หลังจากพวกเราคุยกันและสงบลงแล้วก็ตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง ปัญหาตอนนี้นั้นเหลือแค่ให้ศาสนาวารุนยอมรับในตัวเคียร่า และลงทะเบียนมังกรเท่านั้นเอง
และเรื่องนั้นเพียงลำพังเราเองไม่รู้ว่าควรทำยังไง จึงเลือกจะไปปรึกษาคุณโรเวิร์ต…แต่เจ้าตัวดันไม่อยู่เหลือเพียงคุณดาริกเท่านั้น
“อย่าใส่ใจเลย คิดว่าฉันเหมือนท่านโรเวิร์ตก็ได้ ไม่ต้องทางการนักหรอก”
เขาสังเกตว่าทั้งเคียร่าทั้งฉันเกร็งพออยู่ต่อหน้าเขา เพราะอีกฝ่ายมีออร่าขุนนางน่าเกรงขาม…ต่างจากคุณโรเวิร์ตที่บางทีก็ลืมว่าเขาเป็นขุนนาง ฮ่า ๆ
ฉันเผลอหัวเราะในใจพร้อมทั้งเดินตามทุกคนไปถึงห้องรับรองที่เก่า และเคียร่าก็เริ่มเปิดประเด็นทันที
“พอจะมีวิธีให้ทางโบสถ์ยอมรับฉันไหมคะ”
“ให้ทางโบสถ์ยอมรับ…อ้อ ลงทะเบียนมังกรสินะ”
เขาบ่นพึมพำและพิงหลังไปที่โชฟาอย่างปล่อยตัว ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ราวกับกำลังคิดหาคำตอบในอากาศ…ดูเป็นแบบนั้นจริง ๆ นะ
และเขาก็กอดอกมองที่เคียร่าเช่นเดิม พร้อมทั้งพูดออกมา
“ดูท่าตอนนี้ถ้าศาสนาวารุนจะยอมรับ ก็ต้องเป็นขุนนางของประเทศเท่านั้นล่ะนะ”
“เป็นขุนนาง…เหรอคะ?”
เคียร่าถามพลางกะพริบตาปริบ ๆ อย่างไม่เชื่อหู ซึ่งทางนั้นก็ทำเพียงพยักหน้ารับ
“ใช่ เพราะตอนนี้โบสถ์คงยอมรับไม่ได้ หากต้องประกาศว่าของศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือของเด็ก หรือต่อให้โตก็คงติดอยู่ตรงเป็นสามัญชนอยู่ดี”
“งั้นเหรอคะ…แล้วต้องทำยังไงเหรอคะ”
“นั่นสินะ ถ้าวิธีก็…จ่ายเงินจำนวนมากซื้อตำแหน่ง สร้างผลงานให้ถูกใจราชา แล้วก็อย่างสุดท้ายวิธีที่ง่ายที่สุด…อยากฟังรึเปล่า”
เขาพูดแบบนั้นแล้วยิ้มเจื่อนให้เคียร่า ราวกับกำลังเกรงใจเธออยู่ ถึงแม้จะดูมีพิรุธไปหน่อยแต่พวกเราก็พยักหน้าพร้อมกัน
“แต่งงานกับขุนนาง ถ้าเธอพูดเรื่องนี้ออกไปคงมีคนต้องการมากเลยล่ะ…เพราะริเกลอยู่กับเธอแถมยังเป็นผู้หญิงอีก ต่อให้แต่งเข้ามาก็แทบไม่มีสิทธิ์แตะต้องสมบัติ ดังนั้นจึงเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดไงล่ะ”
“…ที่เรียกสั้น ๆ ว่าแต่งงานการเมืองสินะคะ”
“ใช่”
เคียร่าทำสีหน้าลำบากใจอย่างที่คาดไว้เลย เธอกำลังคิดอย่างหนักและมองฉันเป็นพัก ๆ บ้าน่า เคียร่าคงไม่คิดจะแต่งงานเพื่อฉันใช่ไหม?
ถ้าแบบนั้นมันก็…
‘ไม่ให้!!’
ว่าแล้วฉันก็คำรามออกมาเสียงดัง พร้อมทั้งกระทืบเท้าอย่างไม่พอใจ จะแต่งงานทางการเมืองหรืออะไรก็ช่าง ถ้าเคียร่าจะต้องไปแต่งงานกับใครไม่รู้หัวนอนปลายเท้า (หรือมีหว่า?) ฉันไม่มีทางยอมเด็ดขาด!!
