เร่งสอนการป้องกันตัวให้เจ้าก่อนที่จะเกิดเรื่องเลวร้ายอีก”
พูดจบเขาก็ให้พวกเราเริ่มเรียนเวทมนตร์กันเลยทันที คงเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ สินะ เพราะว่าขนาดตอนนั้นที่อีกฝ่ายเป็นโจรธรรมดายังบาดเจ็บหนักเลย ต้องรีบป้องกันเอาไว้ให้มากกว่านี้
ฉันนั่งฟังคำอธิบายการใช้เวทมนตร์ของมนุษย์จากคุณโรเวิร์ต ซึ่งสรุปง่าย ๆ ก็คือให้ภาวนาถึงเวทมนตร์ เพื่อให้สัมผัสได้ และก็ร่ายเวทเพื่อให้ออกผล
หลังจากนั้นก็ต้องควบคุมพลังที่ได้ออกมาจากคำร่าย เพื่อให้เป็นไปตามที่เราต้องการ ทำนองนั้น…ฟังดูไม่ยากเลยแฮะ?
“สัมผัสเวทมนตร์…งี้นี่เอง ยากตรงนี้สินะคะ”
เคียร่าพึมพำแบบนั้นออกมาราวกับเข้าใจแล้ว เอ๊ะ เคียร่าสัมผัสเวทมนตร์ไม่ได้เหรอ ฉันแค่หลับตาตั้งสมาธิก็มองเห็นแล้ว เผลอ ๆ ก็ได้กลิ่นด้วย
แต่ฉันได้มารู้ทีหลังจากดีอาร์ ว่ามนุษย์ไม่สามารถสัมผัสเวทมนตร์ได้โดยตรงเหมือนมังกร จากนั้นพวกเคียร่าก็แยกตัวไปฝึกสัมผัสเวทมนตร์ ฉันเองก็รับการฝึกจากดีอาร์
‘เจ้าเองก็สังเกตเห็นแล้วสินะ เวทมนตร์’
‘แสงที่ห่อหุ้มตัวฉันเอาไว้เหรอ?’
‘ใช่ และเวทมนตร์ที่ใช้ง่ายที่สุดของมังกรก็หนีไม่พ้น ลมหายใจมังกร’
ชื่อท่าที่ดูคลาสสิคดังออกมาจากคำพูดของดีอาร์ ก่อนที่เขาจะหันไปที่โล่งพลางบอกให้ฉันมองเวทมนตร์ให้ดี และอ้าปากกว้างสูดหายใจเข้าลึก
ฉันหลับตาสัมผัสถึงเวทก็พบว่ามีแสงสีเขียวที่ห่อตัวดีอาร์อยู่นั้น ไหลไปรวมกันอยู่ที่ปากที่เดียว เมื่อฉันลืมตามามองที่โลกจริงก็พบว่า
ที่ปากของเขาเต็มไปด้วยแสงสีเขียว ก่อนที่ดีอาร์จะปิดปากลงกะทันหัน และพ่นออกไปด้านหน้า มีลำแสงสีเขียวพุ่งไปใส่พื้นโล่งด้านหน้า เป็นแสงที่คล้ายกับของเฟรริเคีย
เกิดพลังทำลายพอควรจนพื้นร้าวเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นแตกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนตอนเฟรริเคียยิง
‘หลักการทำงานก็ง่าย ๆ เจ้าแค่รวบรวมเวทมนตร์ที่ไหลในร่างให้มาตรงปาก แล้วก็พ่นออกไปให้สุดแรงแบบนี้ ลองทำดูสิ’
ฉันพยักหน้ารับเขาและมองไปทางเดียวกันกับที่เขายิงไป และตั้งสมาธิอ้าปากกว้าง พร้อมทั้งสูดลมเข้าให้เต็มปอด ทั้งยังพยายามควบคุมแสงรอบตัวให้มารวมกัน
อ๊ะ มันขยับมาง่ายแล้วก็ตามใจนึกกว่าที่คิดเยอะเลยแฮะ เมื่อรวบรวมจนได้ระดับหนึ่งฉันก็เว้นช่วงและปิดปาก ก่อนจะปล่อยออกไปเหมือนกับหายใจออก
และตอนนั้นก็รู้สึกเหมือนมีความอุ่นออกมาจากปากฉัน ใช่ มีลำแสงสีฟ้าออกมาจากปาก และทำลายล้างพื้นที่โดนแสง…มันแตกเป็นเสี่ยง ๆ
แม้แต่ดีอาร์ก็ยังทึ่งกับพลังของฉัน มันรุนแรงยิ่งกว่าที่เขาแสดงให้ฉันดูซะอีก…
‘อะ- โอ้…เจ้ามีพรสวรรค์นะ’
ไม่ใช่ว่าของแบบนี้อยู่ที่สายพันธุ์เหรอ…แต่ดีอาร์ก็มองข้ามส่วนนั้นไป ก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ
‘การใช้เวทมนตร์สำหรับมังกรนั้นจะง่ายกว่ามนุษย์ เพราะพวกเราสัมผัสและควบคุมเวทมนตร์ได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ซึ่งนอกจากลมหายใจมังกรอันเป็นเวทพื้นฐาน ก็สามารถใช้ได้หลากหลายเช่นกัน จะลองทดลองหลาย ๆ แบบดูก็ได้นะ’
ดีอาร์พูดแบบนั้นแล้วก็บอกว่าให้ไปฝึกตามสบาย…แค่นี้เหรอ? แน่นอนว่าฉันเผลอถามออกไปแบบนั้น ซึ่งดีอาร์ก็ตอบกลับมาว่า
‘ขอบเขตเวทมนตร์ที่ใช้ได้ของมังกรจะอยู่ที่สายพันธุ์ ข้าไม่ใช่เจ้าข้าบอกไม่ได้หรอก’
ว่างั้นแหนะ สุดท้ายก็เพราะสอนไม่ได้สินะ…เอาเถอะ ลองดูหลาย ๆ อย่างตามที่บอกแล้วกัน