หลังจากตัดสินใจได้แบบนั้น เราก็ตกลงถึงสิ่งที่จะทำในอนาคตกันต่อ ก็คือเมื่อเคียร่าอายุครบ 10 ปีเมื่อไหร่ จะออกจากหมู่บ้านนี้แล้วย้ายไปอยู่กับดาริก
เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าโรงเรียนในตอนอายุ 12 ปี และเรียนจบเมื่ออายุได้ 15 ปี หรือก็คือเรียนกันแค่ 3 ปีเท่านั้นก็จบการศึกษาแล้ว
เร็วจังแฮะ โลกนี้อายุ 15 ก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเองแล้ว แถมยังเป็นวัยที่พอเหมาะสำหรับการแต่งงานด้วย…
ซึ่งแน่นอนว่าต่อให้เคียร่าเป็นคนเลือก ก็ต้องผ่านการคัดกรองของฉันก็เหมือนกัน ถ้าตัดสินได้ว่าเร็วเกินไปฉันก็จะคัดค้านอย่างถึงที่สุด เพราะว่าการแต่งงานเลยนะ!
มันต้องมั่นคงเซ่ ถูกมะ ไม่ยอมให้แต่งกันแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรอกเฟ้ย!!พูดเรื่องนี้แล้วหงุดหงิด แค่คิดว่าถ้าเคียร่าดันเลือกคนที่ไม่ควรฝากอนาคตไว้ด้วยก็หงุดหงิด
ถึงจะรู้ว่าถ้าเคียร่าเลือกจะต้องไม่มีปัญหาก็เถอะ…ถึงจะรู้แบบนั้นก็เถอะ!!
“ริเกล!มาเร็วเข้า!!”
ฉันหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินเสียงใสของเคียร่าเรียกเข้าให้ ตอนนี้เธอกำลังมุ่งหน้าไปจุดที่มีร้านแผงลอยเต็มไปหมด จนหมู่บ้านที่เงียบสงบนั้นคึกคักขึ้นมา
ใช่ ตอนนี้เวลาล่วงเลยจนมาถึงปลายฤดูร่วง ซึ่งกองคาราวานเร่ก็วนกลับมาค้าขายที่นี่อีกรอบแล้วนั่นเอง ตอนนี้พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปขายแร่ที่เก็บได้จากมังกรอัลละวาตามฤดูกาลเช่นเดิม
ในปีนี้นั้นพวกเราได้ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าฉันที่เคยได้รับการเอ็นดูจากอุล ก็เป็นที่ชื่นชอบของมังกรอัลละวาที่เหลือเหมือนกัน แร่อุลที่อยู่กับฉันเป็นสัญลักษณ์ถึงสิ่งนั้น
และเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ฉันตัวโตขึ้นมามากแล้ว คงเท่า ๆ กับม้าแคระล่ะมั้ง? บนหัวก็รู้สึกว่ามีอะไรงอกออกมาไม่ยาวมากนัก เห็นเคียร่าบอกว่าคล้ายกับสาหร่ายสีฟ้าขาว แง่งบนหัวเองก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาหน่อย
ร่างกายฉันเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นนอกจากขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว คงคล้ายกับสิงโตที่ตอนเด็กยังไม่มีแผงคอ แต่พอเริ่มโตแผงคอก็เริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย…ถึงอย่างของฉันจะเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะก็เถอะ
“เข้ามา…โอ้ พวกเธอนี่เอง”
เมื่อเข้ามาในซุ้มเพื่อขายเหมือนปีที่แล้ว ก็เจอกับบิลลี่ที่ทักทายพวกเราด้วยรอยยิ้ม และยังไม่ทันทำอะไรเขาก็ลุกขึ้นและยื่นมือมาหาเพื่อขอจับมือทันที
ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่เคียร่าก็จับมือเขากลับอย่างงง ๆ
“ปีนี้ได้มาเท่าไหร่รึ”
“ปีนี้ได้ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ…”
แล้วเคียร่าก็วางถุงหนังที่ค่อนข้างใหญ่ลงกับโต๊ะดัง ปึง! เพราะว่าด้านในนั้นมีค่อนข้างเยอะ คราวนี้เป็นว่าบิลลี่มองด้วยความตกตะลึง…
แหงล่ะ ปกติเศษพวกนี้ไม่น่าจะหาได้เยอะขนาดนี้นี่เนอะ แต่พวกเราเป็นคนพิเศษนิดหน่อย…
“ลำบากเลยแฮะ ขอเวลาสักครู่นะ”
ว่าแล้วเขาก็นั่งลงนับจำนวนแร่ที่อยู่ในถุง พร้อมทั้งจดบันทึกใส่กระดาษข้าง ๆ ด้วย ก่อนจะใช้เวลาอยู่พักหนึ่งจนแทบเมื่อยที่รอ
เขาก็พูดออกมาอย่างสบาย ๆ
“10,000 กิล”
ว่าแล้วทั้งฉันทั้งเคียร่าก็อ้าปากค้าง…ก็ เอ่อ เข้าใจแหละว่าหลังจากตอนนั้นแร่พวกนี้มันแพงมาก แต่…มะ- หมื่น!! หลักหมื่นเลยนะเฮ้ย!! เงินก้อนโตเกินไปแล้ว!!