ใครจะแต่งงานกับเคียร่าต้องผ่านฉันให้ได้ก่อนเถอะ! ถ้าฉันไม่ยอมรับอย่าหวังว่าจะได้อยู่กับเคียร่าเลย ต้องเป็นคนที่ฉันมั่นใจได้ว่าจะสร้างความสุขให้กับเคียร่า ไม่งั้นฉันไม่ยอม!!
ทุกคนตกตะลึงและมองฉันที่โวยวายเพราะเนื้อหาเรื่องการแต่งงาน แถมยังโดดไปหาเคียร่าและใช้ปีกดึงเธอมากอดไว้ พร้อมกับขู่ฟ่อ ๆ ใส่
“มังกรนั่น…กำลังหวงเธออยู่เหรอ”
‘ใช่!!’
“ก็…น่าจะแบบนั้นนะคะ”
“ไม่น่าเชื่อ…รู้จักแม้กระทั่งการแต่งงานรึนี่”
เหมือนว่าเขาจะตกใจเรื่องนะ อ๊ะ ถ้าเป็นปกติมังกรคงรู้รายละเอียดไม่ลึกสินะ แหงล่ะขนาดเด็กมนุษย์บางคนยังไม่เข้าใจคำว่า แต่งงาน เลยแท้ ๆ
ว่าแล้วเคียร่าล่ะไม่แปลกเหรอ? ไม่แปลกหรอกน่า~ เคียร่าเป็นเด็กฉลาดถึงขั้นอัจฉริยะ เรื่องอย่างแต่งงานนี่ง่ายจะตาย เธอรู้จักอยู่แล้วแหละ ไม่แปลกหรอก
อะไรนะ? จะบอกว่าฉันในตอนนี้เหมือนเป็นผู้ปกครองเห่อลูก ที่ภูมิใจทุกครั้งที่คิดว่าเคียร่าฉลาด แถมพอมีคนมาขอเธอแต่งงาน ก็จะเป็นคุณพ่อประเภทที่ว่า ‘ไม่ยอมยกลูกสาวให้ผู้ชายไม่รู้หัวนอนปลายเท้าแบบแกหรอกเฟ้ย!!’ อะไรงี้เหรอ?
บ้าน่า บ้าไปแล้ว ฉันไม่ใช่พ่อเคียร่าสักหน่อย…แต่ใครจะมาแต่งกับเคียร่าต้องผ่านฉันก่อนแน่ ๆ ล่ะ!!
“พอเห็นว่าฉลาดขนาดนี้ ก็เริ่มอยากได้ขึ้นมาบ้างแล้วแฮะ…”
‘ไม่!!’
ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดเล่นพลางหัวเราะขบขันก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่ผ่อนปรนแม้แต่น้อย ซ้ำยังขู่เขายิ่งกว่าเดิมแล้วกอดเคียร่าแน่น
แล้วจู่ ๆ ภายในห้องก็ผ่อนคลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราเบา ๆ ของทั้งดาริกและเคียร่า
อะไร! มีอะไรน่าขำกัน!?
“เข้าใจแล้ว…ถ้างั้นนี่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่มีทางเป็นไปได้สินะ”
“นั่นสินะคะ ถึงจะไม่คิดจะทำอยู่แล้วก็เถอะ”
อืม ๆ ดีมาก ไอ้ทางเลือกแบบนั้นน่ะตัดมันออกไปซะได้ก็ดี การแต่งงานเป็นความใฝ่ฝันของหญิงสาวนะ ถึงจะไม่รู้ของจริงเป็นยังไง
แต่ก็ต้องใฝ่ฝันถึงการแต่งงานที่จะเป็นคู่ชีวิตไปจนแก่เถ้า จะเอามาโยนให้กับผลประโยชน์แบบนี้ได้ไง บ้าป่าว…ถึงฉันจะตระหนักได้ดีก็เถอะ ว่าคนที่จำใจต้องทำแบบนั้นก็มีถมไป
เพราะงั้นตัดสินใจเป้าหมายอีกอย่างได้แล้ว!!ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ จะปกป้องไม่ให้เคียร่าเป็นแบบนั้นไงล่ะ!!
“งั้นกลับมาเข้าเรื่องต่อ ก็เหลือวิธีซื้อตำแหน่งกับสร้างผลงานสินะ”
พวกเราพยักหน้าให้กับการกลับเข้าประเด็นหลักวันนี้…แต่ฉันก็ยังไม่แยกตัวออกจากเคียร่า
“วิธีซื้อตำแหน่งฟังดูเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ แล้วลำบากอยู่พอควรเลยล่ะ”
อือ ก็แหงล่ะซื้อตำแหน่งเลยหน่า ตำแหน่งขุนนางที่ได้ชื่อว่าเป็นชนชั้นปกครอง อย่าว่าแต่ลำบากเลย มันทำได้ด้วยเรอะนั่น?
“อย่างแรกเลยคือเงิน จำนวนเงินที่ต้องจ่ายนั้นไม่ใช่เล่น ๆ ต่อให้เก็บทั้งชีวิตก็ยังเกินเอื้อม อย่างที่สอง คือการซื้อนั่นแหละ…ต้องใช้เส้นสายและการยอมรับค่อนข้างเยอะ ถ้าให้พูดง่าย ๆ ก็เป็นวิธีที่ต้องขึ้นไปด้วยการติดต่อกับหลากหลายตระกูลให้รับรอง ทั้งยังต้องใช้เงินจำนวนมากอีก”
โอ้ เรื่องเยอะจริงแฮะ หรือก็คือถึงมีเงินแต่ก็ต้องได้รับการยอมรับจากขุนนางคนอื่นด้วยสินะ ลำบากจริงแฮะ ส่วนเคียร่านั้นก็กำลังทำท่าทางคิด
คุณดาริกที่สังเกตท่าทีของเธอด้วยดวงตาแหลมคม ราวกับว่ากำลังมองลึกลงไปในตัวของเคียร่า จนฉันรู้สึกไม่สบายใจและเผลอขู่ไป
เขาจึงเปลี่ยนเป้าสายตามาเป็นฉัน และยิ้มบางให้แล้วขยับปากบอกว่า ‘ไม่ทำอะไรไม่ดีหรอก สบายใจได้’ เพื่อไม่ให้เคียร่ารู้
ฉันจึงเลิกขู่เขาแล้วเอียงคอมองด้วยความสงสัย ซึ่งดาริกไม่พูดอะไรต่อแล้วหันไปคุยกับเคียร่า
“แต่ถ้าเป็นพ่อค้าก็อาจจะทำได้นะ ส่วนมากคนที่ใช้วิธีนี้มักจะเป็นพ่อค้าที่อยากได้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง”
“ไม่ได้ค่ะ สถานการณ์ตอนนี้ของพวกฉันออกเดินทางไม่ได้แน่ค่ะ เพราะว่ามีคนคอยจับตามองตลอด แบบนั้นยิ่งค้าขายก็ไม่รุ่งหรอกค่ะ เพราะต้องเก็บความลับลูกค้าหรืออะไรอีกเยอะแยะ ขอฟังวิธีต่อไปได้ไหมคะ”
เคียร่าปัดข้อเสนอของดาริกอย่างชัดเจน และขอให้พูดถึงหัวข้อต่อไปทันที…ราวกับว่าที่เธอทำท่าทางคิดเมื่อกี้คือการวิเคราะห์ทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว
นี่ฉันคิดไม่ถึงเลยนะนั่น…ดาริกก็ยิ้มออกมาอย่างยินดีพลางพึมพำเบา ๆ ว่า ‘โอ้ ยอดเยี่ยม’ ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“วิธีที่สองก็อย่างที่บอก สร้างผลงานให้เข้าตาพระราชาหรือราชวงศ์ ก็จะมีทั้งผลงานหลากหลายอย่างเลยล่ะ ถึงส่วนมากจะเป็นด้านการทหารก็เถอะ อย่างเช่นพวกนักผจญภัยที่ช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากอันตราย ท่านโรเวิร์ตเองก็เป็นขุนนางได้เพราะแบบนั้นเหมือนกัน”
“เอ๊ะ พึ่งรู้เลยนะคะ”
ดาริกพยักหน้าให้เคียร่าที่เผลอแสดงความสงสัยออกมา และพูดต่อ