ดูเหมือนเคียร่าเองก็จะตกใจเหมือนกัน
“มะ- หมื่นเลยเหรอคะ?! เงินก้อนโตขนาดนั้นกับคำที่ไม่รู้ว่าจริงไหม…ถึงฉันจะเป็นคนพูดเองก็เถอะ แต่จะดีเหรอคะ มันจะมีค่าขนาดนั้นรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
“ไม่ต้องห่วง ฉันเอาไปขายต่อได้อีก 4 เท่าจากที่ซื้อจากเธอนะ”
พูดจบเคียร่าก็กลั้นหายใจทันที สะ- สี่เท่า!! บ้าไปแล้ว ถ้าเคียร่าว่าต่อราคาเก่งแล้ว หมอนี่มันพระเจ้าชัด ๆ !! ไปทำอีท่าไหนให้ได้ขนาดนั้นละเนี่ย
และสมกับเป็นมืออาชีพ เขาไม่หวั่นไหวกับเงินจำนวนมากขนาดนี้ แถมยังเตรียมจ่ายให้อย่างรวดเร็วและครบถ้วน เคียร่าเองก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วนั่งนับเงินที่แบ่งมาให้หลายแบบ เพื่อให้ใช้งานง่าย
“ราคา 4 เท่านั้นขายได้ที่เดเวีย ประเทศที่เรียกได้ว่าเป็นฟันเฟืองของโลก คนที่นั่นกระหายความรู้และการพัฒนา แค่ข้อมูลที่จุดประกายการวิจัยก็ได้เงินมหาศาลแล้ว และแร่อัลละวาหาได้แค่ฟาเรเรียซึ่งอยู่ห่างไกล ดังนั้นราคาจึงพุ่งเป็นทวีคูณ”
ราวกับรู้ว่าพวกเราสงสัยว่าทำได้ยังไง เขาจึงเล่าให้ฟังแบบคร่าว ๆ งี้นี่เอง เอาไปขายให้ถูกที่ถูกคนสินะ ถึงได้ราคาเด้งขึ้นสูงกว่าเดิม
เคียร่าเองก็ทำหน้าเข้าใจได้ทันที เพราะว่ามันคงเป็นกลไกตลาดอย่างง่าย
“อ้อ…ขอถามแปลก ๆ ได้ไหมคะ ว่าทำไมคุณมีเงินขนาดนี้แล้วแต่ยังเป็นพ่อค้าเร่ต่อไป”
…เป็นคำถามที่แปลกจริง ๆ เขาพึมพำออกมาแบบนั้นพลางเงยหน้ามองไปไกล ที่เคียร่าถามแบบนี้เพราะว่าส่วนมาก พ่อค้าในกองคาราวานจะมีเป้าหมายสูงสุดคือการเปิดร้านของตนเอง
หรือก็คือการลงหลักปักฐานอยู่สักเมืองหนึ่ง เพราะความจริงกองคาราวานก็แค่คนเร่ร่อนไม่มีที่ไป และไม่มีบันทึกว่าเป็นคนของที่ไหนทั้งนั้น
พวกเขาจึงต้องการเก็บเงินเพื่อลงหลักปักฐานนั่นเอง และดูท่าบิลลี่คงไม่มีปัญหาเรื่องนั้นแถมมีเงินจำนวนมากแน่ เลยเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงยังเดินทางต่อไป การเดินทางทั้ง ๆ ที่มีเงินเยอะขนาดนั้นมันเต็มไปด้วยความเสี่ยงจะตาย
“คงเพราะยังอยากเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ น่ะ เพราะเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่ากองคาราวานเป็นผู้ขับเคลื่อนยุคสมัยใหม่ ทุกครั้งที่แวะจะได้รับบางอย่าง และนำบางอย่างไปเผยแพร่ต่อในที่ถัดไป ขับเคลื่อนให้เกิดการกระตุ้นและพัฒนา ฉัน…อยากจะเห็นสิ่งนั้นด้วยตนเองน่ะ”
…ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก งั้นเหรอ…ถ้างั้นก็ตั้งเป้าและเดินทางมาตั้งแต่ยังเด็กเลยน่ะสิ สุดยอดเลยแฮะที่ยึดมั่นสิ่งที่ต้องการได้จนถึงตอนนี้
“อย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน ฉันได้ความรู้มาจากเธอ แต่ประเทศนี้กับเพิกเฉยต่อข้อมูลนั้น และไม่คิดจะค้นคว้าต่อ แต่พอเอาข้อมูลนี้ไปบอกต่อที่เดเวีย มันก็มีค่าและเกิดการค้นคว้าขึ้นมา สักวันหนึ่งถ้าแร่พวกนี้เป็นตามที่เธอบอกจริง ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปอย่างก้าวกระโดด และฉันก็เป็นตัวแปรให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น สุดยอดเลยใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายละเอียดอีกครั้งก็เข้าใจได้ทันที งี้นี่เอง ถ้าไม่มีพ่อค้าเร่เคียร่าก็คงไม่ได้คิดข้อมูลนี้เพื่อขายขึ้นมา หรือต่อให้เอาข้อมูลนี้ไปเสนอ ถ้าไม่ใช่พ่อค้าเร่ก็คงไม่ออกไปนอกประเทศ
และภายในประเทศนี้ก็ไม่ให้ค่าข้อมูลนั้นทำให้มันจมลงไปกับความไม่สนใจ แต่พอมีพ่อค้าเร่ ข้อมูลนี้จึงได้ไปถึงหูประเทศที่กระหายความรู้อย่างเดเวีย และเริ่มพัฒนาขึ้น
งี้นี่เอง เป็นผู้ขับเคลื่อนยุคสมัย…สินะ
“พอได้ยินแบบนั้นแล้วเท่สุด ๆ ไปเลยนะคะ”
“ใช่ไหมล่ะ!! เพราะงั้นนะเธอสนใจมาเดินทางไหม”
บิลลี่รีบพูดต่อด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับเด็ก ๆ ที่กำลังพูดถึงความฝันของตน นั่นทำให้เคียร่ายิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนต่อท่าทีนั้นของเขา เอ๊ะ นี่มันสลับกันรึเปล่านะ? ช่างมันละกัน
และเคียร่าก็ส่ายหัวให้กับเขา ๆ
“คงไม่ได้ค่ะ เพราะฉันเอง…ก็มีเป้าหมายใหม่เหมือนกันค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นบิลลี่ก็แสดงความสงสัยปนสนใจออกมา และเคียร่าก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง…เขาฟังเงียบ ๆ และพยักหน้าให้อย่างเยือกเย็น
ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเสียดายอีกครั้งแต่ก็ไม่รบเร้าอะไรมาก เพราะว่าเข้าใจสถานการณ์ของพวกเราดี
“ถ้างั้นต้องไปบอกแฟร์ด้วยนะ เพราะเด็กคนนั้นน่ะ…”
“ยึดติดกับฉันพอควรเลยสินะคะ…เข้าใจแล้วค่ะ จะบอกเธอ”
“อืม ไม่ใช่เด็กไม่ดีอะไรหรอกนะ ยังไงก็ช่วยสนิทกับเธอด้วยล่ะ”
“แน่นอนค่ะ ฉันรู้อยู่แล้ว”