“ที่จริงก็จะมีพวกงานราชการด้วย อย่างเช่นเป็นข้าราชการแล้วสร้างผลงานในส่วนที่ตัวเองอยู่ ก็จะมีโอกาสได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางเหมือนกัน แต่ว่า…”
“ไม่มีตัวอย่างกรณีนี้ เพราะปกติสามัญชนไม่สามารถเป็นราชการได้สินะคะ นอกจากคนใช้ระดับล่างอย่างเมดหรือสารถี”
“ถูกต้อง”
นั่นก็จริง เพราะว่าแต่เดิมที่นี่ไม่มีการศึกษาภาคบังคับ แค่อัตราคนอ่านออกเขียนได้ของโลกนี้ก็เรียกได้ว่าต่ำเตี่ยเรี่ยดิน แถมอีกอย่าง คนในโลกนี้ไม่เข้าใจความสำคัญของการศึกษา
ขนาดหมู่บ้านเราที่มีห้องสมุดอย่างบ้านของคุณโรเวิร์ต และเขาก็อาสาสอนอ่านเขียนให้กับทุกคน ก็ยังไม่มีใครสนใจมาเรียนด้วยซ้ำ
คนที่จะเข้าห้องสมุดมีแค่คนแก่เฒ่าที่ทำงานต่อไม่ได้ และมาเพื่อหาอะไรทำฆ่าเวลาเท่านั้น เพราะทุกคนมีแนวคิดที่ว่าต่อให้อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ก็สามารถทำมาหากินได้
เหนือสิ่งอื่นใด…คนมีแนวคิดที่ว่า แทนที่จะเรียน สู้เอาเวลาไปทำงานหาเลี้ยงปากท้องตัวเองจะสำคัญกว่า ก็นะ สังคมสมัยนี้ก็ประมาณนี้แหละ
แม้แต่พ่อแม่ของเคียร่ายังอ่านเขียนไม่ได้เลย ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับประเทศนี้นักหรอก กลับมาที่การรับราชการ แน่นอนว่างานสำคัญขนาดนั้นก็ต้องเกี่ยวข้องกับเอกสารอยู่แล้ว
ดังนั้นการที่จะมีสามัญชนเป็นราชการก็ว่ายากแล้ว ได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางนี่แทบเป็นไปไม่ได้…วิธีง่ายที่สุดก็คงเป็นการทำผลงานจากทักษะการต่อสู้สินะ
“แต่จะเป็นนักผจญภัยก็ไม่ได้ เหตุผลเดียวกันกับแม่ค้า…”
“ต่อให้เป็นราชการได้ แต่การสร้างผลงานจนเป็นที่ชื่นชมก็ยากเหมือนกัน”
อืมมม ทำไมเหมือนมันทางตันขนาดนั้นล่ะเนี่ย ตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ก็ทำท่าทางคิดหนักกัน ฉันเองพอเห็นทุกคนเป็นแบบนั้นก็เผลอแสดงท่าทีออกมาเหมือนกัน
ก่อนที่ฉันจะเหม่อมองไปข้างนอก และบังเอิญเห็นทหารเดินผ่านสายตาไป ทหารยามตามปกติไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพราะว่าถ้ามีการก่อสร้างโบสถ์ก็ถือว่าค่อนข้างเจริญในระดับหนึ่ง ต้องมีทหารมาดูแลความปลอดภัยบ้าง
อ๊ะ เดี๋ยวนะ…ทหาร? ยาม? ทหารปกป้องเมืองภายใต้ชื่อของประเทศ…ถ้างั้นก็ราชการเหมือนกันนี่นา แถมยังทำงานด้วยกำลังเหมือนนักผจญภัยด้วย
“? มีอะไรเหรอริเกล?”
ว่าแล้วฉันที่นึกขึ้นได้ก็สะกิดดึงเคียร่าให้มาดู แล้วพยายามให้เธอมองไปที่ทหารยาม
“ยามเหรอ…อะ จริงด้วย!”
เหมือนว่าในที่สุดเธอก็นึกออกและหันไปมองดาริก ราวกับว่าได้ข้อสรุปแล้วและต้องการปรึกษาหารือ เขาจึงรอฟังอย่างสงสัย
“แล้วถ้าเป็นทหารล่ะคะ พอได้ไหม”
“ทหารเหรอ…ส่วนมากก็จะได้รับความดีความชอบจากสงครามหรือการปราบโจร ประเทศนี้ที่สงบสุขอยู่แล้วมันออกจะ…”
ยากไปหน่อย เขาพูดแบบนั้นเบา ๆ ราวกับว่านั่นยังไม่ใช่ข้อสรุป และยังคงจมกับความคิดเพื่อหาคำตอบต่อไป เคียร่าเองก็รอตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“จริงด้วย! อัศวินไง!”
เขาได้ข้อสรุปขึ้นมาแบบนั้นและยิ้มกว้างออกมา เคียร่าเองก็เช่นกันเพราะว่าในที่สุดก็มีทางที่จะทำอะไรสักอย่างได้ซะที
แล้วเขาก็ขยายความของอัศวินต่อ
“แค่อัศวินก็ถือว่าได้เป็นขุนนางเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ไม่ได้มีอำนาจหรือเขตในการปกครอง แต่ก็คงไม่มีใครคัดค้านถ้าจะลงทะเบียนมังกร ลงตัวพอดีเลย”
ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปแล้วสินะ เคียร่าจะเป็นอัศวินงั้นเหรอ…น่าจะดูดีไม่หยอกเลยนะ ฉันเงยหน้าขึ้นและจินตนาการถึงเคียร่าที่อยู่ในชุดอัศวินตามที่รู้จัก
ต้องดูดีมากแน่ ๆ ฉันฟันธงเลย ก็เคียร่านี่นา!!
“ส่วนวิธีเป็นอัศวินก็…อย่างแรกเลยต้องเป็นคนที่จบจากโรงเรียนหลวง”
โรงเรียนหลวง เนื่องจากเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนพวกเราจึงเอียงคอมองด้วยความสงสัย ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้พูดที่ต้องอธิบาย
โรงเรียนหลวงก็ตามชื่อ เป็นโรงเรียนของทางประเทศ ตั้งอยู่ที่เมืองเคลเวอร์ อันเป็นเมืองหลวงของประเทศฟาเรเรีย เป็นสถานที่ที่ขุนนางทุกคนต้องเคยผ่านมา
อัศวินจำเป็นต้องผ่านการอบรมจากโรงเรียนแห่งนี้ เพราะว่าเป็นอาชีพที่ทรงเกียรติจึงต้องผ่านสถานที่แห่งนี้มาก่อน อะไรเทือกนั้นล่ะนะ
ส่วนนักเรียนสามัญชนก็…ไม่เคยมีมาก่อน
“แต่ไม่ต้องห่วง ไม่เคยมีก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”
คำพูดของเขาจุดประกายพวกเราที่คิดหนักกลับมาอีกครั้ง
“ตามประเพณี เด็กอายุ 10 ปีจะฝากตัวเป็นศิษย์กับผู้ใหญ่ และถ้าหากเป็นศิษย์ของขุนนางล่ะก็ จะฝากเข้าโรงเรียนหลวงก็ไม่ยากอะไร”
นั่นสินะ ขึ้นชื่อว่าสำหรับขุนนางเส้นสายนั้นสำคัญอยู่แล้ว ถ้าเป็นขุนนางมากอำนาจจะฝากลูกศิษย์ของตัวเองที่เป็นสามัญชนก็คงไม่แปลกอะไร
งี้นี่เอง แล้ว จะไปเป็นศิษย์ใครล่ะนั้น? คนที่ถามเรื่องนี้ไม่ใช่ฉัน แต่ว่าเป็นเคียร่า ซึ่งดาริกก็ยิ้มกว้างอย่างกับว่ารอคำนี้มานาน และยื่นมือไปหาเคียร่า
“มาเป็นลูกศิษย์ฉันสิ จะช่วงสนับสนุนเท่าที่ทำได้เอง”
ตอนนี้ดวงตาและสีหน้าของเขานั้นดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าดีใจที่ได้พูดคำนี้ออกมา…เหมือนเด็กน้อยเลยแฮะ น่ารักไปอีกแบบนะนั่น
และเคียร่าก็ยิ้มตอบพลางจับมือเขากลับ
“งั้นขอฝากตัวด้วยนะคะ อาจารย์”
และแล้ว พวกเราก็เป็นศิษย์ของขุนนางมากอำนาจอย่างตระกูล ดยุกคาสทอร์ หรือก็คือดาริกที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้นั่นเอง