และพวกเราก็จบบทสนทนาหลังจากไม่ได้เจอกันมา 1 ปีลง พร้อมทั้งเดินกลับบ้านเพื่อเอาเงินไปให้พ่อกับแม่ พวกเขาเองก็ตกใจไม่แพ้กันจนแทบจะเป็นลม
แล้วก็บอกว่าไหน ๆ ก็เป็นเพราะหาได้ด้วยตัวเอง เลยจะเอาแค่ 2,000 กิลเพื่อใช้ส่วนรวมของครอบครัว แล้วที่เหลือให้เคียร่าเก็บไว้เอง
แต่ว่า…
“ไม่หรอกค่ะ เดี๋ยวหลังจากนี้หนูจะไปอยู่กับอาจารย์ตามแผน คงไม่ได้ใช้อะไรมาก…พ่อกับแม่เอาไปเท่านี้เถอะค่ะ”
ว่าแล้วเคียร่าก็ส่งเงินให้พวกเขาทั้งสิ้น 6,000 กิล นั่นสินะ ยังไงก็ไปอยู่กับขุนนางคงไม่ลำบากเรื่องเงินอยู่แล้ว ที่เก็บเอาไว้ก็เป็นสำรองเผื่อฉุกเฉิน
และพอพูดถึงเรื่องนั้นทั้งคู่ก็น้ำตาซึมทันที ก่อนที่แม่จะสวมเข้ากอดเคียร่าพร้อมทั้งน้ำตา นั่นสินะ ถึงจะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างการที่ลูกได้ไปเป็นลูกศิษย์ของขุนนาง
แต่ความเศร้าที่ต้องแยกกับลูกสาวเพียงคนเดียวก็ยังคงมีอยู่ดี ดังนั้นวันที่คุยกันเรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเศร้าและความยินดี
ครอบครัวนี่…ดีจังนะ
ฉันมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาอันอบอุ่น ชาติที่แล้วฉันเองก็…ว่าแล้วก็แอบรู้สึกเศร้าขึ้นมา ความคิดถึงโลกก่อนของฉันลดน้อยลงมาก แต่ก็ยังนึกถึงบ้างเป็นบางครั้ง
เพราะว่ามันยังรู้สึกติดค้างอยู่นี่นะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วนี่นา ช่างมัน ๆ ในระหว่างที่คิดอะไรไปเรื่อยก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นรอบคอ
แม่เองก็มากอดฉันเช่นกัน…
“ริเกลเองก็เหมือนลูกของบ้านหลังนี้ไปแล้วนี่นะ ถ้ามีอะไรก็มาหาได้ล่ะ”
ฉันเปิดตากว้างด้วยความตกตะลึง ฉัน…ก็เป็นหนึ่งในครอบครัวนี้ได้…ใช่ไหม? ถึงจะไม่เคยเจอพ่อแม่แท้ ๆ ก็มีครอบครัวได้…ใช่ไหม?
ฉันถามคำถามเหล่านั้นในใจแล้วเริ่มมีหยาดน้ำตาไหลออกมา นั่นสินะ ใช่ ทำอะไรไม่ได้อีกแล้วกับโลกเก่า แต่ว่า ถ้ากับครอบครัวใหม่นี่ละก็…
ฉันคิดพลางใช้ปีกโอบกอดแม่เอาไว้เช่นกัน ถ้าครอบครัวล่ะก็ ฉันเองก็มีเหมือนกัน
“แต่ก็นะถึงจะให้ไปเท่านั้นก็เถอะ…ที่เหลืออยู่ก็เยอะจนไม่กล้าใช้อยู่ดีล่ะนะ”
หลังจากเราทั้งสองคนออกมาด้านนอก เคียร่าก็หันมาพูดด้วยใบหน้าที่ฝืด ๆ นั่นสินะ ขนาดรอบก่อนได้มา 100 ยังใช้แทบไม่หมด แล้วนี่ถือมาตั้ง 4,000 กล้าใช้ก็บ้าแล้ว
“อ๊ะ เจอแล้ว! เคียร่า!!”
เสียงใสที่แสนร่าเริงดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหันไปมองก็พบกับสาวผิวแทนผมสีน้ำเงินเข้ม แฟร์นั่นเอง เมื่ออีกฝ่ายมองเห็นพวกเราก็ยิ้มกว้างอย่างร่าเริง
และส่งเสียงทักดังสนั่นทันที ก่อนจะวิ่งหน้าแจ้นมาหาพวกเรา พร้อมทั้งอิกนิสที่ไล่หลังมาอย่างเงียบ ๆ
“นี่เคียร่า–”
“แฟร์ ขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม”
ไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้พูดอะไร เคียร่าก็ชิงตัดหน้าก่อนทันที ทำให้แฟร์งงเล็กน้อยและพยักหน้าให้อย่างว่าง่าย เคียร่าก็ผ่อนบรรยากาศลงและบอกว่าให้เปลี่ยนที่คุย
พวกเราเดินออกมาห่างจากตัวหมู่บ้านนิดหน่อยเพื่อให้สงบ ถึงแม้จะเหมือนไม่มีใครตามมาแล้วแต่ว่าในเงามืดต้องมีคนของโบสถ์จับตาดูอยู่แน่
เพราะฉันแสดงความไม่สบายใจต่อคนจับตาดูอย่างชัดเจน ทางโบสถ์จึงส่งตัวคนที่มีความสามารถกว่าเดิมมา ทำให้แม้แต่ความรู้สึกว่ามีสายตามองอยู่ก็ไม่รู้ตัว
ที่ฉันพูดแบบนี้ได้ก็เพราะทางโบสถ์เป็นคนบอกพวกเรา พร้อมทั้งข้อมูลการจับตาดูที่ละเอียดแม่นยำจนน่ากลัว ทำเอาขอถอนคำพูดที่เคยบอกว่าคนของโบสถ์มีแต่พวกอ่อน ๆ เลย…ถึงจะไม่เคยพูดก็เถอะ
และเคียร่าก็ไม่รอช้า ข้าสู่ประเด็นคุยทันที
“ขอโทษนะแฟร์ ฉันคงเดินทางกับเธอไม่ได้จริง ๆ ”
“เอ๋ บ้าน่า! ป่านนี้แล้วนะ–”
“ฟังให้จบก่อนสิ คือว่านะ…”
แล้วเคียร่าก็ทำท่าหน่ายใจกับการด่วนสรุปของแฟร์ และบอกให้เธอใจเย็นลงเพื่ออธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง
ถึงแม้จะเป็นรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะและซับซ้อน แต่แฟร์ก็ฟังทั้งหมดโดยไม่โต้แย้งหรือทักท้วงอะไรแม้แต่น้อย ทำให้การเล่าเป็นไปอย่างราบรื่น
และจบในที่สุด…บรรยากาศรอบตัวของแฟร์ดูสงบอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเธอก็กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงจะดูเหมือนฟังได้สบาย ๆ แต่เดาได้เลยว่าเธอคงต้องพยายามอย่างหนักที่จะตามเรื่องทั้งหมดให้ทัน
“…งี้นี่เอง พอเข้าใจแล้ว”
“อืม โทษทีนะ”
“ไม่หรอก ได้ฟังมาก็เข้าใจแล้วล่ะ…เพราะงั้นนะ!!”
เธอสับอารมณ์กลับมาสดใสร่าเริงอย่างรวดเร็ว และลุกพรวดขึ้นจากพื้นหญ้าพลางตะโกนออกมาเสียงดัง คนที่ตอบสนองท่าทีนั้นของแฟร์ก็คืออิกนิส
เขาเองก็เบิกตากว้างสะดุ้งและลุกขึ้นตามแฟร์ ราวกับว่าขยับตามเธอทุกการกระทำ…น่ารักจังวุ้ย เวลาเงียบ ๆ เขาก็ชอบทำหน้าตาเอ๋อ ๆ นี่นา และกระดูกที่คลุมหน้าอยู่ก็ทำให้สีหน้าไม่เปลี่ยน เลยดูตลกนิดหน่อย
แล้วทั้งคู่ก็หันมามองพวกเราอย่างพร้อมเพรียงกัน
“มาดวลกันสักหน่อยเถอะ เคียร่า!!”